ภาคที่ 2 ตอนที่ 50 ข้าเล่นหมากล้อม เจ้าจะรังเกียจไหม

มรรคาสู่สวรรค์

ประสบการณ์ที่เป็นเหมือนดั่งเทพนิยายเช่นนี้ คำวิจารณ์ที่ได้รับกลับมาคือขู่คนเก่งอย่างนั้นหรือ? หมอครุ่นคิดในใจ เจ้าน่ะสิที่ขู่คนเก่ง เขาหยิบเอาสมุดเล่มเล็กเล่มหนึ่งส่งให้จิ๋งจิ่ว จากนั้นมองดูเขาด้วยสายตาที่มีความหมายแฝงเอาไว้ลึกซึ้งพลางกล่าวว่า “นี่คือข้อมูลที่สาม สมุดนี้มีค่าเท่ากับผลึกร้อยก้อน ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะต้องการมัน”

 

จิ๋งจิ่วรับเอาสมุดมา ครุ่นคิดเล็กน้อยพลางกล่าว “ข้าจะให้ข้อมูลเจ้าอีกเรื่องหนึ่ง เจ้าล่าเยวี่ยจะเข้าร่วมงานชุมนุมเหมยฮุ่ยด้วย”

 

หมอสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ก่อนจะถามเพื่อยืนยันว่า “รายการไหน?”

 

จิ๋งจิ่วกล่าว “ย่อมต้องเป็นรายการสุดท้าย”

 

หมอกล่าวว่า “เรื่องของฟางจิ่งเทียนกับซีหวังซุ่น ทันทีที่มีความคืบหน้าจะแจ้งเจ้าไป”

 

เขามิได้ถามอีกว่าจิ๋งจิ่วคือใคร แล้วก็มิได้ตกลงกับจิ๋งจิ่วว่าควรจะติดต่อกันและกันอย่างไร

 

หลังจิ๋งจิ่งออกไปแล้ว ผู้ร่วมงานในโรงหมอก็เดินออกมา ก่อนจะส่ายศีรษะพลางกล่าว “มองไม่เห็นหน้าเขา ก็เลยวาดภาพเขาไม่ได้”

 

หมอกล่าวว่า “มิได้ใช้คันฉ่องโปร่งแสงหรือ?”

 

ผู้ร่วมงงานกล่าว “ใช้แล้ว หมวกลี่เม่าพอมองทะลุได้ แต่ที่สำคัญคือหน้ากากสีดำบนใบหน้าเขามันค่อนข้างแปลกประหลาด”

 

หมอครุ่นคิดในใจ น่าจะเป็นของล้ำค่าที่ยอดเขาซื่อเยวี่ยทำขึ้นมา จึงมิได้ซักไซ้อะไรอีก หากแต่กล่าวว่า “เจ้าล่าเยวี่ยจะเข้าร่วมการประลองวิถีพรตในงานชุมนุมเหมยฮุ่ย”

 

ผู้ร่วมงานหยิบกระดาษปากกาขึ้นมา ก่อนจะจดลงไปด้วยความเร็วสูงสุด

 

หลายคนมองว่าแม้นเจ้าล่าเยวี่ยจะเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด แต่การบำเพ็ญพรตของนางยังตื้นเขินอยู่ ไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของคนอื่นๆ อย่างเช่น ลั่วไหวหนานหรือถงเหยียนได้ อีกอย่างตอนนี้นางเป็นเจ้าแห่งยอดเขาเสินม่อ จึงไม่มีทางลงสนามง่ายๆ ดังนั้นในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยครั้งนี้ นางนะจะเพียงชมการประลองเท่านั้น คิดไม่ถึงเลยว่านางจะเข้าร่วมการประลองด้วย

 

“อีกไม่นานอันดับบนสมุดเล่นนั้นก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว” หมอทอดถอนใจ พลางกล่าวต่อว่า “ยอดเขาเสินม่อและยอดเขาซีไหลมีปัญหาระหว่างกัน รวมกับยอดเขาปี้หูก่อนหน้านี้ ชิงซานวุ่นวายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร? แจ้งไปยังทุกหน่วย ให้สืบลึกลงไป ข้อมูลทั้งหมดให้รวมกันแล้วจัดอยู่ในระดับสาม”

 

ผู้ร่วมงานคนนั้นรับคำ ก้มหน้าจดบันทึกต่อ

 

“ประวัติความเป็นมาของฉานจึจัดอยู่ในระดับหนึ่ง ลับที่สุด”

 

หมอมองดูเพื่อนร่วมงานคนนั้น ก่อนจะส่งกระดาษให้อีกแผ่น

 

เพื่อนร่วมงานเข้าใจว่านี่หมายความว่ากระไร จึงพยักหน้าติดต่อกัน

 

หมอครุ่นคิดอยู่ครู่ก่อนกล่าวว่า “หากข้อมูลนี้ถูกยืนยันว่าเป็นจริง ก็เอาข้อมูลของซีหวังซุนที่เรามีอยู่ให้เขาไป”

 

เพื่อนร่วมงานกล่าวว่า “ซีหวังซุนระมัดระวังตัวอย่างมาก กระทั่งคนของสำนักกระบี่ซีไห่ก็ยังไม่ใช้ คนรับใช้ข้างขายก็ล้วนแต่ลึกลับ ข้อมูลที่พวกเรามียังไม่มากพอ”

 

หมอกล่าวว่า “ข้าเพียงแต่รับปากเขาว่าจะแลกข้อมูลกับเขา แต่ไม่ได้บอกว่าพวกเรามีข้อมูลอยู่เยอะ”

 

ผู้ร่วมงานรู้สึกเห็นใจชายหนุ่มที่สวมหมวกลี่เม่าที่เพิ่งจะเดินออกไปคนนั้น เขากล่าวถามว่า “คนผู้นั้นเป็นใครกันแน่?”

 

หมอกล่าวว่า “เมื่อวานฉานจึบอกกับเหอกั๋วกงว่าคนที่เมฆรุ่งให้การคุ้มครองเมื่อวันก่อนคือผู้สืบทอดของเพื่อนเก่า สิ่งสำคัญอยู่ที่สองประเด็น ผู้สืบทอดของเพื่อนเก่าคือใคร? เหตุใดจึงต้องให้ฉานจึยื่นมือปกป้อง? วันนี้คนผู้นี้บอกว่าขณะนั้นเจ้าแห่งยอดเขาซีไหลก็อยู่ด้วย อีกทั้งยังต้องการจะสืบ หรือเจ้ายังมองไม่ออกว่าเขาเป็นใคร?”

 

ผู้ร่วมงานตกใจ กล่าวว่า “หรือเขาจะเป็นจิ๋งจิ่ว?”

 

หมอยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ พลางกล่าวว่า “มิผิด นอกจากผู้สืบทอดของนักพรตจิ่งหยางแล้วยังจะมีใครรู้รหัสลับที่เก่าแก่ขนาดนี้อีก?”

 

เพื่อนร่วมงานคล้ายคิดอะไรขึ้นมาได้ กล่าวว่า “หรือว่าท่านจะส่งข้อมูลสามเรื่องนั้นให้เขา”

 

“ในเมื่อเขาจะเข้าร่วมงานชุมนุมเหมยฮุ่ย เช่นนั้นเขาก็จะต้องชอบข้อมูลสามเรื่องนี้แน่นอน โดยเฉพาะเรื่องสุดท้ายอันนั้น”

 

หมอคิดถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมา จึงอดส่ายศีรษะไม่ได้

 

เห็นได้ชัดว่าจิ๋งจิ่วไม่รู้เรื่องราวในโลกภายนอก เขาสวมหน้ากากโดยคิดจะปิดบังสถานะของตน แต่มันกลับมีช่องโหว่ปรากฏให้เห็นเต็มไปหมด

 

คนหนุ่มเช่นนี้ ต่อให้เป็นอัจฉริยะทางวิถีกระบี่ก็ไม่แน่ว่าจะเดินไปได้ไกล การที่เจวี่ยนเหลียนเหรินคิดจะผูกสัมพันธ์กับเขาก็มิรู้ว่าคุ้มค่าหรือเปล่า

 

……

 

……

 

ฝนยามค่ำคืนไร้ซุ่มเสียง แล้วก็มิได้น่ารำคาญ

 

จิ๋งจิ่วกลับมาถึงห้องตัวเอง เขาเอนกายนอนลงไปบนเก้าอี้ไม้ไผ่พลางหยิบสมุดเล่มนั้นขึ้นมาพลิกดู

 

สีหน้าเขาดูเรียบเฉยเป็นอย่างยิ่ง

 

หากเปลี่ยนเป็นผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มสาวคนอื่นที่เข้าร่วมงานชุมนุมเหมยฮุ่ย ต่อให้เป็นคนอย่างถงเหยียนก็น่าจะมีสีหน้าเคร่งเครียดเช่นกัน

 

บนสมุดที่ดูมิได้มีอะไรน่าสนใจเล่มนี้บันทึกข้อมูลทั้งหมดของผู้เข้าร่วมประลองร้อยคนแรกที่จะเข้าร่วมงานชุมนุมเหมยฮุ่ยในปีนี้เอาไว้ ข้อมูลที่บันทึกเอาไว้นี้มิใช้ข้อมูลง่ายๆ อย่างพวกสำนัก บ้านเกิด อายุ เพศอะไรพวกนี้ หากแต่เป็นวิชาที่ฝึก อาวุธวิเศษและกระบี่บินที่ถนัด การวิเคราะห์ไหวพริบในการต่อสู้ การประเมินสภาวะและการคาดการณ์อันดับที่จะได้ในท้ายที่สุด

 

ส่วนหนึ่งร้อยคนแรกนี้ถูกกำหนดออกมาอย่างไร ก็ย่อมต้องมาจากการวิเคราะห์ของเจวี่ยนเหลียนเหริน

 

ในเมื่อถึงเกี่ยวพันถึงวิชาและการต่อสู้ เช่นนั้นก็ย่อมต้องหมายถึงรายการสุดท้ายในการประลองทั้งห้ารายการ

 

ประลองวิถีพรต

 

จิ๋งจิ่วมิได้รู้สึกสนใจเป็นพิเศษ เขาพลิกอ่านไปเรื่อยๆ

 

คนที่อยู่อันดับแรกคือลั่วไหวหนาน

 

ผู้นำของศิษย์รุ่นหนุ่มสาวแห่งสำนักจงโจวผู้นี้ เมื่อหกปีก่อนก็สามารถบรรลุเข้าสู่ขั้นจินตันระดับกลางได้แล้ว มิรู้ว่าตอนนี้จะก้าวหน้าไปถึงขั้นไหนแล้ว หากกระบี่ทะเลครามของกั้วหนานซานมิได้ถูกเขาหัก บางทีอาจจะพออาศัยสภาวะขั้นคเนจรรุกรับกับอีกฝ่ายได้ แต่ตอนนี้มองไม่เห็นใครที่จะมีโอกาสท้าเขาได้เลย

 

การที่เจวี่ยนเหลียนเหรินมองว่าเขาจะได้ที่หนึ่งมันก็เป็นเรื่องที่สมควร

 

ที่น่าแปลกใจก็คือคนที่อยู่ในอันดับที่สองมิใช่ถงเหยียน มิใช่ไป๋เจ่า แล้วก็มิใช่ศิษย์ของสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย หากแต่เป็นคนของสำนักกระบี่ซีไห่คนหนึ่งนามว่าถงหลู

 

จิ๋งจิ่วมิได้สนใจอะไรนัก เขาอ่านต่อไปทางด้านหลัง ในที่สุดก็เห็นชื่อของศิษย์ชิงซานอยู่ตรงลำดับที่สิบเจ็ด

 

เยาซงซาน

 

จากนั้นเขาก็เห็นชื่อของตัวเองอยู่ตรงลำดับที่สี่สิบกว่า

 

หลายคนมองว่าการที่จิ๋งจิ่วเอาชนะกู้หานได้นั้นเป็นเรื่องบังเอิญ มันมิได้หมายความว่าความสามารถของเขาจะอยู่เหนือกู้หานจริงๆ

 

มิใช่ว่าทุกคนจะเป็นเหมือนอย่างอาจารย์ในยอดเขาทั้งเก้าของชิงซานที่อยู่กับวิถีกระบี่มายาวนานเป็นเวลาหลายปี จนสามารถมองเห็นถึงความไม่ธรรมดาของเขาได้ แต่ถึงแม้จะเป็นเหล่าอาจารย์ของชิงซานก็ยังคิดว่าหากไม่เป็นเพราะกู้หานมั่นใจในตัวเองเกินไปและฝืนใช้บ่อน้ำเยือกเย็นในสารทฤดูโจมตี แม้นจิ๋งจิ่วจะเป็นร่างกระบี่แต่กำเนิดจริงๆ ก็ไม่มีทางเอาชนะเขาได้ เพราะสภาวะมิประจักษ์ระดับต้นและระดับสูงมีความแตกต่างกันอย่างมาก

 

นี่คือการอนุมานตามปกติ จิ๋งจิ่วมิได้ใส่ใจ

 

เขาเพียงแค่กำลังคิดว่าเจวี่ยนเหลียนเหรินรู้แล้วว่าเจ้าล่าเยวี่ยจะเข้าร่วมประลองวิถีพรต พวกเขาจะต้องทำการแก้ไขสมุดเล่มนี้อย่างแน่นอน มิรู้ว่าเจ้าเด็กน้อยนั้นจะอยู่ในอันดับที่เท่าไร

 

ทันใดนั้นเอง เขาพลันเกิดความรู้สึกสนใจในอันดับของการประลองหมากล้อม

 

แน่นอน เขาไม่คิดว่านี่จะหมายความว่าตัวเองกำลังใส่ใจในเรื่องที่อันดับในการประลองต่ำเกินไป

 

เมื่อพลิกไปถึงส่วนที่เป็นการประลองหมากล้อม ชื่อเสียงที่ปรากฏขึ้นมาในดวงตาของเขาก็คือถงเหยียน คำวิจารณ์ก็เหมือนกับที่ร่ำลือกัน คำชื่นชมต่างๆ เหมือนดั้งบุปผาที่ร่วงโปรยปรายลงมาจากสรวงสวรรค์

 

หลังเลยอันดับที่สิบกว่าไปแล้ว ชื่อของเขาถึงจะปรากฏขึ้นมา คำวิจารณ์ธรรมดาเป็นอย่างมาก

 

—-อันดับหนึ่งในการแข่งหมากล้อมของงานเลี้ยงซื่อไห่ พลังแห่งการคำนวณน่าตกใจ แต่ยังเป็นผู้เล่นระดับต้นอย่างเห็นได้ชัด แม้นปีนี้จะก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่มีทางได้เห็นวิถีอันกว้างใหญ่ได้

 

ช่วงเวลารุ่งเช้า จิ๋งจิ่วตื่นขึ้นมา ใช้เพลิงกระบี่ล้างหน้า จัดระเบียบเสื้อผ้า เดินออกมาจากห้อง มายังโถงด้านนอก

 

คนครอบครัวนั้นกำลังรับประทานอาหารเช้า เป็นโจ๊กเปล่าและหมั่นโถวอย่างง่ายๆ เกี๊ยวน้ำผักกวางตุ้งที่อยู่ในชามใหญ่ตรงกลางดูค่อนข้างน่าอร่อย

 

หญิงสาวที่แต่งงานแล้วลุกขึ้นต้อนรับ ก่อนกล่าวถามอย่างระมัดระวังว่า “จะกินหน่อยไหม?”

 

จิ๋งจิ่วกล่าว “ไม่ต้อง อีกประเดี๋ยวจะมีแขกมาหาข้า เลยมาบอกพวกเจ้าไว้หน่อย มิต้องวิตกกังวล”

 

ครอยครัวนี้อาศัยอยู่ที่นี่มาเป็นเวลานี้ ในวันเวลาปกติย่อมต้องมีเพื่อสนิทมาหาที่บ้านบ้าง แต่เมื่อคิดถึงว่าแขกที่มาในวันนี้คือแขกของจิ๋งจิ่ว แล้วจะไม่ให้พวกเขาวิตกกังวลได้อย่างไร ไม่ว่าจะเป็นปู่ที่อายุมากผู้นั้นหรือสามีภรรยาวัยกลางคนคู่นั้นก็ล้วนแต่เผยใบหน้าที่ดูร้อนใจขึ้นมา ในใจครุ่นคิดอีกประเดี๋ยวควรจะทำอย่างไร

 

มีเพียงเด็กน้อยคนนั้นที่มิได้รับรู้ถึงบรรยากาศภายในครอบครั้ว สายตาจ้องมองจิ๋งจิ่ว ดวงตากลิ้งกรอกไปมาอย่างรวดเร็ว รู้สึกสงสัยใคร่รู้ ในใจครุ่นคิดคนผู้นี้คืออาคนเล็กอย่างนั้นหรือ?

 

“แขกผู้นั้นมิต้องต้อนรับ ทำตัวตามสบายก็พอ”

 

ครั้นกลาวจบประโยคนี้จิ๋งจิ่วก็เตรียมจากไป แต่ก็คิดถึงอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงกล่าวถามว่า “มีบ่อนรับพนันเกี่ยวกับการชุมนุมเหมยฮุ่ยไหม?”

 

ข้างโต๊ะนั่งไว้ด้วยชายหนุ่มผู้หนึ่ง เขาน่าจะเป็นพี่ชายในนามของจิ๋งจิ่ว สองวันมานี่ยังมิได้เอ่ยปากพูดแม้แต่ประโยคเดียว

 

ในเวลานี้ได้ยินจิ๋งจิ่วถาม เขารู้ว่าบิดามารดาและภรรยาไหนเลยจะรู้เรื่องเหล่านี้ จึ่งรีบอธิบายขึ้นมา

 

“งานชุมนุมการยิ่งใหญ่เกี่ยวกับการบำเพ็ญพรตอย่างงานชุมนุมเหมยฮุ่ยนี้ ประชาชนคนธรรมดาในเมืองเจาเกอนั้นไม่มีสิทธิ์ได้เข้าไปสัมผัส ต่อให้เป็นบ่อยที่ขุนนางใหญ่โตเหล่านั้นเป็นคนเปิด ก็ยังกังวลว่าจะทำให้เหล่าอาจารย์เซียนไม่พอใจ ดังนั้นทางราชสำนักจึงสั่งห้ามมาโดยตลอด แต่นี่ก็เป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น ลับหลังก็ยังมีบ่อนเปิดรับพนันอยู่”

 

จิ๋งจิ่วกล่าว “หากมีบ่อนรับพนันที่น่าเชื่อถือ พวกเจ้าน่าจะลองพนันดูหน่อยนะ”

 

ชายหนุ่มผู้นั้นรู้สึกตกใจ กล่าวถามว่า “พนันอะไร?”

 

จิ๋งจิ่วกลาว “แข่งหมากล้อม พนันว่าข้าชนะ”

 

……………………………………………………………………..