หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.464 – เขามาแล้ว!

 

ตึ่ง! ตึ่ง!

 

ทั้งสองฝ่ายเคลื่อนกายท่ามกลางเสียงกลองศึกที่ราวกับพายุกระหน่ำ

 

ฉานนู่วาดดาบออกไป ตั้งในท่วงท่าป้องกัน

 

ขณะที่ร่างของเซ่าหวูชุ่ยโค้งกายลงเล็กน้อย

 

เพล้ง!

 

เขาย่ำพื้นอย่างแรงจนทั่วบริเวณฝ่าเท้าบังเกิดรอยแตกร้าว

 

และนี่เป็นเพียงพละกำลังกายเพียวๆเท่านั้น!

 

เช่าหวูชุ่ยวูบไหวเป็นเงา พริบตาที่เขาย่ำลงบนตำแหน่งนั้น ทั้งคนทั้งร่างว่าบบบ! เข้ามาถึงเบื้องหน้าของฉานนู่ทันที

 

พร้อมกับกำปั้นนับสิบที่ระเบิดออก ระดมเข้าใส่เธอในเวลาเดียวกัน

 

ฉานนู่ต้อนรับการมาเยือนของเขาด้วยดาบในมือของเธอ

 

คมดาบแปรเปลี่ยนเป็นจุดแสง พรั่งพรูออกมาด้วยเฉดเงาดาบนับร้อย พุ่งเผชิญไปทางกำปั้น

 

เทคนิคดาบ ตัดสายลม!

 

พริบตาสั้นๆดาบและหมัดก็บดขยี้กันและกัน บังเกิดเสียงปะทะราวกับโลหะที่หนักทึบ

 

และในทันที เซ่าหวูชุ่ยก็ตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ที่แตกฉานในกระบวนท่าดาบจริงๆ

 

เลือดลมในกายเขาเริ่มขับเคลื่อน ควบรวมไปหล่อเลี้ยงทั้งร่าง เพิ่มพูนพละกำลังของเขา

 

ในวินาทีถัดมา เสียงกระหน่ำของของกลองศึกก็ถูกกลบลง

 

ปงงงงงง!

 

บังเกิดเสียงหนักทึบที่กระจ่างชัดเข้ามาแทนที่

 

ฉานนู่ถูกเป่ากระเด็นออกไป กลิ้งขลุกๆลงกับพื้นไปหลายสิบจั้งจึงจะหยุดลง

 

เธอใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ทิ้งระยะห่าง ปักดาบยันตัวขึ้นและพ่นลิ่มเลือดออกมา

 

ขณะที่เซ่าหวูชุ่ยยังคงยืนอยู่ในตำแหน่งเดิม และเพียงแค่สะบัดๆสองมือของเขาเบาๆเท่านั้น

 

ทว่าบนถุงมือ กลับปรากฏร่องรอยขนาดเล็กนับสิบของคมดาบ

 

ด้วยฐานะที่เป็นถึงนักสู้หวูเต๋า พละกำลังกล้ามเนื้อเพียวๆมันจึงน่าเกรงขามเกินไป และความสามารถในการรับมือกับสถานการณ์อย่างกระทันหันของอีกฝ่ายก็ไม่เลวเลย ดังนั้นมันจึงไม่ใช่สิ่งที่ฉานนู่จะรับมือได้

 

หวังหงษ์เต๋าที่หรี่สองตาแคบลงตลอดมา เมื่อเห็นถึงฉากนี้ ในหัวใจของเขาก็คลายลง

 

เวลานี้ ดูเหมือนว่าเสียงกลองที่เติมเต็มไปในอากาศที่ว่างเปล่า จะไม่เดือดพล่านอีกต่อไปแล้ว

 

“มีทักษะดาบที่ดี แต่ยามนี้ไม่สามารถใช้พลังวิญญาณได้ เมื่อเทียบเปรียบกับนักสู้หวูเต๋าที่ว่างเว้นเมื่อใด ก็ออกกำลังฝึกฝนตลอดทั้งแรมปีแล้ว เจ้าก็อ่อนแอเกินกว่าจะชายตามองได้”

 

หวังหงษ์เต๋าผายมือทั้งสองข้าง ปากเอ่ยกล่าวแสดงความคิดเห็น

 

“ท่านอาจารย์ ในการโจมตีครั้งต่อไป หากข้าต้องการที่จะระเบิดร่างของเขาในกระบวนท่าเดียวเลย มันจะได้หรือไม่” เซ่าหวูชุ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้มฉกาจฉกรรจ์

 

“ก็เอาสิ อันที่จริงแล้วค่ายกลซ่อมแซมจะใช้เวลาอีกราวๆหนึ่งในสี่ชั่วยามจึงจะสมบูรณ์ เดิมทีแล้วข้าต้องการจะถ่วงเวลาจนกว่ามันจะกลับมาทำงานได้อีกครั้ง แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่จำเป็นแล้ว”

 

หวังหงษ์เต๋ายิ้ม ปากอ้าถอนหายใจยาวและกล่าว “นี่มันเป็นเรื่องไร้สาระโดยแท้”

 

ฉานนู่ไม่ตอบเขา ที่เธอทำก็เพียงแค่ยกดาบขึ้นมาตั้งท่าอีกครั้ง

 

ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ต่อให้เธอจะต้องได้รับบาดเจ็บเพียงใด แต่ก็ต้องถ่วงเวลาเอาไว้ให้ได้!

 

เซ่าหวูชุ่ยหุบมือเกร็งกำปั้นแน่น โค้งกายตั้งตัวเตรียมจะเคลื่อนไหวด้วยกระบวนท่าต่อไป

 

อย่างไรก็ตาม –

 

จู่ๆหวังหงษ์เต๋ากับเซ่าหวูชุ่ยก็ดูเหมือนจะรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง ทั้งสองเบนสายตาออกไปในทิศทางเดียวกันอย่างกระทันหัน

 

ขณะที่ฉานนู่ตั้งท่าป้องกันเป็นแม่นมั่น และจ้องมองไปยังร่างๆหนึ่งในทิศทางนั้นเช่นกัน

 

แต่วินาทีต่อมา ฉานนู่ราวกับเห็นพระมาโปรด ทั้งคนทั้งร่างของเธอคลายลง ถอนหายใจโล่งอก

 

เห็นแค่เพียงชายผู้หนึ่งที่กุมดาบเอาไว้ในมือ เร่งฝีเท้าทะยานตัวมุ่งตรงมาจากเบื้องหน้า

 

เขามาแล้ว!

 

ฉานนู่พยายามที่จะสงบสติอารมณ์ของตัวเอง เธอเอ่ยอย่างนุ่มนวลว่า “นายน้อย ท่านมาแล้ว”

 

“เจ้าได้รับบาดเจ็บอย่างงั้นหรือ?” กู่ฉิงซานจ้องมองริมฝีปากของเธอที่มีเลือดไหลออกมา

 

“การต่อสู้ก็ต้องมีบาดเจ็บกันบ้าง”

 

“ใครทำร้ายเจ้า?”

 

“เซ่าหวูชุ่ย”

 

กู่ฉิงซานหันหน้าไป เบนสายตาไปมองเซ่าหวูชุ่ย

 

“ … ดูเหมือนว่าพวกเราจะเจองานหินเข้าแล้วสินะ เอาล่ะ ตอนนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องแสร้งลวงเป็นผู้อื่นอีกต่อไปแล้ว” เขาเอ่ยเสียงกระซิบ

 

“เจ้าค่ะ นายน้อย”

 

เห็นแค่เพียง ‘ฉีหยาน’ พยักหน้า ขณะเดียวกันทั้งคนทั้งร่างก็บังเกิดการเปลี่ยนแปลง ทรวดทรงแปรผันไปเป็นหญิงสาวที่งดงามโดดเด่นคนหนึ่ง

 

ชุดคลุมสีฟ้า ร่างกายอ่อนช้อย ริมฝีปากแดง ผิวราวกับหยก ครอบครองใบหน้าอันงดงาม ทว่าท่าทีการแสดงออกโดยรวมบนใบหน้ากลับเผยถึงร่องรอยจางๆของความเย็นชา

 

เธอเดินมาหยุดยืนอยู่เคียงข้างกายของกู่ฉิงซาน

 

-ฉานนู่

 

“ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเป็น 2 ต่อ 2 แล้วนะ”

 

กู่ฉิงซานมองฝ่ายตรงข้ามและกล่าว

 

อย่างไรก็ตาม สายตาของเขามิได้มองหวังหงษ์เต๋าเลย มันกลับจดจ้องอยู่แต่กับเซ่าหวูชุ่ยเพียงผู้เดียว

 

พร้อมด้วยเจตนาฆ่าอันบางเบาที่คุกรุ่นขึ้นมาจากตัวเขา

 

อีกด้านหนึ่ง หวังหงษ์เต๋ามองมายังฉานนู่ ก่อนจะสลับมามองกู่ฉิงซาน สีหน้าของเขาหม่นทะมึนลง

 

หวังหงษ์เต๋าหันขวับ และตบลงบนใบหน้าของเซ่าหวูชุ่ยดังฉาด!

 

“ท่านอาจารย์โปรดให้อภัย ที่จริงแล้วข้าเองก็มิเคยพบเห็นผู้ฝึกยุทธหญิงคนนี้มาก่อนเลยเช่นกัน” เซ่าหวูชุ่ยกล่าว

 

เซ่าหวูชุ่ยมองคนตรงหน้าทั้งสอง นิ่งงันไปสักพัก ในหัวใจทำใจเชื่อไม่ได้อยู่ครู่หนึ่ง

 

วินาทีต่อมา ทั้งสองฝ่ายไม่มีใครเอ่ยคำใดออกมาอีกเลย

 

ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง!

 

เสียงกลองศึกดังสะท้านไปตลอดทั่วทั้งเกาะไม่มีหยุดพัก

 

“อาวุโสหวัง เจ้าคิดว่ายามเมื่อกลองศึกได้หยุดลง ฝ่ายใดกันที่จะยังคงมีชีวิตรอดอยู่ต่อไป?”

 

กู่ฉิงซานเอ่ยถามขึ้นทันใด

 

—เจ้าเด็กนี่พูดขึ้นมาอีกทำไม? หรือว่ามันต้องการจะถ่วงเวลา? ทว่าขณะคิด จู่ๆสีหน้าของหวังหงษ์เต๋าก็แปรเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน

 

เห็นแค่เพียงร่างของกู่ฉิงซานที่วูบไหว พุ่งตรงมายังเซ่าหวูชุ่ย

 

แม้จักไม่ได้ใช้พลังวิญญาณ แต่ความว่องไวของกู่ฉิงซานก็มิได้เลวร้ายเลย

 

ในครั้งอดีต ยามเมื่อต้องการที่จะเรียนรู้ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว เขาได้ทำการฝึกฝนท่าร่างในการเคลื่อนกายอย่างยาวนานและหนักหน่วง

 

ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้วนั้น เป็นสกิลที่ใช้ทั้งทักษะทางกายภาพและความสามารถในกระตระหนักรู้เรื่องกฏของมิติอย่างแท้จริง เรียกได้ว่าแม้กระทั่งในบรรดาสกิลเทวะประเภทเดียวกัน มันก็ยังเป็นหนึ่งในสกิลระดับสูง

 

ส่งผลให้ในปัจจุบันนี้ ต่อให้กู่ฉิงซานไม่ได้ใช้พลังวิญญาณในการสื่อสารกับกฏแห่งมิติ เขาก็สามารถใช้ท่าร่างของย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้วได้อย่างหมดจดอยู่ดี

 

ฉานนู่ตามติดเขาไปอย่างใกล้ชิด และท่าร่างการเคลื่อนไหวของเธอก็เป็นการเคลื่อนไหวเดียวกันกับของกู่ฉิงซาน

 

ยามเมื่อออกวิ่งมาข้างหน้า ทั้งสองราวกับรวมเป็นหนึ่ง การเคลื่อนไหวช่างสอดคล้อง ผสานกันโดยสมบูรณ์

 

มันราวกับว่าฉานนู่ได้กลายเป็นเงาของกู่ฉิงซานแล้วอย่างไรอย่างงั้น

 

ฉากนี้ค่อนข้างที่จะทำให้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

 

หวังหงษ์เต๋าตบหลังเซ่าหวูชุ่ยทันที

 

“จงไปซะ ไปต้านทานพวกมัน ข้าต้องการที่จะล่วงรู้ถึงความลับของพวกมันมากยิ่งกว่านี้”

 

“ขอรับ”

 

เซ่าหวูชุ่ยกระชับถุงมือสีแดงเข้มแน่นขึ้น ตั้งท่าร่างหมัดขนานกับหน้าอก และเหวี่ยงมันออกไปต้อนรับกู่ฉิงซานกับฉานนู่

 

ตึ่ง! ตึ่ง!

 

ท่ามกลางเสียงกระหน่ำของกลองศึก ทั้งสองฝ่ายก็ได้ปะทะกันในฉับพลัน

 

มิได้เห็นถึงฉากที่เจิดจรัสไปด้วยแสงสวรรค์และเทคนิคมนตราอันน่าสะพรึงกลัวใดๆ มิได้เห็นรังสีดาบหรือเฉดเงาของกำปั้นใดๆเช่นกัน

 

ทั้งสองทุ่มต่อสู้เป็นตายด้วยกระบวนท่าและพละกำลังร่างกายเพียวๆ!

 

กู่ฉิงซานจ้วงแทงดาบยาวของเขาออกไป

 

ขณะที่เซ่าหวูชุ่ยยิ้มเหี้ยมเกรียม มันใช้มือข้างหนึ่งคว้าจับคมดาบให้หยุดนิ่ง และควบรวมพละกำลังไว้ที่มืออีกข้าง เตรียมจะง้างกำปั้นหวดสวนกลับไป

 

หลังจากที่ก่อนหน้าที่ได้ทำการตรวจสอบถึงพละกำลังของฝ่ายตรงข้ามแล้ว เซ่าหวูชุ่ยก็ตัดสินใจที่จะปิดฉากทันที

 

กำปั้นใหญ่นี้ ควบรวมเลือดลมจากทุกส่วนของร่างกาย มันสามารถเป่าทั้งคนทั้งร่างของอีกฝ่ายไปให้กลายเป็นศพได้ในทันที!

 

ด้วยกำปั้นนี้ จะปิดฉากชีวิตของอีกฝ่ายลงในคราวเดียว!

 

กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว เขาชักดาบกลับและถอนตัวออกมา

 

ขณะที่ฉานนู่ฟาดดาบในมือเธออกไป

 

“เหอะ!”

 

ดาบและถุงมือแดงปะทะเข้าด้วยกัน บังเกิดเสียงหนักทึบสะท้อนสะเทือนไปทั้งสี่ทิศ

 

พริบตานั้นเอง เซ่าหวูชุ่ยก็คว้าจับดาบยาว ยึดมันไว้เป็นแม่นมั่น

 

ขณะเดียวกัน อีกกำปั้นที่เกร็งแน่นของเขาที่ซ่อนอยู่ข้างกาย ก็รวบรวมพละกำลังได้เพียงพอแล้ว!

 

“จงตายเพื่อข้า!”

 

เซ่าหวูชุ่ยตะคอกคำหนึ่งอย่างรุนแรง

 

พร้อมด้วยกำปั้นที่กระชากออกในทันใด

 

เพียงกระแสลมจากแรงส่งของกำปั้นอันดุเดือดนี้ มันก็เกือบที่จะทำให้ทั้งคนทั้งร่างของฉานนู่ปลิวหายไปแล้ว!

 

กำปั้นนี้รวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด พุ่งทะยานอย่างแรงกล้าราวกับกระทิงคลั่ง — เซ่าหวูชุ่ยได้ระเบิดพลังที่ตนมีออกมาเต็มทั้งที่ 10 ส่วนแล้ว!

 

หากต้องเผชิญกับกำปั้นนี้ ต่อให้เป็นผู้ฝึกยุทธที่เก่งกาจปานใด แต่หากมิได้ใช้พลังวิญญาณในการป้องกัน โชคชะตาที่เฝ้ารอเขาอยู่เบื้องหน้าคงมีเพียงความตายเท่านั้น

 

กำปั้นปะทะเข้าบนร่างของฉานนู่-

 

—ไม่สิ หากจะให้ถูกต้อง สมควรกล่าวว่ามันปะทะเฉียดมาถึงแค่เพียงระยะเผาขนของเธอต่างหาก

 

ท่ามกลางช่วงเวลาอันเดือดพล่าน

 

“ตอนนี้ล่ะ!” กู่ฉิงซานตะโกนคำหนึ่ง

 

และฉานนู่ก็ตอบสนอง เธอผละดาบขุนเขาเทวะหกโลกาที่ถูกยึดกุมจากมือทันที

 

ขณะเดียวกัน กู่ฉิงซานก็กระชากร่างของเธออย่างแรง ดึงฉานนู่ถอยหลังกลับมา

 

ส่วนเซ่าหวูชุ่ยก็คว้ากุมได้เพียงดาบ ขณะที่กำปั้นของเขาหวดลมเข้าใส่อากาศที่ว่างเปล่า

 

ด้วยการทุ่มออกเต็มกำลังเช่นนี้ ทว่ากลับมิอาจโจมตีโดนฝ่ายตรงข้ามได้ ส่งผลให้เซ่าหวูชุ่ยบังเกิดความไม่สบายใจขึ้น

 

ทั้งคนทั้งร่างของเขาเซมายังเบื้องหน้าก้าวหนึ่ง

 

“เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร!” หวังหงษ์เต๋าเอ่ยเสียงแหบแห้ง

 

ระหว่างนั้นเอง กู่ฉิงซานก็แทรกตัว ย่ำออกมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง พร้อมกับสับ! ดาบยาวในมือลงโดยตรง!

 

ช่วงเวลานี้ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว และเขาย่อมไม่มีทางพลาดที่จะไม่คว้าโอกาสนี้เอาไว้!!

 

สีหน้าของเซ่าหวูชุ่ยแปรเปลี่ยนกลับกลาย

 

มีเพียงช่วงเวลานี้เท่านั้น ที่ตัวเขารับรู้ได้ว่าพึ่งพลาดพลั้งไป

 

ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้คิดจะรับมือกับกระบวนท่าของเขาตรงๆเลย -แต่กลับเลือกที่จะสอดประสาน ร่วมกลยุทธ์กันแทน!

 

ช่วงเวลานี้ เขาได้สูญเสียสมดุลร่างกายไปแล้ว และไม่สามารถตั้งท่าโจมตีได้ กล่าวสรุปง่ายๆว่ามิอาจตอบโต้สวนกลับไปได้นั่นเอง

 

อย่างไรก็ตาม ด้วยพละกำลัง กล้ามเนื้อ และฝีมือที่ตนมี อย่างน้อยเซ่าหวูชุ่ยก็ยังสามารถตั้งต่าป้องกันเพื่อรับมือกับคมดาบเพียวๆได้อยู่ดี

 

เมื่อคิดได้ถึงจุดนี้ สีหน้าท่าทีของเซ่าหวูชุ่ยก็ผ่อนคลายลง สองถุงมือผสานกัน และยื่นมันออกไปยังเบื้องหน้าทันใด

 

เขากัดฟันกรอด และพร้อมที่จะทานรับคมดาบด้วยพละกำลังทั้งหมดที่ตนมี!

 

และยามเมื่อต้านมันสำเร็จ เขาก็จักสามารถตอบโต้กลับคืนได้อีกครั้ง!

 

คมดาบได้มาถึงแล้ว!

 

-ปัง!

 

บังเกิดคลื่นสายลมที่มองไม่เห็น พัดกวาดกระจายไปทั่วบริเวณในทันใด

 

ดาบพิภพที่หนักกว่า 86.37 ล้านจิน ได้ถูกทุบฟาดลงอย่างเต็มกำลังเพียงคราเดียว – สองมือของเซ่าหวูชุ่ยแหลกคาดาบ พร้อมกับแรงปะทะจากน้ำหนักที่เหลือโขกสับเข้าใส่ศีรษะของเขา!

 

แม้ว่าเซ่าหวูชุ่ยจะเป็นผู้ฝึกยุทธนักสู้หวูเต๋าก็ตามที ทว่าในกรณีที่จำต้องใช้ออกเพียงพละกำลังกายเพียวๆ โดยพลังวิญญาณมิได้มีส่วนร่วม ก็ย่อมมิอาจปัดป้องการระเบิดฟาดอันหนักหน่วงของดาบพิภพได้!!

 

ด้วยการฟาดเพียงคราเดียว เซ่าหวูชุ่ยก็ถึงแก่ความตาย!

 

ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง!

 

เสียงกลองศึกยังคงดังสะท้อนเป็นจังหวะ

 

ขณะที่สีหน้าของหวังหงษ์เต๋าแปรเปลี่ยนเป็นร้ายแรง

 

ฝ่ายตรงข้ามไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยที่จะใช้ประโยชน์จากจำนวนคนที่มากกว่า ต่อสู้สอดประสานกันได้อย่างยอดเยี่ยม

 

แต่นั่นไม่สำคัญ เพราะที่ต้องให้ความใส่ใจจริงๆมันก็คือน้ำหนักดาบของอีกฝ่ายที่มากมายเหลือคณายิ่งกว่าที่จินตนาการเอาไว้ต่างหาก!

 

แต่เดิม ความจริงแล้วหวังหงษ์เต๋ายังคงระแรดระวังอยู่ และคิดจะตรวจสอบข้อมูลของอีกฝ่ายจากการเฝ้าดูการต่อสู้ไปอีกสักพักหนึ่ง แต่การกระทำนั้นมันกลับกลายเป็นว่าดันเปิดโอกาสอันน้อยนิดที่จะคว้าชัยชนะของอีกฝ่ายไปซะได้!

 

หวังหงษ์เต๋าจ้องมองดูกู่ฉิงซาน

 

สามารถตอบสนองไปตามสถานการณ์ … รังสรรทุกฉากให้เป็นดั่งจินตนาการราวกับกำลังพรมมือเขียนมันด้วยปลายนิ้ว

 

เจ้าเด็กนี่ นับว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่แท้จริงและคู่ควรแก่เขาโดยแท้

 

“เจ้าหนู กลยุทธ์ทั้งหมดนี้ เจ้าเป็นคนคิดมันขึ้นมาเองใช่ไหม” หวังหงษ์เต๋ากล่าวหยั่งเชิง

 

ทว่ากู่ฉิงซานกลับไม่สนใจเขาเลย

 

กู่ฉิงซานตั้งท่าดาบกลับคืน ขณะที่ในสมาธิกำลังตั้งใจฟังเสียงกระหน่ำของกลองศึก

 

ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง!

 

เสียงกลองนี้ เร็วและระรัวมากขึ้น

 

ยามเมื่อเสียงมันระรัวถึงจุดนี้ ก็น่าจะบ่งบอกว่าค่ายกลสมควรที่จะได้รับการซ่อมแซมไปมากกว่าครึ่งทางแล้ว

 

เวลาที่เขามี เหลือน้อยลง ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ …

 

-จะต้องเร่งสังหารหวังหงษ์เต๋าให้ได้ในทันที! ต้องรวดเร็วยิ่งกว่านี้!

 

ข้างกายเขา ฉานนู่ก้มลงหยิบดาบขุนเขาเทวะหกโลกาขึ้นมา

 

ฉานนู่จ้องมองดาบในมือของเธอ และอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มเล็กน้อย ที่แทบจะไม่อาจจับสังเกตได้ออกมา

 

น่าแปลกเสียจริงๆ

 

เห็นได้ชัดว่าตัวเธอมีประสบการณ์ การเคลื่อนไหว และกลยุทธ์ทั้งหมดของเขา ทว่า … ตัวของเธอเองมิอาจเทียบเปรียบกับเขาได้เลย

 

แต่แค่ด้วยความร่วมมือเพียงหนึ่งประสาน นายน้อยของเธอก็กลับถึงขั้นสามารถสังหารผู้ฝึกยุทธนักสู้หวูเต๋าในขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า – เซ่าหวูชุ่ยลงได้!

 

ฉานนู่เบนสายตาไปมองกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ

 

ขณะที่สีหน้าของกู่ฉิงซานกลับแลดูเฉยเมย ราวกับมิได้ดีใจถึงสิ่งที่พึ่งกระทำลงไปเลย เขาค่อยๆยกดาบในมือของตนขึ้น

 

และชี้ปลายดาบไปทางหวังหงษ์เต๋า

 

ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง!

 

ท่ามกลางเสียงกลองศึก เจตนาฆ่าถูกเติมเต็มไปในชั้นอากาศ

 

ฉานนู่จึงทำเฉกเช่นเดียวกันกับเขา เธอยกปลายดาบขึ้นและชี้ไปทางหวังหงษ์เต๋าเช่นกัน

 

เธออดไม่ได้ที่จะเอ่ยกับหวังหงษ์เต๋าออกไปไม่กี่คำ

 

“อาวุโสหวัง ตอนนี้ทุกอย่างพลิกผัน พวกเรามีสอง แต่เจ้ามีหนึ่งแล้ว เพลานี้รู้สึกอย่างไรบ้าง?”

 

น้ำเสียงและท่าทีการแสดงออกของฉานนู่ที่ปกติจะดูโดดเดี่ยวได้แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย แม้มันจะยังเย็นชา ทว่ามันกลับรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่แฝงเข้ามาอย่างชัดเจน