หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.466 – ค้นวิญญาณ

 

“เจ้าล่วงรู้เรื่องอย่างการแบ่งวิญญาณได้อย่างไร!”

 

เฉียนซานเย่เอ่ยถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ

 

กู่ฉิงซานพอได้ยิน ก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนหายใจด้วยอารมณ์

 

“นั่นก็เป็นเพราะว่า ข้าเคยพบเห็นเจ้าสิ่งนี้ด้วยตาตนเองมาก่อนแล้วยังไงล่ะ” เขาเอ่ยออกมาอย่างช้าๆ

 

ในชีวิตก่อนหน้า จวบจนกระทั่งทั้งสองโลกได้ถูกทำลายลงโดยสิ้นเชิง เขาก็ยังไม่เคยได้พบเจอกับผู้คนของโลกอื่นเลย

 

ทุกชีวิตบนโลกมนุษย์ ไม่มีผู้ใดตระหนักถึงคำว่า ‘หมื่นสวรรค์’ สองคำนี้เลย ผู้คนเพียงเลือกที่จะเข้าใจและฝืนยอมรับว่า คำหมื่นสวรรค์นี้หมายถึงโลกมนุษย์กับโลกแห่งผู้ฝึกยุทธเท่านั้น

 

ช่างเป็นเรื่องไร้สาระโดยแท้!

 

แต่เมื่อได้จุติกลับมาใหม่อีกครั้ง ตนเองก็ได้พบเห็นโลกมากขึ้น พบปะผู้คนมากขึ้น และเริ่มปะติดปะต่อถึงความลับระหว่างต่างโลก

 

จนกู่ฉิงซานสามารถตระหนักถึงใจความสำคัญของความรู้ ความเข้าใจในเชิงลึกได้ทั้งหมด

 

เขาย้อนนึกไปถึงเรื่องราวที่พึ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ในช่วงที่หลานซิ่วต้องการจะช่วยเหลือชิงหยิน อีกฝ่ายไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยที่จะทำการแบ่งจิตวิญญาณของตนออกไป

 

หลานซิ่วได้ใช้เวลากว่า 10000 ปี เพื่อให้จิตวิญญาณที่แยกตัวออกไปทำการสร้างสำรับไพ่กลุ่มใหม่ขึ้นมา

 

ขณะที่เฉียนซานเย่ เขากลับสามารถเพิกเฉยต่อกฏเหล็กของวิถีดาบได้ -มิเพียงแตกฉานในเชิงดาบ แต่ยังสามารถแตกฉานในเชิงกระบี่จนกลายเป็นยอดยุทธที่ทรงพลานุภาพที่สุดในยุคสมัยนั้น

 

หากกู่ฉิงซานไม่เคยเห็นหลานซิ่วมาก่อน แน่นอนว่าเขาคงจะสับสนและหลงกลเหมือนกับผู้ฝึกยุทธคนอื่นๆในโลกใบนี้ไปแล้วเช่นกัน

 

ดังนั้น ด้วยการที่ตนได้สนทนากับเฉียนซานเย่ และรับฟังถึงแผนการของอีกฝ่ายที่ค่อยๆแง้มออกมาอย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่งผลให้กู่ฉิงซานสามารถพิจารณาและเริ่มมั่นใจมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆว่าอีกฝ่ายอาจจะสามารถแบ่งเสี้ยวจิตวิญญาณกับจิตวิญญาณหลักได้ก็เป็นได้

 

เพราะมีเพียงเฉพาะวิธีนี้เท่านั้น ที่เขาจะสามารถฝึกฝนทักษะดาบ และฝึกฝนอาวุธหลักอีกชนิดหนึ่งจนแตกฉานได้

 

ทิศทางของเบาะแสทั้งหมด ชี้ตรงมาที่จุดนี้ … มันถูกรวมรวมเข้าด้วยกันจนสมบูรณ์!

 

ในที่สุด การคาดเดาของเขาก็ได้รับการยืนยันแล้ว!

 

ผู้ฝึกยุทธอย่างเฉียนซานเย่ แท้จริงแล้วกลับครอบครองความสามารถเช่นเดียวกันกับหลานซิ่ว!

 

นี่มันช่างขัดแย้งกับบันทึกอ้างอิงทางประวัติศาสตร์ทั้งหมดของโลกใบนี้เสียจริง -การแบ่งจิตวิญญาณนับว่าเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย!

 

ตรงจุดนี้แหละ คือจุดที่กู่ฉิงซานสงสัยมากที่สุด

 

นอกเหนือไปจากเรื่องของการแบ่งจิตวิญญาณแล้ว เฉียนซานเย่ยังกล่าวว่าเขาล่วงรู้ถึงความลับของมารโลกาอีกด้วย

 

และความลับในเรื่องที่สองนี่เอง ที่กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของกู่ฉิงซานได้อย่างแท้จริง

 

จิตของหวังหงษ์เต๋าและจิตวิญญาณของเฉียนซานเย่ยังคงติดอยู่ในศีรษะของหวังหงษ์เต๋าในขณะนี้

 

กู่ฉิงซานจับหัวของหวังหงษ์เต๋าและกำลังจะเริ่มต้นทำการค้นวิญญาณ

 

“ช้าก่อนนายน้อย โปรดให้ข้าเป็นผู้ลงมือเถอะ” ฉานนู่กล่าว

 

“เพราะเหตุใด?”

 

“เพราะผู้คนในโลกใบนี้ช่างอันตรายยิ่ง และพวกเราก็ไม่เคยเผชิญกับเทคนิคมนตราของพวกเขามาก่อน ดังนั้นปล่อยให้ข้ารับมือเถอะ หากเป็นข้า วิชามนตราย่อมไม่นับว่าเป็นสิ่งใด” ฉานนู่กล่าว

 

“จริงของเจ้า”

 

กู่ฉิงซานตอบรับความหวังดี และโยนศีรษะของศัตรูให้แก่อีกฝ่าย

 

สำหรับฉานนู่แล้ว แน่นอนว่าเธอย่อมไม่หวาดเกรงวิชามนตราใดๆทั้งสิ้น

 

เธอคว้าจับศีรษะ ในชั่วเวลาที่จิตวิญญาณภายในยังไม่จากไป และเริ่มต้นใช้ออกด้วยวิชาค้นวิญญาณทันที

 

“นายน้อย เขากำลังจะตาย เกรงว่าข้าจักสามารถตรวจดูได้แค่บางส่วนของความทรงจำเท่านั้น”

 

กู่ฉิงซานกล่าวเตือน “เช่นนั้นก็จงข้ามผ่านเหตุการณ์ในช่วงพันปีนี้ไปทันที แล้วไปสืบเสาะหาเรื่องราวก่อนหน้าทั้งหมดโดยเริ่มจากเฉียนซานเย่ จากนั้นก็หวังหงษ์เต๋า”

 

“เจ้าค่ะ นายน้อย” ฉานนู่รับคำ

 

แล้วเธอก็เริ่มทำการตรวจสอบ

 

“อ๊ากกกกกก!”

 

ศีรษะของหวังหงษ์เต๋าหวีดร้องด้วยความเจ็บปวดออกมา

 

“ปล่อยข้าไปเถอะ แล้วข้าจะยอมเล่าให้เจ้าฟังทุกอย่างเอง”

 

เขาเอ่ยประโยคนี้ ด้วยสองน้ำเสียงที่สลับกันไปมา

 

กู่ฉิงซานกล่าวปฏิเสธ “สำหรับทั้งศิษย์และอาจารย์เช่นพวกเจ้าทั้งสองแล้ว ขอบอกตรงๆว่าข้ามิกล้าเชื่อถือสิ่งใดที่พวกเจ้ากล่าวแม้ครึ่งคำ”

 

เมื่อเห็นด้วยตาตนเองว่าทุกอย่างไร้ความหวัง หวังหงษ์เต๋าก็ระเบิดเสียงหัวเราะคลุ้มคลั่งขึ้นทันใด

 

“ต่อให้เจ้าสังหารข้าได้ … ก็แล้วมันอย่างไร! ไม่ว่ายังไง ทุกคนบนโลกใบนี้ก็จะต้องตาย และไม่มีผู้ใดสามารถหลบหนีไ-”

 

แต่แล้วเสียงโหยหวนของเขาก็หยุดลงไปอย่างกระทันหัน

 

ในมือของฉานนู่ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะทุ่มออกด้วยวิธีใดมันก็ไร้ประโยชน์

 

ดังนั้น เมื่อดิ้นรนมาจนถึงจุดนี้ ช่วงเวลาแห่งการไม่เต็มใจน้อมรับความตายก็ได้มาถึงในที่สุด

 

สองตาของหวังหงษ์เต๋าเบิกกว้างอย่างไม่ยินยอม ประกายแห่งความละโมบเหม่อมองโลกใบนี้ไปจนสุดสายตา

 

ปากอ้าเผยอ กล้ามเนื้อตลอดทั้งใบหน้าเกร็งเขม็ง เผยให้เห็นถึงความปรารถนาอันแรงกล้าที่ต้องการจะมีชีวิตอยู่ต่อไป

 

กระทั่งในวินาทีสุดท้าย สองจิตวิญญาณก็แสดงออกความเสียใจ เผยความรู้สึกเช่นเดียวกันออกมาก่อนจะลาจากโลกใบนี้ไป

 

กู่ฉิงซานส่ายหัว

 

“ทุกคนบนโลกใบนี้จะต้องตายอย่างงั้นหรือ?”

 

เขาเอ่ยออกมาเบาๆ ขณะเดียวกันก็ใช้สมองขบคิดถึงความหมายของประโยคนี้

 

พร้อมกับความรู้สึกไม่ดีที่บังเกิดขึ้น

 

ในความเป็นจริงแล้ว ลางสังหรณ์ดังกล่าวนี้ได้ซุ่มซ่อนอยู่ในจิตใจเขามาเนิ่นนานแล้ว จนกระทั่งตอนนี้ มันก็ได้บังเกิดความชัดเจนขึ้นยิ่งกว่าเดิมเล็กน้อย

 

“การตรวจสอบเป็นอย่างไรบ้าง?” กู่ฉิงซานหันไปเอ่ยถามฉานนู่

 

ฉานนู่หลับตาลงและกล่าว “นายน้อย ข้อมูลมันเยอะเกินไป ข้าจำต้องใช้เวลาสักครู่ในการแยกแยะและกลั่นกรองมันเสียก่อน”

 

“งั้นก็จัดการในส่วนของเจ้าไปเถอะ เพราะทางข้าเอง … ก็มีบางสิ่งที่จะต้องเร่งมือทันทีอยู่เหมือนกัน”

 

กู่ฉิงซานก้มหน้าลง จ้องมองหน้าอกของตัวเอง

 

กระบี่หวังชี่ยังคงแทงทะลุอยู่บนหน้าอกเขา แม้ว่าเขาจะเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า โดยการเลือกที่จะหลีกเลี่ยงจุดตายแล้วก็ตามที แต่หากปล่อยทิ้งไว้นานๆผลลัพธ์ก็คงเลวร้ายอยู่ดี

 

ตอนนี้ คงต้องนำมันออกมาเสียก่อน

 

ในเวลานั้นเอง สองเงาร่างก็ทะยานตรงมาอย่างรวดเร็ว

 

ฉินรั่วและว่านเอ๋อ นั่นเอง

 

เมื่อค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกขนาดใหญ่ฟื้นฟูจนเสร็จสมบูรณ์ พวกเธอก็เร่งตรงมาที่นี่ด้วยกำลังทั้งหมดที่มี

 

ทั้งสองร่อนมาตกลงเบื้องหน้าของกู่ฉิงซานและฉานนู่

 

แล้วก็นิ่งงันไป มีเพียงสายตาเท่านั้นที่ยังขยับไหว มันเบนลงไปมองศีรษะในมือของฉานนู่

 

“ผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิต … ” ฉินรั่วเอ่ยออกมาอย่างเหม่อลอย

 

“ถูกสังหารลงโดยผู้ฝึกยุทธขอบเขตประทับเทพ!” ว่านเอ๋อเปล่งเสียงกระซิบ

 

พวกเธออดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้างเล็กน้อย แม้จะผ่านไปชั่วเวลาหนึ่ง ก็ยังไม่อาจทำใจยอมรับในสิ่งที่ตนเห็นได้

 

แต่ไม่นาน วิสัยทัศน์ของหญิงสาวทั้งสองก็เบนมาตกลงบนร่างของกู่ฉิงซาน

 

และพบว่ามีกระบี่ยาวแทรกอยู่ในหน้าอกของเขา และเจ้าตัวก็กำลังพยายามที่จะดึงมันออกมาอยู่

 

สองสาวหันมองหน้ากันวูบหนึ่ง

 

และเห็นถึงความวิตกกังวลในสายตาของอีกฝ่าย

 

ทันใดนั้น ฉินรั่วก็ก้าวออกมาข้างหน้าอย่างรวดเร็ว โน้มกายตนลงอิงแอบ แนบชิดกับกู่ฉิงซาน  และกล่าวด้วยน้ำเสียงทรงเสน่ห์ว่า “นายน้อย ท่านช่างแข็งแกร่งจริงๆ!”

 

ว่านเอ๋อก็โน้มกายลงเช่นกัน พร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูน่ารัก “นายน้อย นับจากนี้ไป ข้าพร้อมยินยอมพลีกาย ขอติดตามท่านไปทุกหนแห่ง”

 

กู่ฉิงซานค่อยๆเขยิบกาย เลี่ยงที่จะสัมผัสผิวของสองสาว ปากเอ่ยกล่าวด้วยท่าทีเขินอายเล็กน้อย “พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ก็ได้”

 

สองหญิงสาวเมื่อเห็นปฏิกริยาเช่นนี้ ก็ก้าวถอยหลังกลับอย่างว่าง่าย

 

“นี่แหละเขา” ฉินรั่วกล่าว

 

“ใช่ๆ คนผู้นี้คือนายน้อยลูกเจี๊ยบของพวกเราแน่ๆ” ว่านเอ๋อเอ่ยติดตลก

 

กู่ฉิงซาน “ … ”

 

“แต่เรื่องนี้เจ้าไม่สามารถตำหนิพวกเราได้นะ” ฉินรั่วถอนหายใจ

 

“เพราะกลยุทธ์นี้มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย พวกเราก็เลยลองทดสอบดูนิดๆหน่อยๆ เพราะบางทีอาจจะเป็นผู้อื่นมาสวมรอยเป็นเจ้าก็ได้ .. ” ว่านเอ๋อเอ่ยเสริม

 

เมื่อทั้งสองสามารถยืนยันได้ว่านี่คือกู่ฉิงซานตัวจริงเสียงจริงแน่ๆ พวกตนก็รู้สึกราวกับว่ากำลังฝันไป

 

ตั้งแต่แรกเริ่มที่พบเจอกับเขา พวกเธอก็ไม่อาจทำใจเชื่อได้เลยว่ากู่ฉิงซานจะร่วมมือกับมารสวรรค์ ลอบวางแผนการสังหารฉีหยานผู้ที่อยู่ในขีดสุดความว่างเปล่าลงได้

 

แต่ตอนนี้ จู่ๆเขากลับถึงขั้นสามารถสังหารตัวตนที่น่าหวาดหวั่นที่สุดในนิกายกวงหยางอย่าง หวังหงษ์เต๋าซึ่งอยู่ในขอบเขตลมปราณจิตลงได้!

 

หวังหงษ์เต๋าซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในการวางแผนอันยอดเยี่ยม สุดท้ายกลับเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ด้วยกลยุทธ์เสียเอง!?

 

เมื่ออยู่ต่อหน้ากู่ฉิงซาน กลยุทธ์หรือการคาดคำนวณใดๆของศัตรูก็ไม่นับว่าเป็นสิ่งใดเลย

 

สองหญิงสาวอดคิดไม่ได้จริงๆ

 

จ้องมองไปยังกระบี่ยาวที่แทรกอยู่บนหน้าอกของเขาอีกครั้ง

 

-การต่อสู้ในครั้งนี้อันตรายมากจริงๆ

 

ว่านเอ๋อพับแขนเสื้อของตัวเองขึ้นและกล่าวว่า “ข้าเก่งกาจในด้านการรักษา ขอให้ข้าได้ช่วยเถอะ”

 

“ลำบากเจ้าแล้ว” กู่ฉิงซานถอนหายใจ โล่งอกที่ตนไม่ต้องลงมือทำเองซะที

 

ว่านเอ๋อเริ่มใช้ยารักษาแผลอย่างระมัดระวัง และเริ่มช่วยกู่ฉิงซานนำกระบี่ยาวออกมา

 

“ข้าละไม่อาจทำความเข้าใจได้จริงๆ – ว่าเจ้าสังหารเขาลงได้อย่างไร” ฉินรั่วที่ยืนอยู่ข้างๆเอ่ยถาม

 

แล้วกู่ฉิงซานก็เล่าถึงกระบวนการทั้งหมดออกไป

 

ฉินรั่วเริ่มคิดตามอย่างจริงจัง

 

“เจ้าไม่ได้วางแผนว่าจะสังหารเขาตั้งแต่ในช่วงเวลาแรกของหนึ่งในสี่ชั่วยามใช่ไหม?” เธอเอ่ยถาม

 

“ใช่” กู่ฉิงซานตอบ

 

“เพราะเหตุใด?”

 

“เพราะสำหรับผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิตแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่สามารถใช้พลังวิญญาณได้ แต่ตราบใดที่ตัดสินใจว่าจะทุ่มทุกสิ่งอย่างที่มี … ก็ย่อมเป็นการยากที่จะโค่นล้มอีกฝ่ายลง”

 

สองหญิงสาวพยักหน้าเข้าใจ

 

“ยิ่งไปกว่านั้น ข้ายังกังวลว่าสุดท้ายแล้วต่อให้คว้าชัยชนะมาได้ แต่หากเขาตัดสินใจที่จะระเบิดพลังวิญญาณและดึงดูดมารโลกาเข้ามา ทุกอย่างก็เป็นอันจบอยู่ดี”

 

“เช่นนั้นแล้วเจ้าตั้งใจจะทำอย่างไร?”

 

“ก็ปล่อยให้เขารู้สึกว่าตนเองสามารถคว้าชัยชนะมาไว้อยู่ในกำมือได้แล้วน่ะสิ”

 

มองไปยังการแสดงออกที่ยังคงสงสัยของฉินรั่ว กู่ฉิงซานก็อธิบายว่า “หวังหงษ์เต๋าผู้นี้ ตราบใดที่ไม่คิดว่าตนสามารถคว้าชัยชนะไว้ได้เต็มกำมือ เขาย่อมต้องทุ่มพยายามอย่างสุดความสามารถอย่างแน่นอน”

 

ฉินรั่วพยักหน้า และเอ่ยอย่างช้าๆ “ก็ใช่ เพราะเขาก็เลือกที่จะเฝ้ารอจนกระทั่งครบกำหนดเวลา จนค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกฟื้นฟูกลับคืนจริงๆ”

 

“ก็นั่นแหละ ทุกสิ่งอย่างที่ข้าวางเอาไว้ก็เพื่อช่วงเวลาสุดท้ายนั้น … ช่วงเวลาที่จะปิดฉากด้วยดาบสุดท้ายไป”

 

“แต่ดาบสุดท้ายนั่น ก็ทำให้เจ้าต้องตกอยู่ในอันตรายร้ายแรงเช่นกัน”

 

ฉินรั่วจ้องมองหน้าอกของกู่ฉิงซาน

 

กระบี่ยาว ถูกนำออกมาแล้วโดยว่านเอ๋อ

 

ทั้งมือทั้งเท้าของว่านเอ๋อช่างว่องไวและกระฉับกระเฉงเป็นอย่างยิ่ง เธอป้ายยาลงบนตัวของกู่ฉิงซาน และบอกชนิดยาที่ตรงตามอาการให้เขากินทันที

 

เธอเก่งกาจในเรื่องการรักษาอาการบาดเจ็บอย่างที่บอกไว้จริงๆ

 

“ขอบใจนะว่านเอ๋อ”

 

กู่ฉิงซานโยนเม็ดยารักษาเข้าปากและกล่าวอธิบายต่อว่า “ก็นั่นเป็นช่วงเวลาเดียวเท่านั้นที่ข้าสามารถประชิดตัวเขาได้นี่นา”

 

ฉินรั่ว “นอกจากนี้ยังเป็นช่วงเวลาเดียวที่ฉานนู่สามารถใช้ประโยชน์จากใบหยก หรือพลังศักดิ์สิทธิ์ได้อีกด้วยใช่ไหม?”

 

“ใช่แล้วล่ะ แท้จริงแล้วช่วงเวลาตัดสินเป็นตายมันมิใช่ในตอนที่ค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกหยุดทำงานหรอก แต่เป็นช่วงเวลาที่มันเริ่มกลับมาทำงานได้อีกครั้งต่างหากล่ะ”

 

ฉินรั่วถอนหายใจ “ใครกันที่จะมีฝีมือในการวางแผนคาดคำนวณถึงเพียงนี้ หากไม่นับตนเอง ตลอดทั้งชีวิตของหวังหงษ์เต๋าก็คงไม่อาจนึกถึงผู้ใดได้อีกแล้ว”

 

กู่ฉิงซานกล่าวเบาๆว่า “การกระทำอย่างหุนหันพลันแล่นโดยไม่สามารถสังหารฝ่ายตรงข้ามได้น่ะมันไร้ประโยชน์ ดังนั้น จึงเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้วว่าเขาจะคาดไม่ถึงในการกระทำของข้า”

 

“เป็นอย่างที่เจ้าพูดจริงๆ หากเจ้ามิอาจประชิดตัวเขาได้ในช่วงเวลาสุดท้ายที่ว่านั่น ทุกอย่างก็เป็นอันจบ – ว่าแต่เพราะเหตุใดเขาจึงมิได้คาดคิดถึงในส่วนนั้นกัน?” ฉินรั่วเอ่ยด้วยความสับสนเล็กน้อย

 

กู่ฉิงซานเฉลย “เพราะในตลอดช่วงชีวิตของเขา กลยุทธ์ของเขาได้รับชัยชนะเสมอมา โดยที่ตนไม่แม้จะกระทั่งใช้ความพยายามอย่างเต็มที่  เขาเลยไม่เคยคาดคิดถึงการจู่โจมที่อาจคุกคามตนถึงชีวิต”

 

ฉินรั่วสั่นสะท้าน

 

“กระบี่นั้นเที่ยงแท้ และมันไม่เคยทรยศผู้ใด ขณะที่คนดั่งเช่นเขานั้นลุ่มหลง มัวเมาอยู่กับการรักษาชีวิตของตนเอง จนลืมเลือนข้อเท็จจริง ข้อนี้ไป”

 

ขณะกล่าวถึงเรื่องกระบี่ จู่ๆภายในจิตใจของกู่ฉิงซาน ก็บังเกิดร่างๆหนึ่งว่าบผ่านเข้ามา

 

มันเป็นร่างของหญิงในชุดเกราะสีทอง พร้อมด้วยหน้ากากเงินบนใบหน้า

 

หญิงสาวที่แม้บนร่างกายจะถูกแต่งแต้มไปด้วยบาดแผล  แต่เธอก็ยังกุมกระบี่ยาวที่เที่ยงตรงและเที่ยงแท้ในมืออย่างแม่นมั่น เหินทะยานขึ้นไปต่อสู้บนฟากฟ้า

 

เธอซึ่งเป็นผู้ใช้กระบี่ที่แท้จริง

 

ครั้งสุดท้ายที่เห็น สภาพนางน่าเป็นห่วงจัง? นางจะเป็นอะไรไหมนะ?

 

แล้วท่านอาจารย์เล่า?

 

เซี่ยวโหลวล่ะ?

 

ไหนจะซิวซิวอีก?

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจออกมา

 

“ดังนั้น เขาจึงไม่สามารถเข้าใจถึงความคิดของเจ้าได้ รวมไปถึงการเคลื่อนไหวลงมือของเจ้าด้วยล่ะสินะ” ฉินรั่วกล่าวชื่นชมอย่างสุดซึ้ง

 

“นั่นแหละคือสิ่งที่เกิดขึ้น”

 

ขณะกล่าว สายตาของกู่ฉิงซานก็กำลังมองไปยังหน้าต่างระบบเทพสงคราม

 

หลากเส้นแสงตัวอักษรขนาดเล็กลอยเด่นอยู่ในวิสัยทัศน์ของเขามาพักหนึ่งแล้ว

 

“คุณได้สังหารเซ่าหวูชุ่ย ผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่า”

 

“เนื่องจากคุณสามารถสังหารขอบเขตที่เหนือกว่าถึงสามระดับได้ด้วยการโจมตีเพียงกระบวนท่าเดียว คุณจึงสามารถได้รับแต้มพลังวิญญาณทั้งหมดโดยสมบูรณ์”

 

“แต้มพลังวิญญาณ +2000”

 

“คุณได้สังหารหวังหงษ์เต๋า ผู้ฝึกยุทธลมปราณจิต”

 

“คุณได้สังหารเฉียนซานเย่(จิตวิญญาณหลัก) ผู้ฝึกยุทธลมปราณจิต”

 

“เนื่องจากคุณสามารถสังหารขอบเขตที่เหนือกว่าถึงสี่ระดับได้ด้วยการโจมตีเพียงกระบวนท่าเดียว คุณจึงสามารถได้รับแต้มพลังวิญญาณทั้งหมดโดยสมบูรณ์”

 

“แต้มพลังวิญญาณ +5000”

 

“แต้มพลังวิญญาณ +3000”

 

“ในมุมมองตามที่กล่าวมาข้างต้น ว่าคุณสามารถลงมือสังหารได้อย่างสมบูรณ์แบบ ‘ใช้ความอ่อนแอสยบความแข็งแกร่ง’ ดังนั้น คุณจึงสามารถได้รับแต้มพลังวิญญาณเกินกว่าขีดจำกัดของขอบเขตประทับเทพ”

 

“แต้มพลังวิญญาณส่วนเกินของคุณคือ : 10000/400 ”

 

กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระและหยิบใบหยกที่บันทึกค่ายกลออกมา

 

แล้วเขาก็เริ่มทำความเข้าใจมันทันที

 

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม หนึ่งเส้นแสงตัวอักษรขนาดเล็กปรากฏขึ้น

 

“ต้องการจ่าย 700 แต้มพลังวิญญาณ เพื่อทำการเรียนรู้ถึงค่ายกลระดับสูงหรือไม่?”

 

“เรียนรู้”

 

กู่ฉิงซานกล่าว

 

แทบจะในทันที กระแสไอร้อนไหลบ่าออกมาจากใบหยก ถ่ายเทเข้าไปในร่างกายของเขา และสุดท้ายก็ไปบรรจบกันในทะเลแห่งห้วงสติ

 

กู่ฉิงซานหลับตาลงสักพัก พยายามที่จะย่อยเนื้อหาของค่ายกลทั้งหมด

 

แล้วเขาก็หยิบใบหยกที่บันทึกค่ายกลระดับสูงขึ้นมาอีกแผ่นหนึ่ง

 

จากนั้นก็เริ่มทำการเรียนรู้มันอีกครั้ง

 

ตนได้รับมาถึง 10000 แต้มพลังวิญญาณ ดังนั้นกู่ฉิงซานจึงไม่สนใจเลยว่าเขาจะต้องจ่ายมันไปเท่าใด

 

เพราะช่วงเวลานี้ เขาจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้เกี่ยวกับมันให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้!