ภาคที่ 2 ตอนที่ 49 ข้าก็รู้ความลับเยอะเช่นกัน

มรรคาสู่สวรรค์

จิ๋งจิ่วรู้สึกคล้ายตัวเองจะพูดอะไรผิดไป จึงกล่าวถามว่า “ทำไมหรือ?”

 

หมอถามว่า “ครั้งแรก?”

 

จิ๋งจิ่วกล่าว “ถูกต้อง เมื่อก่อนไม่เคยถามมาก่อน”

 

หมอคิดในใจ ไม่รู้ว่าเป็นลูกของตระกูลไหนไปได้ยินความลับของเจวี่ยนเหลียนเหรินจากผู้อาวุโสในตระกูลแล้ววิ่งมาที่นี่ ปัญหาอยู่ที่คำพูดที่อีกฝ่ายกล่าวออกมาในตอนแรกว่า ‘ดอกไห่ถังยังงดงามหรือไม่’ นั้นเป็นรหัสลับที่ใช้เมื่อหลายปีก่อน ตอนนี้คนที่ใช้รหัสลับนี้ล้วนแต่เป็นสำนักใหญ่ที่ยังคงสืบทอดต่อมาไม่ขาดสายหรือไม่ก็ตระกูลใหญ่เหล่านั้น ซึ่งล้วนแต่เป็นคนที่เจวี่ยนเหลียนเหรินไม่อยากล่วงเกิน

 

เขาถอนใจออกมา “ไม่มีใครจะมาถามเช่นนี้ เพราะคำถามนี้มันใหญ่เกินไป ยิ่งไปกว่านั้นระดับชั้นที่เกี่ยวข้องยังสูงมากด้วย”

 

จิ๋งจิ่วถาม “สูงแค่ไหน?”

 

“ฟางจิ่งเทียนเจ้าแห่งยอดเขาซีไหล เป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักชิงซาน บรรลุสภาวะแหวกทะเลขั้นสูง อีกก้าวเดียวก็จะเป็นยอดฝีมือขั้นทะลวงสวรรค์ เจ้าว่าสูงแค่ไหนล่ะ?”

 

หมอคนนั้นกล่าวว่าจนปัญญา “นักพรตไท่ผิงยิ่งมิต้องพูดถึง นั่นคือบุคคลที่อยู่ในระดับสูงสุดแล้ว”

 

จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าได้ยินมาว่าไม่มีอะไรที่พวกเจ้าไม่รู้”

 

หมอผู้นั้นกล่าวด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง “แต่ด้วยสถานะของข้าไม่มีสิทธิ์ที่จะล่วงรู้เรื่องเหล่านี้ได้ มาตรว่ารู้ เจ้าก็จ่ายค่าตอบแทนไม่ไหวหรอก”

 

จิ๋งจิ่วถาม “เท่าไร?”

 

หมอครุ่นคิด เจ้าคิดว่ากำลังซื้อผักอยู่อย่างนั้นหรือ?

 

“เยอะมาก”

 

หมอมองดูสองมือของเขาและกระบี่เหล็กที่ใช้ผ้าห่อเอาไว้ที่อยู่ด้านหลังเขาเล่มนั้น กล่าวว่า “อย่างน้อยบนตัวเจ้าก็มีไม่พอ”

 

จิ๋งจิ่วยื่นมือออกมา บนพื้นมีลังปรากฏขึ้นมาสองลัง ฝาลังถูกเปิดออก ด้านในเต็มไปด้วยใบไม้ทองคำ

 

ทั่วทั้งห้องเต็มไปด้วยแสงทอง

 

หมอตกตะลึงเล็กน้อย กล่าวว่า “ยังไม่พอ แต่ถ้าเจ้ายอม…เอาภาชนะแห่งปริภูมิออกมา บางทีเราอาจจะคุยกันได้”

 

จิ๋งจิ่วส่ายศีรษะ “ไม่ได้ ข้าต้องเอาไว้ใส่ของ”

 

หมอกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ขอโทษด้วย หรือไม่ก็…เจ้าจะเอาข่าวมาแลกก็ได้”

 

จิ๋งจิ่วครุ่นคิด ก่อนจะกล่าวว่า “คืนก่อนถ้ำปลอมของนักพรตจิ๋งหยางเปิดออก เกิดเรื่องบางเรื่อง”

 

หมอกล่าวว่า “เรื่องนี้ข้ารู้ ฉานจึขี่ดอกบัวปรากฏกาย”

 

จิ๋งจิ่วกล่าว “ฟางจิ่งเทียนก็อยู่ด้วย”

 

ภายในห้องเงียบไปทันที

 

หมอนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนจะหยิบเอาปากกาหัวแร้งเขียนตัวหนังสือลงไปบนกระดาษสองสามบรรทัด

 

ตัวหนังสือเหล่านั้นดูเหมือนธรรมดา แต่อักษรแต่ละตัวจะมีการเขียนขีดเพิ่มลงไปสองสามแห่ง ไม่มีผู้ใดที่จะอ่านรู้เรื่อง

 

“ข่าวนี้พอจะมีค่าอยู่บ้าง”

 

หมอเงยหน้าขึ้นมามองจิ๋งจิ่วพลางกล่าวต่อว่า “แต่มันก็ยังไม่พอ”

 

จิ๋งจิ่วมิได้สนใจคำพูดประโยคนี้ เขาเปลี่ยนประเด็นถามกลับไปว่า “เจวี่ยนเหลียนเหรินเอาสถานที่ติดต่อมาตั้งอยู่ที่นี่ หรือว่าไม่กลัวจะถูกคนแก้แค้น? ดูสะดุดตาเกินไป”

 

หมอกล่าวว่า “ช่องทางติดต่อที่ทิ้งเอาไว้บนโลกเหล่านี้ อยากจะตัดก็ตัดได้ ส่วนพวกข้าซึ่งเป็นผู้ดูแลธรรมดา ตายไปก็หาได้ส่งผลอันใดไม่”

 

“แต่เจ้ามิใช่ผู้ดูแลธรรมดา”

 

จิ๋งจิ่วกล่าว “เจ้ายังมิได้ติดต่อกับโลกภายนอกก็มั่นใจได้ว่าข่าวฟางจิ่งเทียนเป็นข่าวที่มีค่า แสดงให้เห็นว่าทุกข่าวกรองของเจวี่ยนเหลียนเหริน เจ้าจะสามารถล่วงรู้ได้ทันทีว่ามีค่าหรือไม่”

 

หมอวางปากกาในมือลง พลางหรี่ตามองดูจิ๋งจิ่ว

 

ตอนที่ชายหนุ่มสวมหมวกลี่เม่าผู้นี้เดินเข้ามาในโรงหมอ ท่าทีที่เขาแสดงออกมาล้วนแต่บ่งบอกว่าเขาไม่เคยผ่านโลกมาก่อน ไม่มีประสบการณ์ชีวิตใดๆ เลย ใครจะไปคิดบ้างว่าสายตาเขาจะแหลมคมถึงเพียงนี้

 

“เจ้าเป็นใครกันแน่ ต้องการจะทำอะไร?”

 

“ข้าจำเป็นต้องยืนยันสถานะของเจ้าในเจวี่ยนเหลียนเหรินเสียก่อน ถึงจะพูดธุระต่อได้”

 

หมอนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนจะยื่นมือไปดันมีดหั่นยาสีทองที่วางอยู่บนโต๊ะไปยังปลายโต๊ะ

 

ไร้ซึ่งซุ่มเสียงใดๆ รอบห้องถูกปิดตาย ข่ายพลังสายหนึ่งทำงาน

 

ข่ายพลังนี้มีขนาดเล็ก แล้วก็มีความประณีตอย่างมาก มันสามารถปิดบังไอพลังทุกอย่างภายในห้อง แล้วก็ไม่ทำให้ไอพลังของข่ายพลังกระจายออกไปบนถนนด้วย

 

ครั้นทำเรื่องเหล่านี้เสร็จสิ้น หมอหันมองมาทางจิ๋งจิ่วอีกครั้ง สีหน้าจริงจังขึ้นกว่าเดิม กล่าวว่า “เชิญว่ามา”

 

จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “หลายปีก่อน เจ้าล่าเยวี่ยเคยใช้ให้พวกเจ้าสืบเรื่องยอดเขาปี้หู แต่ผลปรากฏว่ามีคนของพวกเจ้าแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป ทำให้เกิดปัญหายุ่งยากมากมาย”

 

หมอย่อมต้องรู้เรื่องนี้

 

นี่คือความอับอายขายหน้าที่ร้ายแรงที่สุดในช่วงสิบกว่าปีมานี้ของเจวี่ยนเหลียนเหริน

 

เขาไม่คิดเลยว่าชายหนุ่มที่สวมหมวกลี่เม่าผู้นี้จะรู้เรื่องนี้ด้วย อีกทั้งดูท่าทางแล้วเหมือนจะมาแทนเจ้าล่าเยวี่ย

 

“ขออภัยด้วย พวกเรากำลังสืบอยู่”

 

“สามปีแล้ว พวกเจ้ายังสืบไม่ได้อีก”

 

จิ๋งจิ่วกล่าว “ตามกฎที่ข้าได้ยินมา พวกเจ้าควรจะมีอะไรชดเชยให้”

 

หมอกล่าวว่า “เชิญบอกความต้องการของเจ้าได้”

 

จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าบอกแล้ว ข้าอยากสืบเรื่องฟางจิ่งเทียน”

 

หมอถอนใจออกมา “นั่นเป็นผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักชิงซานเชียวนะ จะสืบอย่างไร?”

 

“ข้ารู้ว่าในชิงซานมีคนของพวกเจ้าอยู่”

 

จิ๋งจิ่วมั่นใจในเรื่องนี้อย่างมาก นั่นน่าจะเป็นแหล่งข้อมูลของเจ้าล่าเยวี่ย”

 

“ข้าจำเป็นต้องรับรองความปลอดภัยให้คนผู้นั้น ดังนั้นข้าจำเป็นต้องรู้ก่อนว่าเจ้าคือใคร”

 

หมอเดาได้แล้วว่าจิ๋งจิ่วเป็นใคร เพียงแต่ยังไม่สามารถมั่นใจได้

 

จิ๋งจิ่วมิได้สนใจ หากแต่กล่าวว่า “นอกจากนี้ข้ายังอยากจะสืบอีกคนหนึ่ง”

 

หมอกล่าวว่า “ใคร?”

 

จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ซีหวังซุน”

 

หมอกล่าวว่า “นี่เกินขอบเขตของการชดเชยไปแล้ว”

 

จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้าจะเอาข้อมูลอื่นมาแลกกับพวกเจ้า”

 

หมอกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ต้องดูก่อนว่าข้อมูลของเจ้ามันมีค่าหรือเปล่า”

 

“เสินหวงองค์ก่อนแกล้งสวรรคตแล้วไปบวชอยู่ที่วัดกั่วเฉิงจริงหรือเปล่า? ฉานจึมีประวัติความเป็นมาอย่างไร? เหตุใดเขาจึงไม่ยอมปรากฏกายจริงๆ ให้คนเห็น?”

 

จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เรื่องพวกนี้พอหรือเปล่า?”

 

เรื่องที่เขากล่าวมานี้ล้วนแต่เป็นความลับสุดยอดของแผ่นดินเฉาเทียนอย่างไม่ต้องสงสัย

 

แต่หมอคนนั้นกลับยิ้มขึ้นมา พลางกล่าวว่า “เรื่องพวกนี้เล่าลือกันมาเป็นเวลานานแล้ว แต่ไม่มีหลักฐานยืนยันใดๆ จึงถือเป็นเพียงเรื่องเล่าเท่านั้น ไม่มีค่าแม้แต่นิดเดียว”

 

“เรื่องที่ข้าพูดย่อมต้องเป็นความจริง สามารถพิสูจน์ได้”

 

จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าสามารถมอบข้อมูลให้พวกเจ้าก่อนล่วงหน้าเรื่องหนึ่ง นามของฉานจึเมื่อครั้งเป็นฆราวาสคือจินเซิงเซิง บิดามารดาเสียตั้งแต่ยังเด็ก ถูกปีศาจภูเขาตนหนึ่งเลี้ยงดูเอาไว้ พวกเจ้าสามารถตรวจสอบจดหมายเหตุของอำเภอชุ่ยผิงเมืองหรูโจวเมื่อยี่สิบเจ็ดปีก่อนได้ บนจดหมายเหตุเขียนเอาไว้อย่างชัดเจน ในวันที่สิบเจ็ดของเดือนแรกในปีนั้นมีพายุหิมะตกหนัก จู่ๆ ก็มีแสงเงินแสงทองสว่างขึ้นมาตรงภูเขาด้านตะวันออก นั่นคือสัญญาณว่าปีศาจภูเขาตนนั้นก้าวข้ามอุปสรรคในการบำเพ็ญเพียรไม่สำเร็จ วันเดียวกัน สมณะไช่หยวนแห่งวัดกั่วเฉิงไปเจอเด็กคนหนึ่งถูกทิ้งอยู่ด้านหลังเขา เรื่องนี้ถูกจดลงในบันทึกประจำวันของอารามหลี่ว์ถัง ด้วยความสามารถของพวกเจ้าน่าจะหาอ่านได้”

 

ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ

 

หมอตกตะลึงจนถึงขีดสุด กล่าวอะไรไม่ออกไปครู่หนึ่ง

 

ตามที่เขากล่าวเอาไว้ก่อนหน้านี้ เมื่อไม่มีหลักฐาน ก็เป็นได้แค่เพียงเรื่องเล่า

 

แต่ปัญหาอยู่ที่ จิ๋งจิ่วดูสงบนิ่งอย่างมากในตอนที่เล่าเรื่องนี้ อีกทั้งยังให้เบาะแสมากพอที่จะไปพิสูจน์ได้

 

“พวกข้าจะรีบตรวจสอบให้เร็วที่สุด”

 

สีหน้าของหมอจริงจังอย่างมาก อีกทั้งยังดูเคารพอย่างมาก

 

เจวี่ยนเหลียนเหรินเคารพคนที่รู้เรื่องราวมากกว่าพวกเขาเป็นที่สุด

 

จิ๋งจิ่วลุกขึ้นเตรียมจากไป

 

“ช้าก่อน ข้อมูลของเจ้าอันนี้ใหญ่เกินไป ข้ามิกล้ารับไว้แต่เพียงฝ่ายเดียว”

 

หมอกล่าวว่า “ข้าอยากจะให้ข้อมูลตอบแทนเจ้าสามเรื่อง”

 

จิ๋งจิ่วหยุดฝีเท้า

 

“เรื่องแรกคือ ผู้ชนะห้าคนของงานชุมนุมเหมยฮุ่ยในปี้นี้จะได้รับการประสาทพรจากฉานจึ”

 

หมอกล่าวว่า “เรื่องที่สองคือ อีกไม่นานเทียนจิ้นเหรินมายังเมืองเจาเกอ เพื่อให้คำชี้แนะแก่ศิษย์ของแต่ละสำนักที่เข้าร่วมงานชุมนุมเหมยฮุ่ย”

 

จิ๋งจิ่วถาม “เทียนจิ้นเหรินคือใคร?”

 

หมอค่อนข้างตกใจ ในใจครุ่นคิดเจ้ารู้แม้กระทั่งนามเดิมของฉานจึ เหตุใดจึงไม่รู้ว่าเทียนจิ้นเหรินคือใคร?

 

……

 

……

 

เทียนจิ้นเหรินดวงตาทั้งสองข้างมืดบอดแต่เด็ก เคยร่ำเรียนอยู่ที่เรือนอี้เหมา ภายหลังเดินทางไปต่างแดนเพื่อแสวงหาธรรมวิถี แม้นจะไม่สามารถบำเพ็ญพรตได้แต่ก็มีความรู้ลึกล้ำ ภายหลังก่อตั้งสำนักปัญญาชนไป๋ลู่ขึ้นมา

 

สิ่งที่ทำให้เขามีชื่อเสียงมากที่สุดคือแม้นดวงตาจะไม่สามารถมองเห็นได้ แต่กลับล่วงรู้ความลับของสวรรค์ ทำนายอนาคตความเป็นตายของคนด้วยคำพูดประโยคเดียว

 

ว่ากันว่าตอนที่เทพกระบี่คนปัจจุบันยังเป็นชายหนุ่มไร้ชื่อเสียง เขาเคยสมัครเข้าสำนักอู๋เอินเหมินแต่ก็มิได้ถูกเลือก จึงตัดสินใจจะฆ่าตัวตายที่ริมแม่น้ำ แต่ก็ถูกเทียนจิ้นเหรินที่ผ่านมาพอดีห้ามเอาไว้ ทั้งยังมอบกลอนให้เขาประโยคหนึ่ง เทพกระบี่ตัดสินใจเดินทางไปต่างแดน ชะตาชีวิตจึงเปลี่ยนผัน ได้สืบทอดสมบัติล้ำค่าของนักพรตรุ่นก่อนที่ซ่อนอยู่ในถ้ำบนเกาะภูเขาแห่งหนึ่ง กลายเป็นยอดฝีมือขั้นทะลวงสวรรค์ ก่อตั้งสำนักกระบี่ซีไห่ หลายปีมานี้กดดันสำนักอู๋เอินเหมินจนสิ้นสภาพ จนถึงตอนนี้เทพกระบี่ยังคงเคารพนับถือเทียนจิ้นเหริน ทั้งยังขอร้องให้เขาช่วยสร้างศาลาซ่วนเทียนของซีไห่ขึ้นมาด้วย

 

ว่ากันว่าเชื่อมสองโลกของสำนักแม่ชี่สุ่ยเยวี่ยกับเชื่อมสองจิตของวัดกั่วเฉิง ล้วนมิอาจเทียบยอดวิชาสวรรค์ของเขา

 

ขุนนางสูงศักดิ์และอัจฉริยะทางการบำเพ็ญพรตจำนวนนับไม่ถ้วนยอมทำทุกอย่างเพื่อจะได้รับคำชี้แนะจากเขาสักประโยค

 

ครั้งฟังการแนะนำจบ จิ๋งจิ่วกล่าวขึ้นมาว่า “ช่างขู่คนเก่งจริงๆ”

 

……………………………………………………………..