ภาคที่ 1 การรุกกลับของศิษย์พี่ บทที่ 89 ราชสีห์เหล็ก

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ตั้งแต่ที่หุบเหวปราการมังกรเกิดความผิดปกติ ครั้นผู้อาวุโสฉิน จ้าวซื่อเฉิง ทะยานบูรพาและคนอื่นๆ เตรียมตัวเข้าไปในหุบเหว เยี่ยนจ้าวเกอก็ให้อาหู่ส่งข่าวกลับไปที่สำนัก

แน่นอนว่าต้องเป็นเพราะเหตุผลอื่นอยู่แล้ว ซึ่งเดิมทีก็เป็นเพราะเหยียนซวี่ แต่ตอนนี้กลับรับมือกับแผนการของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ได้พอดี

เมื่อเทียบกับยอดฝีมือของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ที่เข้ามาซ่อนตัวรอคำสั่งปฏิบัติการตั้งแต่เนิ่นๆ สือเถี่ยมาถึงถังตะวันออกไม่ช้ากว่าเท่าไรนัก

เยี่ยนจ้าวเกอมองไปยังกลางอากาศ

เขาเห็นเพียงสือเถี่ยที่มีใบหน้าถมึงทึง ขณะเดียวกันกับที่จับกุมคุมเฒ่ามารหัวขวานหานเซิ่งนั้น ก็ยื่นมือออกไปตรงๆ แล้วจับไปที่ผู้อาวุโสของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้น!

ชายชราตาเดียวเห็นดังนั้น ก็ตะคอกออกมาอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “สือเถี่ย เจ้ากล้า?!”

สีหน้าท่าทางของสือเถี่ย เรียบเฉยราวกับหินดึกดำบรรพ์ล้านปี “ข้ามีอะไรไม่กล้าหรือ?”

“คนสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ของเจ้า มาก่อความวุ่นวายในอาณาเขตนภาพิภพของข้า ย่อมต้องจ่ายค่าชดใช้”

ชายชราตาเดียวกล่าวด้วยความโมโหว่า “เขากว่างเฉิงของเจ้ารับเอาศิษย์ทรยศหลบหนีสำนักข้าไป อีกทั้งเยี่ยนจ้าวเกอศิษย์สำนักเจ้ายังสังหารเซียวเซิง ศิษย์สืบทอดสำนักของข้า”

“พวกเจ้าคิดหรือว่ามันจะจบง่ายๆ เช่นนี้”

สือเถี่ยกล่าวอย่างเย็นชาว่า “หมกมุ่นโลกีย์ เสเพลไร้ศีลธรรม คิดจะล่วงเกินศิษย์ร่วมสำนัก สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าปกป้องคนผิดเช่นนี้ ก็สมควรแล้วที่เซียวเซิงจะโดนกรรมตามสนอง”

ขณะที่พูด สือเถี่ยก็ยืนมือขวาออกไป ฝ่ามือประดุจกระเบื้องเคลือบ เปล่งประกายแสงสีทองเจิดจ้าจากด้านในสู่ด้านนอกราวกับเพชร

ลมเมฆทั่วท้องฟ้าม้วนขึ้นอีกครั้ง เมฆหมอกสีทองเปลี่ยนรูปไปเป็นฝ่ามือขนาดยักษ์ปิดบังท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ไปฟากหนึ่ง คว้าไปที่ชายชราตาเดียวผู้นั้น

“ได้! สือเถี่ย! หากเจ้าแน่จริงก็เจอกับเจ้าสำนักของข้าก่อน ดูสิว่าเจ้าจะยังพูดพล่ามอวดดีเช่นนี้ได้อยู่หรือไม่!”

ชายชราตาเดียวตะโกนด้วยความคับแค้นใจ แล้วจึงหมุนกายกลับอย่างรีบร้อน ใช้วิชาสุริยันทะยานบูรพา เร่งหลีกหนีไปยังที่ที่ไกลออกไป

หานเซิ่งที่มีระดับวรยุทธ์ไม่ด้อยไปกว่าเท่าไร ถูกสือเถี่ยจับเอาไว้ได้ในคราวเดียว

แม้แต่ทะยานบูรพาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสือเถี่ย ชายชราตาเดียวจึงไม่คาดหวังว่าตนเองจะสามารถหยุดยั้งสือเถี่ยได้

ตอนนี้เขาหวังเพียงว่าตนเองจะหนีไปได้เท่านั้น

วิชาสุริยันทะยานบูรพาของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทั้งแผ่นดิน

เทียบความเร็วในการเคลื่อนไหวร่างกายแล้ว เขาแข็งแกร่งกว่าหานเซิ่ง เฒ่ามารหัวขวานมาก

“อย่าว่าแต่เหยียนซวี่เลย ต่อให้หวงกวงเลี่ยอยู่ที่นี่ด้วย ข้าสือเถี่ยก็จะกล่าวเช่นเดิม ชั่วชีวิตข้าไม่ว่าสิ่งใดก็ล้วนอ่อนนิ่ม มีเพียงกระดูกที่แข็ง แม้จะต่อสู้จนกระดูกทั้งร่างกายนี้แหลกละเอียด ข้าก็ยังยืนยันคำเดิม”

น้ำเสียงสือเถี่ยเรียบเฉย ทว่ากลับเผยให้เห็นถึงจิตใจที่เด็ดเดี่ยวและแน่วแน่ถึงที่สุด

มือสีทองขนาดยักษ์ที่เปลี่ยนรูปมาจากเมฆหมอกนั่น ราวกับจะขายใหญ่จนไม่มีที่สิ้นสุด ยื่นตรงออกไปจนถึงขอบฟ้า

แม้วิชาสุริยันทะยานบูรพาของผู้อาวุโสสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นจะรวดเร็วสักเพียงใด หรือจะมีพลังที่ไม่อาจต้านทานได้มากเพียงไหน ทว่าท้ายที่สุดก็ไม่สามารถหลีกหนีจากใต้ฝ่ามือของสือเถี่ยได้!

ฝ่ามือขนาดยักษ์ตกลงมา ทับชายชราตาเดียวเอาไว้ในทันที!

ชายชราตาเดียวผู้นี้กับหานเซิ่ง เฒ่ามารหัวขวาน ล้วนขับเคลื่อนอาวุธวิญญาณของตนเอง ชิ้นหนึ่งเป็นระดับกลาง ชิ้นหนึ่งระดับล่าง ต่อสู้ดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง

ถึงกระนั้นกรงขังที่เกิดมาจากเมฆหมอกสีทอง ก็พันธนาการพวกเขาเอาไว้อย่างแน่นหนา ไม่มีโอกาสที่จะหลุดจากการปิดล้อมไปได้เลย

เยี่ยนจ้าวเกอมองฝ่ามือที่คืนกลับมาเป็นรูปร่างปกติของสือเถี่ย แล้วกล่าวชื่นชมไม่หยุด “ชั่วชีวิตฝึกวรยุทธ์วิชารูปแบบเดียว ท่านอาจารย์ลุงใหญ่ช่างมีความตั้งใจมุ่งมั่นจริงๆ วิชาเดียวแต่ก็รู้ซึ้งถึงแก่นแท้”

อาหู่ สวีชวน และคนอื่นๆ ที่อยู่รอบข้างต่างก็ผงกศีรษะเห็นด้วย

จอมยุทธ์เขากว่างเฉิงที่อยู่ในระดับปรมาจารย์เช่นเดียวกันกับเยี่ยนจ้าวเกอ ต่างก็ฝึกฝนเพลงกระบี่เจ็ดดาราและฝ่ามือดุสิต ในบรรดายอดวิชาแปดพิภพแล้ว

มหาปรมาจารย์เหมือนอย่างเหยียนซวี่ หรือกระทั่งผู้อาวุโสฉิน ผู้อาวุโสข่ง ล้วนแล้วแต่มีการฝึกฝนวิชาวรยุทธ์สูงสุดแห่งเขากว่างเฉิงหลากหลายรูปแบบพร้อมกัน ถึงขั้นมีการฝึกวิชาวรยุทธ์นอกเขากว่างเฉิงด้วย

เพียงแต่ในบรรดาวรยุทธ์ต่างๆ มากมายที่ทำการฝึกฝนนั้น มีหนึ่งถึงสองสายที่เป็นสายการฝึกฝนหลัก ต้องถนัดและรู้ละเอียดลึกซึ้งมากที่สุด ที่เหลือเป็นการฝึกฝนเพิ่มเติมเพื่อใช้เป็นการศึกษาค้นคว้าเบื้องต้น

นี่ไม่เพียงแต่จะช่วยยกระดับความสามารถโดยรวมของจอมยุทธ์เท่านั้น ขณะเดียวกันก็ยังมีส่วนช่วยในการทำความเข้าใจ และเก็บเกี่ยวสั่งสมวรยุทธ์ของตนเองอีกด้วย

เมื่อถึงระดับวรยุทธ์อย่างพวกเขาแล้ว การที่จะควบคุมความหนักเบาตึงคลายเช่นไรให้สมดุล หรือการจัดสรรเวลา โดยส่วนมากแล้วนั้นเป็นเรื่องที่รู้ดีอยู่แก่ใจ

เบื้องบนจนถึงเบื้องล่างทั่วทั้งเขากว่างเฉิง จอมยุทธ์ระดับมหาปรมาจารย์มีเพียงสือเถี่ยผู้เดียวเท่านั้นที่แตกต่างออกไป

ตอนยังเยาว์วัยเขามีระดับวรยุทธ์ยังค่อนข้างต่ำ จึงมุ่งฝึกฝนวรยุทธ์ขั้นพื้นฐานแค่เพียงวิชาเดียวเท่านั้น

เมื่อระดับวรยุทธ์สูงขึ้นแล้ว ก็ยังคงฝึกฝนวรยุทธ์แค่เพียงวิชากายเพชร หนึ่งในยอดวิชาแปดพิภพ เพียงวิชาเดียวเท่านั้น

ฝึกวิชานี้เพียงวิชาเดียวกว่าร้อยปี!

สือเถี่ยผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก จากศิษย์รุ่นเยาว์คนหนึ่งของเขากว่างเฉิง ก้าวมาจนถึงตำแหน่งระดับสูงที่มีจำนวนน้อยของสำนักในปัจจุบัน โดยที่ฝึกฝนเพียงวิชาวรยุทธ์เดียวเท่านั้น

เยี่ยนตี๋ บิดาของเยี่ยนจ้าวเกอ หากกล่าวถึงความสามารถนั้น ก็อยู่เหนือยิ่งกว่าสือเถี่ย ศิษย์พี่ใหญ่ของตนเอง

เป็นหนึ่งในสี่คนที่ยังมีอยู่ในเขากว่างเฉิง ซึ่งเข้าใจยอดวิชาแปดพิภพอย่างลึกซึ้งทั้งหมด

ทว่าหากเทียบแค่เพียงระดับความรู้ซึ้งของวิชากายเพชรวิชานี้วิชาเดียว หากเยี่ยนตี๋ต้องเผชิญหน้ากับสือเถี่ย ก็ต้องยอมถอยเช่นกัน

ระดับความรู้ซึ้งเกี่ยวกับวิชาวรยุทธ์วิชานี้ของสือเถี่ยนั้น อยู่เหนือทั้งบรรพบุรุษและคนในรุ่นเดียวกันในประวัติศาสตร์เขากว่างเฉิงมาเนิ่นนานแล้ว สมกับที่เป็นบุคคลอันดับหนึ่งตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน

จากการศึกษาค้นคว้าไม่หยุดหย่อนของเขา วิชากายเพชรก็ยิ่งบริสุทธิ์มากขึ้น เหลือไว้แต่เพียงสิ่งที่ดีที่สุด พัฒนาจนก้าวข้ามคนในอดีต

ในอดีต ทุกสายของยอดวิชาแปดพิภพเสมอเทียบเคียงกัน

ทว่าปัจจุบัน วิชากายเพชรกลับเป็นอันดับหนึ่งในยอดวิชาแปดพิภพ

ชื่อเสียงนี้ ก็เป็นสิ่งที่สือเถี่ยสร้างขึ้น

ใบหน้าของสือเถี่ยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก หลังจากที่จับกุมหานเซิ่งและชายชราตาเดียวผู้นั้นเอาไว้ได้แล้ว เขาก็ลอยตัวลงมาจากกลางอากาศ ถึงตรงหน้ากลุ่มคนของเยี่ยนจ้าวเกอ

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเล็กน้อย “ลำบากท่านอาจารย์ลุงใหญ่แล้วขอรับ”

สือเถี่ยพยักหน้า “ก็ต้องมีความกล้าเช่นเจ้าถึงจะใช้ได้ จ้าวเกอ เจ้าทำได้ดียิ่งนัก”

ชายหนุ่มได้ยินดังนั้นพลันยิ้ม ทว่าสวีชวนที่อยู่ข้างๆ กลับบ่นพึมพำอยู่คนเดียวเงียบๆ

เป็นที่รู้กันของคนภายนอก ว่าสือเถี่ยเอ่ยปากชมคนน้อยมาก หากได้รับคำชมว่า ‘ไม่เลว’ จากเขาครั้งหนึ่ง ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ยากยิ่งนักแล้ว แต่กล่าวชมเยี่ยนจ้าวเกอว่า ‘ดียิ่ง’ ในตอนนี้ นั่นถือว่าล้ำค่าและหาได้ยากยิ่งนัก

“ออกไปจากที่แห่งนี้ก่อนเถอะ อย่าให้ข่าวที่ข้ามาถึงถังตะวันออกรั่วไหลออกไป” สือเถี่ยกล่าว

เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า “นั่นแน่นอนอยู่แล้วขอรับ”

สือเถี่ยหันศีรษะกลับไปมองผู้อาวุโสเขากว่างเฉิงร่างผอมแห้งผู้นั้น “ลำบากท่านผู้อาวุโสสวีแล้ว ดูแลคนอื่นๆ ของสำนัก และกลุ่มคนขององค์ชายใหญ่แห่งถังตะวันออกก่อนเถอะ”

บัดนี้สีหน้าที่ตกตะลึงของชายชราร่างผอมแห้งได้กลับมาเป็นปกติแล้ว เขาไม่ถามไถ่ให้มากความ ก้มศีรษะลงกล่าวว่า “ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะ”

จากนั้นกลุ่มคนทั้งหมดก็จากไปในทันที

ถึงอย่างนั้นสือเถี่ยและเยี่ยนจ้าวเกอกลับไม่ได้เคลื่อนไหวในทันที สายตาของผู้อาวุโสกว่ามองไกลออกไปเป็นเส้นตรง “เหยียนซวี่ เจ้ามีอะไรจะพูดไหม”

ตรงขอบฟ้าเกิดแสงสีทองแวววาวปกคลุมไปทั่วทั้งสี่ทิศขึ้นมาโดยพลัน มองดูแล้วราวกับฉากกำบัง ตัดขาดภายในกับภายนอกออกจากกัน

เยี่ยนจ้าวเกอและอาหู่ตามสือเถื่อไปไม่กี่ก้าว ก็มาถึงรอบนอกของฉากกำบัง

ฉากกำบังนี้คือสิ่งที่กลายรูปมาจากวรยุทธ์อันแข็งแกร่งของสือเถี่ย ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกขจัดจนไร้รูปร่าง ทำให้ผู้คนไม่สามารถสังเกตเห็นได้

แม้จะสกัดกั้นยอดฝีมือในระดับเดียวกันไม่ได้ ทว่าการที่ครอบคลุมไปทั่วทั้งสี่ทิศ ต่อให้ก่อนหน้านี้หานเซิ่ง เฒ่ามารหัวขวาน และคนอื่นๆ หนีออกไป ก็จะชนเข้ากับฉากกำบังนี้เข้าอย่างจัง และถูกสกัดกั้นเอาไว้ได้อยู่ดี

ขณะนี้ก็มีคนถูกฉากกำบังสกัดกั้นเอาไว้ จึงทำได้เพียงหยุดอยู่กับที่อย่างกระอักกระอ่วน จะถอยกลับหรือจะเดินหน้าต่อก็ทำไม่ได้

ซึ่งคนคนนั้นก็คือเหยียนซวี่

ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้เข้ามาใกล้ เพียงแต่สังเกตความเคลื่อนไหวอยู่ไกลๆ

หากกลุ่มคนของเยี่ยนจ้าวเกอสิ้นชีพในเงื้อมมือของหานเซิ่ง และยอดฝีมือสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ สำหรับเขาแล้วก็เป็นผลลัพธ์ที่เยี่ยมที่สุดอย่างแน่นอน

และถ้าหากเยี่ยนจ้าวเกอเกิดดวงแข็งฝ่าวงล้อมออกมาได้ เช่นนั้นไม่แน่ว่าเขาอาจจะต้องลงมือเองก็เป็นได้

ทว่าเมื่อเห็นสือเถี่อลงมือ ภายในใจของเหยียนซวี่ก็เย็นวาบลงไปกึ่งหนึ่งในชั่วพริบตา

สือเถี่ยมาถึงเร็วกว่าที่คาดการณ์เอาไว้มากนัก!

วินาทีแรกเหยียนซวี่ก็รับรู้ได้ถึงความผิดปกติ จึงเตรียมหันกายหลบหนีไป

แต่กลับพบว่า เจตจำนงหมัดของสือเถี่ยได้ปกคลุมไปทั่วทั้งสี่ทิศ หยุดห้ามฟ้าดินเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ไม่เพียงแต่หานเซิ่งและคนอื่นๆ ก่อนหน้านี้ เหยียนซวี่เองก็ไม่ทันสังเกตเห็น ตนเองจึงกลายเป็นลูกไก่ในกำมือไปเสียได้

เขาถูกเจตจำนงหมัดของสือเถี่ยควบคุมเอาไว้ อยากจะหนี ก็หนีไม่ได้ คิดอยากจะปรากฏกายมาพบด้วยตนเอง เพื่อกลบเกลื่อนการกระทำของตน ก็ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้เช่นกัน

เขาที่ตกอยู่ในสภาวะเช่นนี้ ช่างน่าอึดอัดนัก

…………