ตอนที่ 377 ฝากฝัง / ตอนที่ 378 บ้านรองแยกบ้าน

คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา

ตอนที่ 377 ฝากฝัง

“เอาล่ะ เจ้าไม่ต้องโทษตัวเอง นี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้า ส่วนแค้นของฟู่เจิง ข้าจะต้องชำระให้อย่างแน่นอน” หูเฟิงกล่าวเสียงทุ้ม แววตาที่เหมือนจะสงบนิ่งของเขา คล้ายกับปรากฏความดุดันอันน่าพรั่นพรึงขึ้นมาเลือนราง

อาอู่เช็ดน้ำตาบนใบหน้า คุกเข่าลงตรงหน้าหูเฟิงอีกครั้ง “ท่านอ๋อง ข้าโจวอาอู่ขอสาบานว่าจะติดตามท่านอ๋อง แม้จะต้องขึ้นภูเขาแห่งคมดาบ หรือลงทะเลแห่งเปลวเพลิง ข้าก็ไม่เสียใจทั้งสิ้น!”

หูเฟิงประคองให้เขาลุกขึ้น “ไม่จำเป็นต้องขึ้นภูเขาแห่งคมดาบ หรือลงทะเลแห่งเปลวเพลิงหรอก ตอนนี้ข้ากลับมีเรื่องจะฝากฝังเจ้ามากกว่า”

“ท่านอ๋องโปรดบัญชา” อาอู่รีบกล่าว

ชายหนุ่มหมุนกาย มองออกไปนอกหน้าต่างที่แง้มเอาไว้ ใบไม้บนต้นสาลี่ข้างนอกหน้าต่างเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลือง อีกไม่นานใบไม้ก็จะเริ่มร่วงแล้ว

เขากลัวว่าจะทำเรื่องที่รับปากกับไป๋จื่อไว้ไม่ได้

“อาอู่ หลังจากข้าไปแล้ว เจ้าปกป้องท่านพ่อ ไป๋จื่อ และท่านน้าหลานแทนข้าให้ดี เรื่องที่ไป๋จื่อถูกโบยเมื่อครั้งก่อน อย่าให้เกิดขึ้นซ้ำสองเป็นอันขาด”

สีหน้าของอาอู่แปรเปลี่ยน “ท่านอ๋อง ท่านจะไปเข้าร่วมกองทัพจริงหรือ เพราะเหตุใดกัน” เขาไม่เข้าใจ หูเฟิงคือจิ้นอ๋อง บัดนี้ฟื้นความทรงจำกลับมาได้แล้ว ฝ่ายราชสำนักก็ยังไม่ประกาศการตายของเขาอย่างเป็นทางการ ย่อมเป็นการบอกว่าราชสำนักรอเขากลับไปอยู่จริงๆ

เขากลับไปที่เมืองหลวงอย่างสง่าผ่าเผย หวนคืนสู่ตำแหน่งที่เป็นของเขาเองก็ย่อมได้ เหตุใดต้องเลือกเดินบนเส้นทางอันยากลำบากเช่นนี้ด้วย

“ข้าต้องการแย่งชิงสิ่งที่ข้าเสียไปคืนมา ยิ่งต้องการให้คนที่ทำร้ายข้าเหล่านั้นชดใช้” เขากลับหลังหันมาเผชิญหน้ากับอาอู่อีกครั้ง “หากข้ากลับไปเมืองหลวง แล้วจะใช้อะไรไปต่อกรกับศัตรูที่กุมกำลังทหาร และมีอำนาจล้นฟ้าพวกนั้นกัน ก่อนที่จะกล้าเผชิญหน้ากับพวกเขา ข้าจำต้องมีอำนาจในการปกป้องตนเองและควบคุมพวกเขา ไม่เช่นนั้นเรื่องเมื่อสามปีก่อนจะต้องเกิดขึ้นซ้ำรอยเดิมแน่”

อาอู่เข้าใจในทันที เมื่อคิดตามแล้วก็เป็นเช่นที่หูเฟิงว่า หากเขากลับเมืองหลวงตอนนี้ เขาทั้งไม่มีสิทธิ์และอำนาจ จะรับมือศัตรูที่ปรารถนาจะให้เขาตายได้อย่างไร สามปีก่อนคนพวกนั้นก็มีอำนาจล้นฟ้าแล้ว ไฉนเลยตอนนี้จะไม่มีอำนาจมากกว่านั้น

“ท่านอ๋อง ท่านไปเข้าร่วมกองทัพเพียงลำพัง แล้วข้าน้อยจะวางใจได้อย่างไร ให้ข้าน้อยติดตามท่านไปด้วยเถอะ แม้อาอู่ผู้นี้จะไม่มีความสามารถอะไร ทว่าได้อยู่ข้างกายท่าน จะมากจะน้อยอย่างไรก็ปกป้องท่านได้บ้าง”

หูเฟิงส่ายหน้า “ตอนนี้ข้าเป็นห่วงที่นี่ที่สุด ท่านช่วยข้าดูแลพวกเขาให้ดี นั่นก็เท่ากับช่วยข้าได้มากที่สุดแล้ว อาอู่ ข้าฝากท่านด้วย”

น้ำตาร้อนๆ เอ่อมาที่ขอบตาของอาอู่อีกครั้ง นอกจากพยักหน้ารับคำแล้ว เขาจะยังพูดอะไรได้อีกเล่า

ไป๋จื่อชักมือที่กำลังจะเคาะประตู น้ำตาร้อนผ่าวไหลลงอาบแก้ม หยดลงสู่ฝ่ามือ แผดเผาไปถึงหัวใจของนาง

สกุลไป๋เกิดการแยกบ้านในที่สุด นาน้ำห้าหมู่ สองพี่น้องได้รับคนละสองหมู่ หญิงชราครองหนึ่งหมู่ นางอยู่ร่วมกันกับบุตรชายคนโต ก็เท่ากับว่าบ้านใหญ่ได้รับนาสามหมู่

ที่ดินแบ่งเป็นหกส่วน บ้านใหญ่ได้สี่ส่วน บ้านรองได้สองส่วน

พวกเขาจะอยู่ร่วมกันเช่นในปัจจุบัน ห้องครัวยังคงใช้ร่วมกันเช่นเคย เพียงแต่ต่างคนต่างใช้ฟืน ข้าว น้ำมัน และเกลือของตนเอง

เงินในหีบของหญิงชรา นางให้เจ้ารองเพียงทองแดงหนึ่งพวง ประมาณสามสิบเหรียญได้

ข้าวสาลีที่เก็บเกี่ยวมาแล้วยังไม่ได้ขาย แต่ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ เขาไม่น่าจะได้รับส่วนแบ่งข้าวแม้สักเมล็ด

เจ้ารองเจ็บใจยิ่งนัก ทว่าเพื่อที่จะได้แยกบ้าน เขาต้องทนรับเงื่อนไขไม่ยุติธรรมนี้ โชคดีที่มีหัวหน้าหมู่บ้านช่วยตัดสินให้ ที่นาจึงนับว่ายุติธรรมแล้ว อย่างน้อยนาน้ำสองหมู่รวมกับที่ดินสองส่วน หากประหยัดสักหน่อย ก็เพียงพอให้พวกเขาทั้งครอบครัวกินอิ่ม แม้กระทั่งหากประหยัดมากกว่านั้น ก็อาจจะร่ำรวยจนเหลือกินเหลือใช้ก็เป็นได้ อย่างไรเสียก็ดีกว่าเจียดเงินของทั้งครอบครัวไปจุนเจือไป๋เสี่ยวเฟิงผู้นั้น

จางซื่อถือเงินสามสิบเหรียญทองแดง นับรอบแล้วรอบเล่า คำนวณครั้งแล้วครั้งเล่า ยิ่งนับหัวคิ้วของนางก็ยิ่งขมวดเข้าหากันแน่นขึ้น สีหน้าดูไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง

……….

ตอนที่ 378 บ้านรองแยกบ้าน

“เป็นอะไรไป” เจ้ารองถาม

จางซื่อถอนใจเสียงหนึ่ง ก่อนจะยกเหรียญทองแดงในมือขึ้น “เงินนี้น้อยนัก ทั้งยังไม่แบ่งเสบียงอาหารให้พวกเราอีกต่างหาก ใกล้จะเข้าฤดูหนาวแล้ว เช่นนั้นพวกเราจะผ่านฤดูหนาวปีนี้ไปได้อย่างไร”

เจ้ารองนั่งลงข้างกายนาง พลางถอนใจยาวๆ เสียงหนึ่ง “ข้าคิดว่าอย่างน้อยที่สุดท่านแม่น่าจะให้เงินพวกเราหนึ่งตำลึงเงิน หากมีหนึ่งตำลึงเงิน พวกเราซื้อข้าวและแป้งมาสักหน่อย กินอยู่อย่างประหยัด อย่างไรก็น่าจะใช้ชีวิตไปได้จนถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้า แต่ใครจะรู้ว่า…เฮ้อ…”

เขาคอตกอยู่เนิ่นนาน แต่จู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้น รีบพูดว่า “หรือข้าไปเข้าร่วมกองทัพน่าจะดีกว่า ไม่เพียงประหยัดเสบียงอาหารไปได้คนหนึ่ง ยังได้เงินอีกยี่สิบตำลึง เจ้า ฟู่กุ้ย และเจินจูก็ไม่ต้องกลัวอดอยาก ได้เงินเก็บเพิ่มขึ้นเช่นนี้ ต่อไปจะได้นำไปใช้ตอนฟู่กุ้ยแต่งภรรยาได้”

จางซื่อรีบส่ายหน้า “ไม่ได้ สงครามครั้งก่อนดุเดือดนัก ข้าไม่เหมือนแม่ของเจ้า ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่อยากเป็นหม้าย เอาอย่างนี้แล้วกัน วันหลังข้าจะไปขอยืมเสบียงอาหารจากบ้านพี่ชายของข้าสักหน่อย พอประทังชีวิตผ่านฤดูหนาวไปได้แล้วค่อยว่ากัน”

เจ้ารองรู้สึกอบอุ่นหัวใจ เขากอดภรรยาของตนเอง “เจ้าดีกับข้านัก รู้จักเอาใจใส่เสียจริง” เมื่อนึกถึงความเย็นชาที่ผู้เป็นมารดาจะให้เขาและฟู่กุ้ยไปเข้าร่วมกองทัพเมื่อวาน หัวใจของเขามีแต่ความหนาวเหน็บ บัดนี้ในที่สุดก็อบอุ่นขึ้นมาได้แล้ว

ทว่าจางซื่อถูกเขากอดอย่างกะทันหันกลับรู้สึกตกใจ รีบดันตัวเขาออกห่าง “อะไรของเจ้า เดี๋ยวฟู่กุ้ยก็เข้ามาเห็นหรอก” แม้จะพูดออกมาเช่นนั้น ทว่าบนใบหน้าเฉยชาของนางก็ปรากฏรอยยิ้มขวยเขินออกมาอยู่ดี

“อาอู่ กระบี่เล่มนี้ข้าให้เจ้า” หูเฟิงหยิบกระบี่ยาวที่อาอู่เพิ่งนำกลับมาจากร้านตีเหล็กในเมือง แล้วส่งให้อีกฝ่าย

กระบี่สองเล่ม เล่มหนึ่งยาวทว่าเบา ส่วนอีกเล่มหนาหนักและคมกริบ

เขาสังเกตอาอู่อยู่เสมอ ด้วยนิสัยของอาอู่แล้ว น่าจะชอบใช้กระบี่หนักๆ มากกว่า เขาจึงตั้งใจให้ช่างตีเหล็กทำกระบี่ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงออกมาสองเล่ม

อาอู่รู้สึกประหลาดใจเพราะได้รับรางวัลอย่างกะทันหัน ครั้นรับกระบี่มาแล้วก็ลองชักมันออกจากฝักในทันที แม้จะไม่เหมาะมือเท่ากระบี่ที่เขาเคยใช้ตอนอยู่ในค่ายทหาร แต่เขากลับคุ้นชินกับมันมากกว่ากระบี่ที่พบเห็นได้ทั่วไปในตลาดเสียอีก

“ท่านอ๋องเมตตาข้าแล้ว ข้าชอบใช้กระบี่หนักๆ จริงๆ กระบี่เล่มนี้จึงเหมาะยิ่ง”

“ก็แค่ใช้แก้ขัดไปก่อนเท่านั้น ต่อไปหากมีโอกาส ข้าจะหากระบี่เล่มที่ดีกว่านี้ให้เจ้า” หูเฟิงยิ้มจางๆ

“ขอบคุณท่านอ๋อง!” อาอู่ประสานมือคารวะ ตั้งแต่รู้ว่าหูเฟิงคือจิ้นอ๋อง เขายิ่งไม่อาจปฏิบัติกับอีกฝ่ายเหมือนปกติได้อีก

หูเฟิงมองไปรอบๆ เห็นว่าไม่มีใครสนใจพวกเขา จึงเอ่ยว่า “ไม่ต้องเรียกข้าว่าท่านอ๋องหรอก เรียกข้าว่าหูเฟิงเหมือนเมื่อก่อนก็พอแล้ว ท่าทางเช่นนี้ของเจ้า มีแต่จะเปิดเผยฐานะของข้าเสียเปล่าๆ”

“ขอรับ ท่านอ๋อง!” อาอู่รีบพยักหน้ารับ

หูเฟิงเองก็คร้านจะพูดกับเขา เมื่อเห็นไป๋จื่อและจ้าวหลานดันรถเข็นล้อเดียวเข้ามา จึงรีบส่งกระบี่ในมือให้อาอู่ แล้วก้าวเข้าไปช่วยในทันใด

จ้าวหลานไม่ยอมส่งรถเข็นให้เขา “ไอ้หยา ไม่ต้องช่วยข้าหรอก งานเล็กน้อยแค่นี้พวกข้าทำได้ เจ้ารีบไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้จะต้องไปรายงานตัวที่ค่ายทหารแล้วนี่”

ชายหนุ่มแย่งรถเข็นมา เข็นมันเดินเข้าไปในลานบ้าน “ไม่เป็นไร”

หลังจากวางรถเข็นเรียบร้อยแล้ว เขาก็ช่วยไป๋จื่อขนถังไม้และถ้วยชามที่ว่างเปล่าไปที่ลานด้านหลัง

ไป๋จื่อนั่งล้างชามอยู่หน้ากะละมังไม้ ส่วนหูเฟิงยืนมองอยู่ข้างๆ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาทั้งนั้น

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ในที่สุดไป๋จื่อก็ทนไม่ไหว นางวางผ้าขี้ริ้วและชามในมือลง แล้วเงยหน้าเล็กๆ เอ่ยถามหูเฟิงว่า “เจ้าเลิกมองข้าได้หรือไม่”

หูเฟิงเม้มปากซ่อนรอยยิ้ม “ในที่สุดเจ้าก็ยอมพูดกับข้าแล้วหรือ”

ไป๋จื่อกลอกตาขาวให้เขาครั้งหนึ่ง ก่อนจะหันหน้ากลับไปล้างชามต่อ “ข้าไม่ยอมพูดกับเจ้าตั้งแต่เมื่อไร พูดเหมือนกับข้าโกรธเจ้าอยู่อย่างนั้นแหละ”