บทที่ 101 รับคำร้องขอ

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

บทที่ 101 รับคำร้องขอ

 

“ในสำนักเซียวเหยา ความสามารถของพวกผู้อาวุโสในสำนักเป็นยังไงบ้าง?” หลังจากที่หลัวซิวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็หันไปถามเหวินเซวียนหง

“นอกจากเจ้าสำนักเซียวเหยาที่ได้รับบาดเจ็บหนักที่เมื่อก่อนอยู่ในแดนผู้ชนะขั้น4 แล้ว ปัจจุบันผู้ที่มีฝีมือแข็งแกร่งที่สุดก็คือตี๋ซือกู่และขงชิงหยูที่กำลังช่วงชิงตำแหน่งเจ้าสำนักกันอยู่ ล้วนอยู่ในแดนผู้ชนะขั้น3” เหวินเซวียนหงกล่าว

ได้ยินดังนั้น หลัวซิวก็พยักหน้า ซึ่งหมายความว่าเพียงแค่ตัวเองเชิญผู้แข็งแกร่งในแดนผู้ชนะขั้น4 แห่งโลกยุทธ์ ก็น่าจะคุ้มครองตัวเองให้ปลอดภัยไร้กังวลได้

ครานี้ เขาเตรียมที่จะเข้าถ้ำเสือ เผชิญหน้ากับลู่เฟยเฉินและลู่เมิ่งเหยา เพราะฉะนั้นเงื่อนไขแรก ก็คือรับประกันเรื่องความปลอดภัยของตัวเองว่าจะไม่มีปัญหาเกิดขึ้น

ภายใต้สายตาประหลาดใจของเหวินเซวียนหง หลัวซิวได้ล้วงเอาสมบัติวิเศษสามอย่าง ออกมาจากแหวนเก็บของ

กระบี่ยุทธ์ระดับชั้นล่างเล่มหนึ่ง จานรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนที่สีดำแวววาวหนึ่งใบ และยังมีขวดหยกสีแดงหนึ่งขวด

เมื่อเห็นของทั้งสามอย่าง เหวินเซวียนหงก็มั่นใจแล้วว่า หลัวซิวจะต้องเคยได้รับการถ่ายทอดจากยอดฝีมือราชายุทธ์มาอย่างแน่นอน เพราะแค่กระบี่ยุทธ์ระดับชั้นล่าง นี่ก็เป็นเล่มที่สองที่เขาได้นำออกมาแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น ของที่เหลืออีกสองอย่าง อย่างหนึ่งคือสมบัติค่ายกลระดับห้า ส่วนอีกอย่างนั้น น่าจะเป็นยาระดับ5

หลัวซิววางของทั้งสามอย่างลงไปบนโต๊ะ และมองไปที่เหวินเซวียนหง กล่าว: “ผู้น้อยอยากจะขอให้ผู้แข็งแกร่งแดนผู้ชนะขั้น4 ท่านหนึ่งช่วยอีกแรง”

เหวินเซวียนหงไม่ได้พูดอะไร แต่ได้ตรวจดูสมบัติวิเศษทั้งสามก่อน ว่าได้อยู่ในขั้นห้าหรือไม่

“ยาเมฆาอคียาระดับ5? นี่ถือเป็นของดีที่นับว่าไม่เลย”

เมื่อได้เห็นยาที่อยู่ในขวดหยก ดวงตาของเหวินเซวียนหงก็เป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อย

ไม่นาน เขาก็ได้เก็บสมบัติวิเศษทั้งสามอย่างลง และยิ้มกล่าว: “ข้าอยู่ในแดนราชายุทธ์ขั้น4 พอดี ดังนั้นข้าจะเป็นคนรับคำร้องขอของเจ้าด้วยตนเองเอง”

“ขอบคุณผู้อาวุโส!” หลัวซิวลุกขึ้นคารวะทันที ถ้าหากได้เหวินเซวียนหงเป็นคนช่วยนับว่าดีที่สุดแล้ว

“เจ้าไม่ต้องขอบคุณข้า เมื่อรับของจากเจ้า ทำงานให้เจ้าถือเป็นสิ่งที่ข้าควรจะทำ” เหวินเซวียนหงไม่ได้รับคารวะจากหลัวซิว เรื่องส่วนรวมและเรื่องส่วนตัวแยกกันอย่างชัดเจน

จากนั้นเหวินเซวียนหงก็ได้เขียนจดหมายหนึ่งฉบับ และให้คนส่งไปที่นอกสำนักเซียวเหยา

……

“จดหมายจากหัวหน้าแก๊งเหวินรึ?”

ภายในสำนักเซียวเหยา เมื่อลู่เฟยเฉินได้รับจดหมาย ก็ต้องชะงักไปเล็กน้อย หลังจากที่ได้เห็นสิ่งที่เขียนอยู่ในจดหมาย สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที

“เจ้าหลัวซิว ข้ามองเจ้าต่ำไปเสียแล้ว คิดไม่ถึงว่าสามารถเชิญหัวหน้าแก๊งเหวินมาได้!” แววอาฆาตแวบผ่านไปในดวงตาของลู่เฟยเฉิน

จากนั้นเขาก็ได้หยิบกล่องส่งเสียงออกมา และติดต่อหาอาจารย์ของเขา ผู้อาวุโสในสำนักขงชิงหยู

“ในเมื่อหัวหน้าแก๊งเหวินออกหน้า งั้นจะพบหน่อยก็ไม่เป็นไร” ขงชิงหยูให้คำตอบอย่างรวดเร็ว

สำหรับหลัวซิวแล้ว ในเมื่อมีเหวินเซวียนหงออกหน้าเจรจา ตนเองก็เพียงแค่รอเท่านั้น

ไม่นานนัก เหวินเซวียนหงก็มาหาเขา กล่าว: “ลู่เฟยเฉินได้ตอบกลับมาแล้ว เจ้ามากับข้า”

เดินตามอยู่ที่ด้านหลังของเหวินเซวียนหง หลัวซิวได้เดินออกจากองค์กรนักล่ายุทธ์สาขาย่อย จากนั้นก็ได้มาถึงภัตตาคารที่หรูหราที่สุดแห่งหนึ่งในเขตการปกครองหยุนหลง

ภายในห้องส่วนตัวที่อยู่บนชั้นสูงสุดของภัตตาคาร ในตอนที่หลัวซิวเดินตามเหวินเซวียนหงเข้าไปข้างในนั้น ก็ได้เห็นลู่เฟยเฉินนั่งรออยู่ด้านในแล้ว

นอกจากลู่เฟยเฉิน ยังมีชายชราผมงอกหน้าแดงฝาดคนหนึ่ง และชายวัยกลางคนไว้เคราแพะคนหนึ่ง

“หัวหน้าแก๊งเหวิน” ลู่เฟยเฉินและชายชราผมงอกหน้าแดงฝาดลุกขึ้นคารวะเหวินเซวียนหง

หลัวซิวสังเกตเห็นว่า ชายวัยกลางคนไว้เคราแพะไม่ได้ลุกขึ้นคารวะแต่อย่างใด เห็นได้ชัดว่าจะต้องมีฐานะไม่ธรรมดาแน่

ตรงข้ามของทั้งสามคน เหวินเซวียนหงและหลัวซิวได้นั่นลง

“เหอะ ๆ สามารถเชิญให้หัวหน้าแก๊งเหวินเป็นคนออกหน้าเองได้ หรือว่าเจ้าหนุ่มผู้นี้จะเป็นอัจฉริยะคนใหม่ที่พึ่งเข้ามา?” ชายวัยกลางคนไว้เคราแพะพลันหรี่ตาลงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“มันไม่เกี่ยวอะไรกับท่านหัวหน้าแก๊งเชิ่งไม่ใช่หรอกเหรอ” เหวินเซวียนหงตอบอย่างเรียบ ๆ

ในเวลาเดียวกันนั้น เสียงของเหวินเซวียนหงก็ได้ดังลอยมากระทบหูของหลัวซิว บอกกับเขาว่าชราผมงอกหน้าแดงฝาดคนนั้น ก็คือขงชิงหยู ชายวัยกลางคนไว้เคราแพะ นั่นก็คือหัวหน้าแก๊งแก๊งนักค่ายกลสาขาย่อย เชิ่งฮั๋วเฟิง

ระหว่างทั้งสี่แก๊งใหญ่นั้นมีการร่วมมือกัน แต่ก็เป็นคู่แข่งกัน ในฐานะหนึ่งในสี่ผู้นำใหญ่ของเขตการปกครองหยุนหลง ระหว่างเหวินเซวียนหงและเชิ่งฮั๋วเฟิง ก็ไม่ค่อยจะชอบหน้ากันนัก

เผชิญหน้ากับคำตอบที่แสนเย็นชาของเหวินเซวียนหง เชิ่งฮั๋วเฟิงก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก เขายิ้มอ่อน: “ตามกฎแล้ว ไม่อนุญาตให้องค์กรนักล่ายุทธ์ยื่นมือเข้าไปเกี่ยวข้องกับความแค้นส่วนตัว หัวหน้าแก๊งเหวินจะอธิบายยังไง?”

“เชิ่งฮั๋วเฟิงเจ้าเองก็ยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องแล้วไม่ใช่หรอกเหรอ? แล้วเจ้าล่ะจะอธิบายยังไง? เหมือนว่าแก๊งนักค่ายกลจะไม่มีภารกิจรางวัลนำจับนะ” เหวินเซวียนหงยิ้มเยาะ

เป็นที่ประจักษ์ ลู่เฟยเฉินและขงชิงหยูนั้นรู้ถึงความแตกต่างระหว่างฐานะของตัวเองและเหวินเซวียนหง เกรงว่าตัวเองจะเสียเปรียบ ดังนั้นจึงได้เชิญเหวินเซวียนหง

“แก๊งนักค่ายกลของข้าไม่เหมือนกับองค์กรนักล่ายุทธ์ของเจ้า ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับผู้อาวุโสขงนั้นไม่เลว เกรงว่าเจ้าจะรังแกผู้ที่ด้อยกว่า ดังนั้นก็เลยมาดูหน่อย”

พูดมาถึงตรงนี้ สายตาของเชิ่งฮั๋วเฟิงจับจ้องไปที่หลัวซิว ยิ้มกล่าว: “หัวหน้าแก๊งเหวินเป็นถึงยอดฝีมือราชายุทธ์ขั้น4 สามารถใช้ภารกิจรางวัลนำจับเชิญให้เขาออกหน้าได้ เจ้าหนุ่มไม่ธรรมเลยนี่”

เมื่อพูดคำพูดนี้ออกมา ลู่เฟยเฉินและขงชิงหยูเองต่างก็มองมาที่หลัวซิว

“ตาเฒ่าอันตราย” หลัวซิวอดไม่ได้ที่จะแอบด่าในใจ ที่เชิ่งฮั๋วเฟิงพูดมาเมื่อสักครู่นั้น เห็นได้ชัดว่ามีเจตนาอื่นแอบแผงอยู่ ทำให้คนอื่นคิดว่าที่ตัวเองสามารถใช้ภารกิจรางวัลนำจับเชิญหัวหน้าแก๊งเหวินออกหน้าได้นั้น จะต้องมีสมบัติวิเศษขั้นห้าอยู่ในครอบครองเป็นแน่

แต่ถึงอย่างไรก็ตามเชิ่งฮั๋วเฟิงก็มีฐานะเป็นผู้นำที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเหวินเซวียนหง หลัวซิวก็ทำได้เพียงกัดฟันกล่าว: “ผู้อาวุโสชมเกินไปแล้ว ผู้น้อยเพียงแค่โชคดี ได้รับถ่ายทอดมาจากผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ขั้น1 ท่านหนึ่งเท่านั้นเอง”

ในความเป็นจริงแล้วราชายุทธ์ปู้เฉินท่านนั้นเป็นผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในแดนผู้ชนะขั้น7 ขึ้นไป และยังเป็นปรมาจารย์นักหลอมอาวุธขั้น5 เหตุที่หลัวซิวกล่าวออกมาแบบนี้ ด้านหนึ่งก็เพื่ออธิบายว่าตัวเองสามารถเอาสมบัติวิเศษขั้นห้าออกมาได้ อีกด้านหนึ่งก็เพื่อบอกกับทั้งสามคนที่นั่งอยู่ด้านตรงข้ามว่า ผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ขั้น1 ไม่ได้ทิ้งของดีอะไรไว้มากไปกว่านี้แล้ว

เขากล่าวเช่นนี้ เชิ่งฮั๋วเฟิง ลู่เฟยเฉินและขงชิงหยูจะเชื่อหรือเปล่า หลังซิวเองก็ไม่แน่ใจ

เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่า จู่ ๆ ก็มีเชิ่งฮั๋วเฟิงยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย ไม่แน่ว่าอาจจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงก็ได้

“ลู่เมิ่งเหยาล่ะ?” เหวินเซวียนหงขมวคิ้วมองไปยังลู่เฟยเฉิน และกล่าวอย่างเย็นชา: “ครั้งนี้หลัวซิวร้องขอให้ข้าออกหน้า ขามีเรื่องบางอย่างที่อยากจะถามลู่เมิ่งเหยาให้ชัดเจน ข้าได้บอกไปในจดหมายแล้ว นางล่ะ?”

ฐานะของลู่เฟยเฉินนั้นอาจจะสูงส่งในสายตาของคนทั่วไป แต่สำหรับเหวินเซวียนหงแล้ว กลับยังห่างอีกนัก ต่อให้ไม่พูดถึงฐานะ ปรมาจารย์ฝึกจิตคนหนึ่งอย่างลู่เฟยเฉินกล้าที่จะไม่เชื่อฟังผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์อย่างตัวเอง เช่นนั้นเท่ากับเป็นการรนหาที่ตายชัด ๆ

เมื่อสัมผัสได้ถึงกระแสพลังอันเย็นยะเยือกที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างกายของเหวินเซวียนหง ลู่เฟยเฉินมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย

ทว่าในตอนนี้นั่นเอง กระแสพลังสายหนึ่งก็ได้แพร่กระจายออกมา ขวางเอากระแสพลังที่แผ่ซ่านมาจากจากร่างของเหวินเซวียนหงเอาไว้ เชิ่งฮั๋วเฟิงเอ่ยขึ้นมา: “เรื่องของลู่เมิ่งเหยานั้นเกี่ยวพันไปถึงเรื่องภายในของสำนักเซียวเหยา แม้ว่าหัวหน้าแก๊งเหวินเจ้าได้รับการร้องขอด้วยภารกิจรางวัลนำจับ ทว่าเข้าไปแทรกแซงการแข่งขันภายในของกองกำลังอื่น เป็นข้อห้ามที่แก๊งประกาศเอาไว้เป็นลายลักษณ์อักษรเชียวนะ!”

หลัวซิวที่อยู่ด้านข้างขมวดคิ้วเล็กน้อย เชิ่งฮั๋วเฟิงผู้นี้ เหมือนจะเข้าใจกำเกณฑ์ขององค์กรนักล่ายุทธ์เป็นอย่างดี

“เชิ่งฮั๋วเฟิง เจ้าแน่ใจเหรอว่าจะเอากฎมาเป็นข้ออ้าง?” จู่ ๆ เหวินเซวียนหงกลับหัวเราะเยาะขึ้นมา แววตาเหมือนดั่งคบเพลิง จ้องมองไปยังเชิ่งฮั๋วเฟิง

ทันทีที่คำพูดนี้ถูกกล่าวออกมา หลัวซิวเห็นเชิ่งฮั๋วเฟิงที่นั่งอยู่ตีงข้ามมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย กล่าว: “นี่เป็นเรื่องระหว่างลู่เฟยเฉิน ลู่เมิ่งเหยาและหลัวซิว ข้าคิดว่าให้พวกเขาเป็นคนคุยกันเองจะดีกว่า”