ตอนที่ 375 ข้าคือฉู่เยี่ยน / ตอนที่ 376 หนีทัพ

คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา

ตอนที่ 375 ข้าคือฉู่เยี่ยน

ไป๋จื่อพยักหน้า “ไม่ใช่แค่เคยอยู่ในค่ายทหารนะ ด้วยสถานการณ์ของเขาในตอนนี้ เกรงว่าเขาน่าจะเกี่ยวข้องกับเจ้าด้วย”

นางเล่าสิ่งที่จ้าวซู่เอ๋อบอกให้หูเฟิงฟัง เมื่อเขาได้ยินว่าเป็นกองทหารเกราะดำ เขาก็เข้าใจถ่องแท้ในทันที

“ที่แท้ก็เป็นคนของกองทหารเกราะดำ มิน่าเล่า แม่ทัพฟู่แห่งกองทหารเกราะดำเป็นคนสนิทของข้า หลังจากเกิดเรื่องกับข้าแล้ว คนพวกนั้นจะปล่อยพวกเขาให้รอดไปได้อย่างไร และไม่แปลกที่อาอู่จะต้องใช้ชีวิตอย่างหลบๆ ซ่อนๆ แต่เขานับว่าโชคดี อย่างน้อยก็หนีออกมาได้ ไม่รู้ว่ามีพี่น้องกี่คนต้องตายอย่างน่าอนาถอยู่ในค่ายทหาร ส่วนครอบครัวของพวกเขา จนตอนนี้ก็น่าจะยังไม่รู้ว่าญาติของตนเองอยู่หรือตายไปแล้ว”

หลังมือของหูเฟิงที่จับค้อนไม้อยู่มีเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมา สีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง ในดวงตาวาวโรจน์ไปด้วยไฟโทสะ

พูดถึงฟู่เจิง ในใจเขาก็รู้สึกละอายใจนัก ฟู่เจิงซื่อสัตย์จริงใจต่อเขา เป็นผู้ช่วยฝีมือดีของเขาในกองทัพ เขาเคยสัญญากับฟู่เจิงไว้ ว่าเมื่อกลับไปถึงเมืองหลวงแล้ว จะช่วยเขาหาสตรีที่เพียบพร้อม เป็นพ่อสื่อให้เขาแต่งงานเร็วหน่อย สืบสกุลฟู่ของเขาต่อไป

ทว่าเขาทำไม่ได้ แม้กระทั่งไม่สามารถปกป้องชีวิตของพวกเขาได้

อาอู่เป็นผู้ขี่ม้าออกไป เขาช่วยหูเฟิงไปรับอาวุธจากในเมือง หลายวันก่อนหูเฟิงสั่งกระบี่สองเล่มที่ร้านตีเหล็กในเมือง วันนี้เป็นวันที่ตกลงกันไว้ว่าจะไปรับกระบี่ อาอู่ต้องไปซื้อของพอดี เขาจึงขอให้อีกฝ่ายนำกลับมาด้วยเสียเลย ตนจะได้ไม่ต้องวิ่งวุ่นอีกรอบ

เมื่ออาอู่กลับมาก็เป็นยามเซินแล้ว ปกติหูเฟิงมีนิสัยชอบนอนกลางวัน แต่วันนี้กลับตื่นอยู่ตลอด ไม่รู้กำลังนั่งคิดอะไรอยู่กลางห้อง ทันทีที่ได้ยินเสียงม้าร้อง เขาก็หยัดกายลุกขึ้น เดินออกไปนอกห้องทันที

มือซ้ายของอาอู่ถือกระบี่สองเล่ม ส่วนมือขวาถือข้าวของห่อใหญ่ พอเห็นว่าหูเฟิงกำลังยืนมองเขาอยู่ เขาก็ฉีกยิ้มกว้างทันที “กลัวว่าข้าจะลืมกระบี่ของเจ้าใช่หรือไม่ วางใจเถอะ ข้าไม่ลืมหรอก นำกลับมาด้วยทั้งหมดแล้ว”

หูเฟิงไม่ได้พูดอะไร ดวงตาของเขาจ้องเขม็งไปที่ใบหน้าของอาอู่ มองรอยแผลบนนั้น ในใจรู้สึกเจ็บปวดราวกับมีเข็มมาทิ่มแทง

อาอู่เดินเข้าไปในเรือน เขาวางของในมือลง ก่อนจะพูดด้วยความเบิกบานใจ “เหตุใดเจ้าตีกระบี่สองเล่มในคราวเดียวเล่า หรือว่าเจ้าถนัดใช้กระบี่คู่ แต่ก็ไม่น่าจะใช่ กระบี่นี้ยาวเกินกว่าจะเป็นกระบี่คู่ เพราะกระบี่เช่นนั้นควรจะเหมาะมือมากกว่านี้ถึงจะถูก”

หูเฟิงกลับหลังหัน กล่าวกับอาอู่ “เจ้าตามข้ามา ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า”

ชายหนุ่มเดินตรงเข้าไปในห้องแล้ว อาอู่ตะลึงลาน เหตุใดสีหน้าของหูเฟิงถึงดูแปลกๆ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ

ครั้นวางของลงเรียบร้อยแล้ว อาอู่ก็ตามหูเฟิงเข้าไปในห้อง พร้อมทั้งปิดประตูด้วย

หูเฟิงเดินไปที่ข้างหน้าต่าง ก่อนจะหมุนกายมาเผชิญหน้ากับอาอู่ แสงอาทิตย์สาดส่องอยู่เบื้องหลังชายหนุ่ม ทำให้อีกฝ่ายมองสีหน้าของเขาไม่ชัดเจน แต่เขากลับมองเห็นใบหน้าของอาอู่ได้ชัดแจ้งยิ่งนัก

เขาจ้องตาของอาอู่ แล้วกล่าวชัดถ้อยชัดคำอย่างจริงจัง “เจ้าเคยอยู่ในกองทหารเกราะดำหรือ”

สีหน้าของอาอู่เปลี่ยนไปเล็กน้อย “เจ้ารู้ได้อย่างไร” เขาตีศีรษะของตนเองในทันที “ซู่เอ๋อต้องเป็นคนพูดแน่ๆ”

หูเฟิงถามอีก “ตอนที่เจ้าหนีออกมาจากกองทหารเกราะดำ ฟู่เจิงเป็นอย่างไรบ้าง”

ครั้งนี้สีหน้าของอาอู่แปรเปลี่ยนฉับพลัน ซู่เอ๋อรู้ว่าเขาเคยอยู่ในกองทหารเกราะดำ แต่ไม่มีทางรู้จักชื่อของแม่ทัพฟู่ แล้วหูเฟิงรู้ได้อย่างไรกัน

“เจ้าเป็นใคร เหตุใดเจ้าถึงรู้จักชื่อม่ทัพฟู่ของพวกข้าด้วย” อาอู่ถอยหลังไปสองก้าว ฝ่ามือที่แต่เดิมแผ่ออกเริ่มกำเป็นกำปั้น

ในดวงตาของหูเฟิงมีระลอกคลื่นโหมซัดอย่างชัดเจน

“ข้าคือฉู่เยี่ยน” สามปีมาแล้ว เขาไม่ได้พูดถึงชื่อนี้มาสามปีแล้ว แม้แต่เขาเองก็รู้สึกไม่คุ้นเคยกับชื่อนี้

อาอู่ถอยหลังไปอีกสองก้าวด้วยความตื่นตะลึง “ฉู่? ฉู่เยี่ยน?” ฉู่เป็นชื่อแคว้น คนทั่วไปไม่สามารถใช้เป็นแซ่ได้ คนที่จะแซ่ฉู่ได้ก็มีแต่เชื้อพระวงศ์เท่านั้น

และฉู่เยี่ยนเป็นชื่อของจอมพลสามเหล่าทัพ ผู้ร่วมเป็นร่วมตายกับเหล่าทหารอยู่ที่ชายแดนทางตะวันตกเฉียงเหนือ หรือนั่นก็คือจิ้นอ๋อง

……….

ตอนที่ 376 หนีทัพ

ฉู่เยี่ยนไม่เพียงเป็นผู้บังคับบัญชากองทหารม้าหุ้มเกราะที่ศัตรูได้ยินชื่อแล้วต้องอกสั่นขวัญแขวน แต่ยังเป็นเทพสงครามที่เขา โจวอาอู่ผู้นี้เคารพนับถือเป็นที่สุดในตอนนั้น เขาเฝ้าใฝ่ฝันว่าจะได้พบหน้าจิ้นอ๋องสักครั้ง แม่ทัพฟู่เองก็เคยรับปากพวกเขาไว้ ว่าหลังเคลื่อนพลกลับถึงเมืองหลวงแล้ว จิ้นอ๋องจะจัดงานเลี้ยงให้ทั้งสามเหล่าทัพ เมื่อถึงเวลานั้น แม่ทัพฟู่จะพาเขาไปเข้าเฝ้าท่านอ๋อง

“จะ เจ้าคือจิ้นอ๋องหรือ” เสียงของอาอู่สั่นเครือ ดวงตาจ้องมองไปยังหูเฟิงที่อยู่เบื้องหน้า หูเฟิงที่เขาใช้ชีวิตอยู่ด้วยในทุกวัน

หูเฟิงกล่าว “สามปีก่อนข้าถูกคนลอบทำร้ายจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด หลังจากตื่นขึ้นมาก็มาอยู่ที่นี่แล้ว ในหัวสมองของข้าไม่เหลือความทรงจำในอดีตแม้สักกระผีก สามปีมานี้ข้าใช้ชีวิตในฐานะบุรุษนามว่าหูเฟิง แต่พยายามทุกวิถีทางแล้วก็ยังฟื้นความทรงจำกลับมาไม่ได้”

อาอู่นึกถึงก่อนหน้านี้ ที่ไป๋จื่อพยายามปรุงยาให้หูเฟิงอย่างเอาเป็นเอาตาย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นิสัยของอู่ก็เปลี่ยนไปมาก แม้จะไม่ชัดเจนนัก แต่ก็มีการเปลี่ยนแปลงจริงๆ เพียงแต่เขาก็ไม่ค่อยได้สนใจเท่าไรนัก

ที่แท้เขาก็ฟื้นความทรงจำกลับมาได้แล้ว ที่แท้เขาก็คือจิ้นอ๋องที่ตนเองอยากจะพบ แต่กลับไม่มีโอกาสมาโดยตลอด

เขาน้ำตารื้นขึ้นมาด้วยความตื้นตัน เร่งก้าวไปข้างหน้าหลายก้าว ก่อนจะคุกเข่าลงต่อหน้าหูเฟิง “ท่านอ๋อง ท่านยังมีชีวิตอยู่ ช่างดีเหลือเกิน หากแม่ทัพฟู่ในปรโลกได้รับรู้ เขาจะต้อง…” เขาสะอึกสะอื้นจนพูดออกมาไม่เป็นศัพท์ ภาพอันน่าอนาถฉากแล้วฉากเล่าในปีนั้นยังคงติดตา เขาไม่มีทางลืมลงแม้สักวัน ไม่กล้าลืม ไม่อาจลืม และไม่สามารถจะลืมได้

สีหน้าของหูเฟิงเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย มือคว้าหมับไปที่แขนของอาอู่ เพื่อดึงให้เขาลุกขึ้น “เจ้าว่าอะไรนะ ฟู่เจิงตายแล้วหรือ เขาตายได้อย่างไร”

เขารู้จักวรยุทธ์ของฟู่เจิงดี หากอาอู่หนีออกมาได้ ฟู่เจิงย่อมต้องทำได้เช่นเดียวกัน เหตุใดฟู่เจิงถึงหนีออกมาไม่ได้เล่า

อาอู่เช็ดน้ำตาที่หางตา กล่าวเสียงสะอื้นว่า “เพื่อให้พวกข้าหนีมาได้ ท่านแม่ทัพต้านยอดฝีมือสามสิบคนของฝ่ายตรงข้ามด้วยตัวคนเดียว พวกข้า พวกข้า…” เขาพูดไม่ออก ในฐานะที่เป็นนายทหารคนหนึ่ง พวกเขาไม่ควรหนี พวกเขาควรอยู่ต่อ ถึงแม้ตัวจะตาย แต่ก็ไม่อาจเป็นทหารหนีทัพที่หนีตายเพราะศัตรูมาอยู่ตรงหน้าได้

ทว่าแม่ทัพฟู่สละชีวิตของตนเองเพื่อให้พวกเขาหนี สั่งพวกเขาไว้ว่าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องหนีจากค่ายทหารไปให้ได้

“พวกเจ้าทิ้งให้เขาต้านมือสังหารเพียงลำพังรึ” เสียงของหูเฟิงดุดันขึ้นมาทันควัน

“ท่านแม่ทัพไม่เชื่อว่าท่านอ๋องจะตาย เขาบังคับให้พวกข้าหนี ให้พวกเขาพยายามอย่างสุดกำลังเพื่อตามหาท่าน ทว่าพวกเขาตามหาในทุกที่ที่จะทำได้แล้ว ก็ยังไม่พบข่าวคราวของท่านเลย เวลานั้นข้าศึกโอบล้อม พวกข้าตกอยู่ในสถานการณ์ที่จนใจ จึงทำได้เพียงจากมา พาครอบครัวเริ่มชีวิตร่อนเร่พเนจร”

แววตาดุร้ายของหูเฟิงจางหายไป ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง พวกอาอู่ต้องออกจากค่ายทหารด้วยความจนใจ เขาพอจะเข้าใจได้

หากเป็นเขาในอดีตคงไม่มีทางเข้าใจ ไม่อาจจะเข้าใจได้ด้วยซ้ำ

เขาในอดีตแม้จะมีครอบครัว ทว่าก็เท่ากับไม่มีใคร ตั้งแต่เขาจำความได้ เขาก็ร่ำเรียนวนยุทธ์กับอาจารย์แล้ว แม้เขาจะเป็นองค์ชาย แต่เขาไม่เคยได้ใช้ชีวิตบนบัลลังก์ตั่งทองเลยสักวัน เขาจึงไม่สนใจของนอกกายเหล่านั้นเท่าไรนัก เพียงหวังว่าจะได้ใช้ชีวิตเฉกเช่นคนธรรมดาเท่านั้น มีบิดาให้พึ่งพิง มีมารดาที่คอยนึกถึง กระนั้นเขากลับไม่เคยมีชีวิตเช่นนั้น นอกจากฐานะองค์ชายที่ว่าแล้ว เขาไม่มีอะไรสักอย่าง

แต่ตอนนี้เขามีบิดาที่รักเขาด้วยใจจริง มีเด็กสาวที่คอยคะนึงหาเขา มีคนที่เขาอยากจะทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อปกป้องแล้ว

เขาจึงเข้าใจ และเข้าใจอาอู่ได้แล้ว เพื่อคนที่เขาอยากปกป้องเหล่านั้น เขาสามารถเลือกทำเช่นเดียวกับอาอู่ ถึงแม้จะได้ชื่อว่าทรยศก็ตาม