หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.465 – เสียงกลองศึก

 

ฉานนู่กล่าวคำออกมาอย่างสบายใจ ขณะเดียวกันก็สาดสายตาไปยังหวังหงษ์เต๋า

 

อย่างไรก็ตาม กลับเห็นแค่เพียงสีหน้าหม่นทะมึนและน่าหวาดหวั่นจ้องสวนกลับมา

 

“ต่อให้จะเป็น 2 ต่อ 1 พวกเจ้าก็ยังมิอาจเอาชนะข้าได้อยู่ดี” เขากล่าว

 

“เหตุใดอาวุโสจึงมั่นใจในตนเองถึงเพียงนั้น?” ฉานนู่เอ่ยถาม

 

“เพราะข้าได้ฝึกฝนกระบี่มานานปี ยาวนานยิ่งกว่าก่อนที่พวกเจ้าจะเกิดเสียอีก”

 

ว่าแล้ว เขาก็เอื้อมมือไปคว้าจับด้ามกระบี่ แล้วชักมันขึ้นมาจากเบื้องหลัง

 

ตลอดทั้งตัวกระบี่เป็นสีดำขลับ และในช่วงเวลาเดียวกันกับที่มันถูกดึงออกมา ก็บังเกิดเสียงหอนโหยหวนด้วยความโศกสลดนับไม่ถ้วนกังวานขึ้น

 

แม้กระทั่งกลองศึกก็ยังถูกเสียงนี้กลบไป

 

หากเพ่งมองอย่างรอบคอบ จะพบว่ามีเงาสีดำกำลังโคจรอยู่รอบใบกระบี่

 

เงาสีเทาเหล่านั้นราวกับกำลังเฝ้ารออยู่ครู่หนึ่ง ทว่าเมื่อมันมิได้รับพลังวิญญาณใดๆที่จะใช้กระตุ้นเทคมนตรา เงาที่โคจรเหล่านี้ก็ค่อยๆสลายไป

 

ด้ามจับกับใบกระบี่เล่มนี้แลดูค่อนข้างยาว แต่มันก็แคบและเรียวบางในขณะเดียวกัน ดูเหมือนกับว่าตัวกระบี่มักถูกจะใช้เป็นสื่อกลางในการปลดปล่อยเทคนิคมนตราเสียมากกว่าที่จะใช้ในการต่อสู้เชิงยุทธ

 

-กระบี่หวังชี่ (จักรพรรดิแห่งศพ)

 

ในที่สุด ก็มีคนที่สามารถทำให้หวังหงษ์เต๋าชักกระบี่เล่มนี้ออกมาได้อีกครั้ง!

 

กู่ฉิงซานจ้องมองกระบี่ในมือเขา ปากเอ่ยพึมพำ “ข้าไม่เคยพบเห็นกระบี่ที่ดูแปลกตาเช่นนั้นมาก่อนเลย”

 

หวังหงษ์เต๋าลูบไล้ใบกระบี่ กล่าวเสียงกระซิบ “แล้วรู้หรือไม่ ว่าใครก็ตามที่ได้เห็นกระบี่เล่มนี้ ทั้งหมดล้วนตกตายกันไปจนสิ้นแล้ว”

 

“กระบี่เล่มนี้ อัดแน่นไปด้วยเทคนิคมนตราอันไร้ขอบเขต แต่น่าเสียดาย ที่ตอนนี้ข้าไม่อาจใช้พลังวิญญาณได้”

 

ขณะกล่าว แม้สีหน้าของเขาจะแลดูเศร้าสร้อย ทว่าแรงกดดันจากทั้งคนทั้งร่างกลับเปลี่ยนแปลงไป

 

“แต่นั่นมันไม่สำคัญหรอก เพราะนี่มันก็หลายปีมาแล้ว ที่ข้ามิได้ใช้ออกด้วยเพลงกระบี่อย่างแท้จริง”

 

เจตนาฆ่าพวยพุ่งขึ้นมาจากร่างของหวังหงษ์เต๋า

 

ในช่วงเวลานี้ เขาได้ถูกบังคับต้อนให้จนมุม จำต้องละทิ้งการคาดคำนวณทั้งหมดที่ตนมี และตัดสินใจใช้เพลงกระบี่เข้าต่อสู้เป็นตายกับศัตรู

 

ณ เวลานี้ หวังหงษ์เต๋าดูเหมือนเป็นผู้ฝึกยุทธที่ใช้กระบี่ขึ้นมาจริงๆแล้ว!

 

กู่ฉิงซานพอเห็นเช่นนั้นก็หยุดฝีเท้าลง

 

เขายืนนิ่งอยู่ในจุดนั้น มิได้มุ่งต่อไปข้างหน้าแม้เพียงก้าว

 

“นายน้อย?” เมื่อเห็นท่าทีผิดปกติไป ฉานนู่ก็เรียกเขาด้วยความฉงน

 

“ใจเย็นๆก่อน”

 

“เจ้าค่ะ”

 

พอรับคำ ฉานนู่ก็หยุดนิ่งตามเขา

 

ทั้งสองยืนห่างจากหวังหงษ์เต๋าไปเพียงไม่กี่จั้ง

 

ขณะเดียวกัน หวังหงษ์เต๋าก็ได้เตรียมตัวจนพร้อมสำหรับการต่อสู้ครั้งสุดท้ายแล้ว

 

ทว่าจนถึงตอนนี้ กู่ฉิงซานก็ยังมิได้ก้าวออกไปข้างหน้า

 

ในมือกุมดาบยาวจนแน่น ขณะที่สายตาจดจ้องอยู่แต่กับหวังหงษ์เต๋าคล้ายกำลังมองหาจุดอ่อนของอีกฝ่าย

 

ส่วนหวังหงษ์เต๋าก็ตั้งกระบี่ในแนวขนาน หยุดยืนนิ่งอยู่ตรงกันข้ามในท่วงท่าป้องกัน

 

ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง!

 

กลองศึกยังคงกระหน่ำต่อไป

 

หวังหงษ์เต๋าใช้หูเพ่งสมาธิฟังเสียงกลองศึกอย่างรอบคอบ แรงกดดันจากทั้งคนทั้งร่างยังคงเดิม ทว่าความรู้สึกหวาดระแวงที่มีต่อฝ่ายตรงข้ามกลับค่อยๆถดถอยลง

 

พร้อมกับรอยยิ้มแห่งชัยชนะที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา

 

“อีก 18 ลมหายใจ เจ้าจะไม่มีโอกาสสังหารข้าได้อีกต่อไป”

 

หวังหงษ์เต๋ายกระบี่หวังชี่ขึ้น และชี้ไปทางฝ่ายตรงข้าม

 

เขาเอ่ยต่อ

 

“ข้าได้ทำการนับเวลาเอาไว้แล้ว – และอีก 15 ลมหายใจ ค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกก็จะถูกซ่อมแซมจนเสร็จสมบูรณ์ เมื่อไหร่ก็ตามที่ข้าสามารถใช้พลังวิญญาณได้ เจ้าก็เตรียมตัวรับทัณฑ์ทรมานโดยเทคนิคมนตราจากกระบี่นี้ได้เลย!”

 

นี่คือเทคนิคการโจมตีทางจิตวิทยา

 

หวังหงษ์เต๋าเริ่มคาดคำนวณกลยุทธ์อีกครั้งอย่างรวดเร็ว

 

เพราะเวลาเหลืออีกไม่มากนักแล้วจริงๆ

 

อีก 15 ลมหายใจ ตราบใดที่พวกมันผ่านพ้นไป-

 

เอ๋?

 

อะไรกัน? ทั้งๆที่ได้รับรู้ว่าตนกำลังจะต้องเผชิญกับอำนาจของขอบเขตลมปราณจิตอยู่รอมร่อแล้วแท้ๆ เหตุใดเจ้าหนุ่มนั่นจึงยังคงสงบได้อยู่อีก?

 

มองไปยังเบื้องหน้า แม้กระทั่งบัดนี้ กู่ฉิงซานก็ยังนิ่งเงียบ ราวกับคำขู่ของอีกฝ่ายไม่มีผลใดๆ

 

เขามิได้กระทำสิ่งใดเลย จนกระทั่งหวังหงษ์เต๋ายืนยันว่ายังคงหลงเหลือเวลาอยู่อีกเท่าไหร่ ตนจึงเริ่มลงมือ

 

เขาสาวเท้าก้าวออกไปข้างหน้า

 

ตามด้วยฉานนู่ที่ก้าวตามมา

 

ทันใดนั้น ทั้งสองก็เร่งความเร็วมากขึ้นทันใด

 

หวังหงษ์เต๋ากุมกระบี่ในมือแน่นขึ้น

 

ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง!

 

เสียงกลองระรัวเร็วมากขึ้น

 

ในชั้นอากาศ เจตนาฆ่าคุกรุ่นจนแทบจะหายใจไม่ออก

 

โดยไร้ซึ่งแสงสวรรค์ใดๆ สองดาบและหนึ่งกระบี่ปะทะเข้าหากันโดยตรง

 

กระบี่ยาวสาดแสงเย็นวาบ วาดออกไปในแนวนอนเพื่อปัดป้องการโจมตีเบื้องหน้า

 

ขณะที่ดาบคู่ง้างสับลงมาพร้อมกันเป็นแนวตั้ง สับ สับ สับ ลงไปอย่างไม่มีหยุดยั้ง เพียงพริบตาเดียวพวกเขาก็ฟาดต่อเนื่องลงมาอย่างกว่า 36 ดาบแล้ว!

 

ขณะที่กระบี่ยาวก็ไม่ยอมแพ้แม้แต่น้อย ถูกเหวี่ยงออกอย่างลื่นไหล ราวกับคลื่นสายฟ้าโฉบเข้าตัดคมดาบที่โถมลงมาอย่างรวดเร็ว

 

ไม่นาน หวังหงษ์เต๋าก็มองเห็นถึงจุดอ่อนของอีกฝ่าย เขาใช้กระบี่เดียวโบกสะบัด บีบบังคับให้ทั้งกู่ฉิงซานและฉานนู่ต้องถอยฉากกลับไปในคราเดียว

 

ต้องไม่ลืมนะว่า หลังจากที่ฝึกฝนมายาวนานกว่า 1000 ปี ทักษะกระบี่ของหวังหงษ์เต๋าก็ได้ทะยานจนขึ้นไปถึงจุดสูงสุดแล้วอย่างแท้จริง!

 

กู่ฉิงซานกับฉานถูกล่าถอยออกมา

 

อย่างไรก็ตาม กระบี่ยาวกลับมิได้ไล่ติดตามทั้งสองต่อ มันกลับมาตั้งอยู่ในท่วงท่าขนาน เพื่อปกป้องนายของมันต่อไป

 

ขณะเดียวกัน หวังหงษ์เต๋าก็บังเกิดความคิดริเริ่มที่จะถ่วงเวลา ค่อยๆก้าวถอยฉากออกไป

 

ในความเป็นจริงแล้ว นี่คือการตัดสินใจที่ดีที่สุด

 

เพราะ ณ ขณะนี้ เขาได้ทำการประเมินทักษะดาบของคู่ต่อสู้ได้อย่างหมดจดแล้ว

 

ในหัวใจของหวังหงษ์เต๋าค่อยๆสงบลง

 

เหลืออีกเพียง 10 ลมหายใจสุดท้ายเท่านั้น เขาก็ไม่จำเป็นต้องโยนตัวเองให้ลงมาเผชิญกับอันตรายอีกต่อไป

 

หลังจากนี้ ก็แค่เลือกที่จะป้องกันตนเอง และถ่วงเวลาให้ได้ถึง 10 ลมหายใจก็พอ

 

ทันทีที่ช่วงเวลานี้จบลง ค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกขนาดใหญ่ก็จะกลับมาทำงานอีกครั้ง และเมื่อนั้นเขาจะระเบิดพลังวิญญาณในขอบเขตลมปราณจิตออกมาทันที

 

ในวินาทีหลังจากนั้นไป การสังหารเจ้าเด็กนี่ก็เป็นเรื่องง่ายดายมิแตกต่างจากการหั่นผักปลา

 

นี่แหละ คือกลยุทธ์ที่จะทำให้เขาไม่พ่ายแพ้!

 

เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ หวังหงษ์เต๋าก็ได้ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว

 

กู่ฉิงซานกับฉานนู่ควงดาบในมือ โถมทะยานเข้าหาเขาอีกครั้ง

 

ขณะเดียวกัน หวังหงษ์เต๋าก็โบกกระบี่ในแนวขนานสวนกลับไป

 

และในวินาทีต่อมา ก็เห็นแค่เพียงภาพติดตาของคมกระบี่และคมดาบ มิอาจบอกบรรยายถึงกระบวนการในช่วงเวลานี้ได้อีกต่อไป

 

ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง!

 

กลองศึกเร้าระรัว ถี่ยิบจนเริ่มจะฟังแต่ละการกระทุ้งแทบไม่ทันแล้ว

 

เหลือเวลาอีก 5 ลมหายใจ!

 

ฉานนู่ก้าวถอย ขณะที่กู่ฉิงซานก้าวเข้ามา

 

สองดาบผลัดกันสลับโจมตีไปยังเบื้องหน้า

 

แต่หวังหงษ์เต๋าเพียงใช้กระบี่ออกไปทานรับการฟันต่อเนื่องอย่างลวกๆเพื่อจัดการกับท่าร่างดาบ จากนั้นก็ถีบร่างตนเองถอยฉากออกมาอีกครั้ง

 

อีกฝ่ายไม่สามารถใช้เทคนิคดาบอย่างสมบูรณ์ได้ เนื่องเพราะมันจำต้องใช้ออกด้วยพลังวิญญาณ ดังนั้นแล้วรังสีดาบจึงไม่ปรากฏออกมาเช่นกัน

 

มันจึงเป็นเรื่องง่ายดายยิ่งที่จะปัดป้อง ขณะเดียวกันตนเองก็ก้าวถอยไปเรื่อยๆ

 

หากไร้ซึ่งรังสีดาบให้พะวง ตราบใดที่ตนเลือกก้าวถอยออกไปเรื่อยๆ ทุกๆท่าร่างดาบก็ไม่นับว่าเป็นสิ่งใด

 

เหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่ลมหายใจสุดท้ายแล้วตอนนี้ ดังนั้นการที่จะก้าวไปข้างหน้าแล้วทุ่มสู้ย่อมไม่คุ้มค่า … เลือกถอยย่อมเป็นกลยุทธ์ที่ดีกว่า

 

ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง!

 

ฉานนู่ก้าวเข้ามา และกดดาบลงไป

 

ดาบตัดสายลม!

 

เมื่อต้องเผชิญกับท่าร่างดาบอย่างกระทันหัน หวังหงษ์เต๋าก็ระเบิดการโจมตีอย่างเต็มกำลังออกมาทันใด -ใบกระบี่ตัดเข้ากับคมดาบของฉานนู่ แรงปะทะส่งตัวเธอลอยกระเด็นออกไปในกระบี่เดียว

 

บางครั้ง การเอาแต่ถอยแบบไม่บันยะบันยังมันก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีนัก มันไม่เหมาะสมที่จะเป็นทางเลือกหากกำลังถูกโจมตีในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ

 

ตึ่ง! ตึ่ง!

 

เสียงกลองศึกค่อยๆแผ่วเบาลง

 

เหลือเวลาอีกแค่ 2 ลมหายใจ

 

ในหัวใจของหวังหงษ์เต๋าเริ่มฟุ้งไปด้วยความสุข

 

เวลาที่เฝ้ารอคอย … ได้มาถึงแล้ว!

 

ฉานนู่กระเด็นถอยกลับ ขณะที่กู่ฉิงซานก้าวเข้ามาอีกครั้ง

 

พร้อมกับหวดท่าร่างดาบออกไป

 

หวังหงษ์เต๋าตัดสินใจว่าจะกระทำสิ่งใดอยู่เพียงครู่ ก่อนจะเลือกเหวี่ยงกระบี่ทานรับ ขณะเดียวกันก็ก้าวถอยออกมา

 

ลมหายใจสุดท้าย!

 

แต่แล้วจู่ๆดาบยาวที่ฟาดผ่าลงมาก็ทวีความรวดเร็วขึ้นอย่างกระทันหัน!

 

รูม่านตาของหวังหงษ์เต๋าหดแคบลงในฉับพลัน

 

คมดาบนี้ มันรวดเร็วกว่าที่แล้วๆมาอย่างเทียบไม่ติดเลย!

 

แบบนี้ไม่ดีแน่ ท่าร่างดาบนี้ร้ายแรงเกินไป!

 

ด้วยดาบนี้ กล่าวได้ว่ามันเหนือล้ำยิ่งกว่าท่าร่างดาบทั้งหมดก่อนหน้าที่เคยได้เผยโฉมออกมาโดยสมบูรณ์!

 

เกรงว่าทุกอย่างที่กู่ฉิงซานทำมาก่อนหน้าทั้งหมดนี้ ก็เพื่อลวงหลอกศัตรู และปูทางสำหรับคมดาบนี้!

 

คมดาบ … ที่ฟาดตรงมาข้างหน้าอย่างมิอาจปัดป้อง!

 

ตึ่ง! ตึ่ง!

 

เสียงกลองศึกดังขึ้นอีกไม่กี่ครั้ง และหายไปในที่สุด

 

ตลอดทั้งเกาะลอยฟ้าจมลงสู่ความเงียบ

 

เงียบงันดั่งทุกสรรพชีวิตได้ตกตายลง

 

ตึง ….

 

หวังหงษ์เต๋าล้มหงาย ขณะที่กู่ฉิงซานคร่อมอยู่บนกายเขา

 

“เจ้า … เพราะเหตุใด ถึงไม่หลบ … ”

 

หวังหงษ์เต๋ากระอักเลือดคำหนึ่ง สีหน้าการแสดงออกของเขาเต็มไปด้วยความฉงนที่ยากจะอธิบาย

 

ขณะเดียวกัน ใบกระบี่ยาวในมือของเขา ก็อยู่ในตำแหน่งที่ทะลุผ่านหน้าอกของกู่ฉิงซาน

 

แต่กู่ฉิงซานกลับมิเอ่ยสิ่งใด

 

บัดนี้ ทั้งสองอยู่ในท่วงท่าที่ดาบพิภพวางกดทับอยู่บนร่างของหวังหงษ์เต๋า ขณะที่กระบี่ของหวังหงษ์เต๋าก็แทงทะลุเข้าหน้าอกของกู่ฉิงซาน

 

ฮูมมมม!

 

ค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกขนาดใหญ่เริ่มทำงานขึ้นอีกครั้ง

 

ปากใหญ่สีดำเบื้องบนท้องฟ้า ตนแล้วตนเล่าค่อยๆสลายหายไป

 

เมื่อร่างไร้จิตสำนึกของมารโลกามิอาจรับรู้ได้ถึงพลังวิญญาณแม้เพียงน้อย สุดท้ายจึงจากไปอย่างขุ่นเคือง

 

ห้วงอารมณ์ของหวังหงษ์เต๋ากลับกลายเป็นปิติ

 

เวลานี้ เขาสามารถใช้พลังวิญญาณได้แล้ว!

 

คลื่นความผันผวนทางพลังวิญญาณอันน่าขวัญผวาปะทุออกมาจากกายหวังหงษ์เต๋า

 

ขณะเดียวกับมือที่เกาะกุมกระบี่ก็คลายออก เพื่อจำต้องประกบทั้งสองมือจีบออกด้วยวิชาลับ

 

อย่างไรก็ตาม ขณะเดียวกันนั้นเอง กู่ฉิงซานกลับดันหายวับไปซะอย่างงั้น?

 

กู่ฉิงซานหายวับไปพร้อมกับกระบี่ยาวของหวังหงษ์เต๋า เหลือทิ้งไว้เพียงดาบพิภพที่หนักหลายล้านจินกดทับร่างของอีกฝ่าย

 

สกิลเทวะ ร่างเงาแทนที่!

 

ในช่วงเวลาเดือดพล่าน จู่ๆฉานนู่ก็ปรากฏกายขึ้นแทนที่ในตำแหน่งเดิมของเขา

 

และมือของฉานนู่ก็อยู่ในท่วงท่าเดียวกันกับที่กู่ฉิงซานได้วางดาบพิภพกดทับตัวหวังหงษ์เต๋าเอาไว้เช่นกัน

 

หวังหงษ์เต๋าร้องคำหนึ่ง มือเร่งใช้ออกด้วยเทคนิคเต๋า ระเบิดมันออกไป หมายมั่นจะผลักดันให้อีกฝ่ายถอยร่นออกไปโดยเร็วที่สุด!

 

อย่างไรก็ตาม กลับเห็นแค่เพียงฉานนู่นั่งคร่อมอยู่กับที่ดังเดิม – ทุกมนตราล้วนไร้ความหมายเมื่ออยู่ต่อหน้าพลังศักดิ์สิทธิ์แหกกฏที่เธอครอบครอง!

 

และในมือของเธอที่กดทับหวังหงษ์เต๋าในตำแหน่งเดิมของกู่ฉิงซาน … ก็กำลังกุมใบหยกอยู่!

 

มันคือใบหยกแผ่นที่สองที่ได้รับมาจากเฉียนซานเย่!

 

ดังนั้นแม้ว่าใบหยกแผ่นนี้ จะมีกับดักหรือเทคนิคมนตราอื่นใดแอบแฝงอยู่ มันก็ไร้ผลกับเธอ

 

ทว่า

 

กับหวังหงษ์เต๋านั้นหาใช่ไม่!

 

เมื่อใบหยกสัมผัสเข้ากับหวังหงษ์เต๋า มันก็เปล่งแสงสวรรค์อันน่าอัศจรรย์ใจออกมาทันที

 

ขณะนี้ ค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกขนาดใหญ่ได้ถูกเปิดออกแล้ว ดังนั้น หลังจากที่เปล่งแสงสวรรค์ออกมาตรวจสอบสถานการณ์เล็กๆน้อยๆ มันก็แปรสภาพ ก่อร่างเป็นผู้ฝึกยุทธที่แสนไร้ยางอายคนหนึ่งทันที

 

ดาบคู่เอกลักษณ์ เฉียนซานเย่!

 

เขาเหลือบสายตามองไปรอบๆอยู่เพียงครู่ และไม่นานก็ตระหนักได้ถึงสถานการณ์ในตอนนี้ของหวังหงษ์เต๋า

 

“ศิษย์ข้า ข้ามิคาดคิดเลย ว่าพวกเราจะพบปะกันอีกครั้งในสถานการณ์เช่นนี้”

 

เฉียนซานเย่จ้องมองหวังหงษ์เต๋า ขณะที่บนใบหน้าของเขากำลังแสดงถึงความเปรมปรีดิ์อย่างหาที่ใดเปรียบ

 

เริ่มทำการยึดร่างสถิต!

 

พริบตานั้น สีหน้าของหวังหงษ์เต๋าแปรเปลี่ยนกลับกลาย ทั้งคนทั้งร่างของเขาสั่นสะท้าน

 

“ไม่!”

 

ภายในจิตใจของเขา บังเกิดการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น

 

นี่คือการต่อสู้ระหว่างจิตเทวะ หากผู้ใดชนะ ก็จักได้รับกายนี้ไป แน่นอน ว่าพื้นฐานวรยุทธในขอบเขตลมปราณจิตก็เช่นเดียวกัน

 

“หากต่อสู้กันในตอนนี้ พวกเราจะตายกันทั้งคู่! ขอเจ้าจงรอข้าแก้สถานการณ์ในปัจจุบันเสียก่อนเถอะ แล้วหลังจากนั้นข้าจักหาร่างสถิตดีๆให้แก่เจ้าเอง!” หวังหงษ์เต๋าเร่งกล่าวอย่างรวดเร็ว

 

“หากเจ้าโป้ปดเล่า?” แล้วก็มีอีกกระแสเสียงที่อึมครึมเอ่ยถามออกมาจากปากของหวังหงษ์เต๋า

 

แน่นอน ว่านั่นคือเสียงของเฉียนซานเย่

 

ทันใดนั้นเสียงของหวังหงษ์เต๋าก็ดังกึกก้อง ปากอ้าสาบานลั่น “ฟ้าดินเป็นพยาน ข้าจักปฏิบัติตามดั่งที่ลั่นวาจาไว้!”

 

“ดีมาก!”

 

ในวินาทีต่อมา ดวงตาของหวังหงษ์เต๋าก็ฟื้นคืน กลับมาสดใสและกระจ่างชัดดังเดิมในทันที

 

เฉียนซานเย่ได้ยอมละซึ่งความเกลียดชังลงอย่างกระทันหัน และยอมถอยที่จะต่อสู้ยึดครองร่างกายอีกฝ่ายเอาไว้ชั่วคราว

 

ในช่วงเวลาอันสั้น สั้นมากจริงๆ -เขาก็ได้บรรลุข้อตกลงที่ชัดเจนกับลูกศิษย์ของตนเอง!

 

เพราะเหนือสิ่งอื่นใด เฉียนซานเย่ก็ต้องการชีวิตกลับคืน

 

ขณะที่หวังหงษ์เต๋าก็ต้องการที่จะมีชีวิตอยู่รอดต่อไปให้ได้เช่นกัน

 

ความเกลียดชังน่ะ … มันเทียบไม่ได้หรอกกับการมีชีวิตรอด!

 

หนึ่งศิษย์หนึ่งอาจารย์ได้ทำข้อตกลงร่วมกัน และบรรลุมันได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว –นี่มันเกินกว่าที่ทุกคนคาดคิดนัก!

 

หวังหงษ์เต๋าเริ่มขับเคลื่อนพลังวิญญาณ

 

ฉานนู่เห็นท่าไม่ดี ตนจึงเริ่มใช้ออกด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ทันที

 

พลังศักดิ์สิทธิ์เล่ยเดี๋ยน ตัดขาดการเชื่อมต่อ!

 

บังเกิดกระแสสายฟ้าขึ้นในมือของเธอ ฟาดเปรี้ยง! เข้าใส่หวังหงษ์เต๋าและผลุบลงไปในร่างกายของเขา

 

พลังวิญญาณของหวังหงษ์เต๋าสลายหายไปทันใด ทั้งคนทั้งร่างมึนงงอยู่ในสภาวะขาดสติ

 

ภายในสามวินาที เขาและเฉียนซานเย่จะมิอาจควบคุมร่างกายนี้ได้!

 

ตัดขาดการเชื่อมต่อ คือพลังศักดิ์สิทธิ์อันน่าพรั่นพรึง ที่ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตใดก็มิได้รับการยกเว้น!

 

แล้วฉานนู่ก็หายวับไปทันใด

 

ร่างเงาแทนที่ครั้งที่สอง!

 

กู่ฉิงซานปรากฏขึ้นในตำแหน่งเดิมของเธออีกครั้ง

 

ทว่าเขาไม่ได้หายไปแล้วกลับมาเปล่าๆปลี้ๆ! กู่ฉิงซานปรากฏกายขึ้นอีกครั้งในสภาวะรีดเร้นแสงสวรรค์ทั้งหมดที่มีออกมา และโคจรเทคนิคดาบอย่างรวดเร็ว!

 

ทุกสิ่งอย่างตระเตรียมการเอาไว้ สำหรับชั่วพริบตานี้!

 

ดาบพิภพ ถูกฟาดสับด้วยกำลังทั้งหมดที่เขามี

 

น้ำหนักกว่า86.37 ล้านจินได้แปรเปลี่ยนสภาพเป็นรังสีแสงขาวนวลดั่งแสงจันทร์ กวาดข้ามผ่านไปทั่วฟ้า

 

ท่ามกลางหมอกเลือด ศีรษะหนึ่งกระฉูดขึ้นไปกลางอากาศ

 

หัวของหวังหงษ์เต๋าถูกตัดแยกออกจากร่างกายแล้ว!

 

และฉานนู่ก็ปรากฏร่างขึ้นอีกคราข้างกายกู่ฉิงซาน พร้อมกับโบกสะบัดสองคมดาบเข้าใส่ร่างไร้หัว!

 

คมดาบแรก คือการตัดเชือกผูกถุงสัมภาระที่ติดกับร่างกายของอีกฝ่ายออกจากกัน

 

เมื่อได้รับถุงสัมภาระของหวังหงษ์เต๋ามาไว้ในมือ ฉานนู่ก็ใช้ออกด้วยคมดาบที่สองทันที

 

เทคนิคลับแห่งดาบ กระแสธารอันยิ่งใหญ่!

 

บังเกิดรังสีดาบอันยอดเยี่ยม ดั่งกระแสน้ำใหญ่ที่ไหลบ่าลงมาราวกับธารน้ำตก มันท่วมทับไปตลอดทั้งร่างของหวังหงษ์เต๋า ตัดสะบั้นทั้งเนื้อหนังและกายเขาจนกลายเป็นชิ้นๆ!

 

เวลานี้ ต่อให้เฉียนซานเย่กับหวังหงษ์เต๋าจะมีความสามารถเทียมฟ้ามากปานใด พวกเขาก็ย่อมมิอาจฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้อย่างแน่นอน

 

กู่ฉิงซานคว้าจับศีรษะที่ลอยล่องของอีกฝ่าย

 

บนใบหน้าของศีรษะ เต็มไปด้วยการแสดงออกที่ไม่อยากจะเชื่อ

 

ในฐานะที่เป็นตัวตนอันทรงพลานุภาพในขอบเขตลมปราณจิต ส่งผลให้หวังหงษ์เต๋ายังคงไม่ตายในทันที

 

อย่างไรก็ตาม หากสูญสิ้นร่างกายไปแล้ว ไม่ว่าเขาจะทรงพลานุภาพมากเพียงใด เบื้องหน้าเขา ก็หลงเหลือเพียงเส้นทางที่มุ่งสู่ความตายเท่านั้น!

 

“เจ้าน่ะหรือสังหารข้า? ฮ่าฮ่า เจ้าน่ะหรือสังหารข้าได้ … ” หวังหงษ์เต๋าหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

 

“กลยุทธ์ที่ดี! ช่างเป็นกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยม! ข้ามิอาจจินตนาการได้เลยว่าจะพบเผชิญกับการจู่โจมเช่นนี้-”

 

แต่แล้วสีหน้าของหวังหงษ์เต๋าที่กำลังร้ายแรงก็แปรเปลี่ยนเป็นผ่อนคลายลง “เจ้าหนู จงมอบร่างกายให้แก่ข้า แล้วข้าจักสอนสั่งวิชาดาบคู่เอกลักษณ์ให้แก่เจ้า”

 

นี่คือน้ำเสียงและการแสดงออกของเฉียนซานเย่

 

กู่ฉิงซานพอได้ฟัง ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “อาวุโส ก่อนหน้านี้ท่านถึงขั้นเสียสละแบ่งวิญญาณส่วนหนึ่ง เพื่อเฝ้ารอคอยให้เกิดช่วงเวลาดั่งเช่นในปัจจุบันนี้มิใช่หรือ?”

 

“แบ่งวิญญาณ … ไม่น่าเชื่อ ในโลกใบนี้ไม่สมควรที่จะมีผู้ใดล่วงรู้ถึงเรื่องนี้ได้ ไม่มีผู้ใดเคยพบเผชิญกับสิ่งนี้ …….. แล้วเจ้าทราบถึงมันได้อย่างไร?”