บทที่ 102 เจรจา

 

หลัวซิวรู้สึกว่าเชิ่งฮั๋วเฟิงคนนี้ค่อนข้างจะเลี่ยงเรื่องใหญ่รับเรื่องเล็ก เหมือนว่าจะไม่กล้าเผชิญหน้ากับคำถามเมื่อสักครู่ของเหวินเซวียนหง

เหวินเซวียนหงทำเสียงหึออกมาหนึ่งครั้ง ท่าทางแข็งกร้าวเล็กน้อย เชิ่งฮั๋วเฟิงที่มีโต้แย้งกับเหวินเซวียนหงอย่างไม่ลดละในเมื่อสักครู่ กลับดูอ่อนแรงลงไป

ซึ่งนั่นก็ทำให้ลู่เฟยเฉินและขงชิงหยูต้องสบตาซึ่งกันและกัน ต่างรู้สึกว่าเหตุการณ์ไม่ค่อยจะดีนัก

หลังจากที่ผู้นำทั้งสองคนได้ตอบโต้กันไปมา ในที่สุดก็ถึงเวลาให้หลัวซิวเอ่ยปาก เขามองไปยังลู่เฟยเฉิน กล่าว: “เจ้าสำนักลู่ สาเหตุที่ท่านต้องการฆ่าข้านั้นข้าได้ทราบมาหมดแล้ว ตอนนี้ข้าเพียงต้องการพบเมิ่งเหยาสักครั้ง?”

“ไม่ได้!” ลู่เมิ่งเหยาปฏิเสธทันที เหมือนว่าไม่สามารถเจรจาใด ๆ ได้เลย

สีหน้าของหลัวซิวเยือกเย็นลงทันที น้ำเสียงก็เย็นชาขึ้นมาไม่น้อย กล่าว: “เจ้าสำนักลู่ ข้าหวังว่าท่านอย่าได้มากจนเกินไป ถ้าหากไม่ใช่เพราะเมิ่งเหยา บางทีตอนนี้ท่านอาจไม่สามารถนั่งสนทนากับข้าอยู่ที่นี่แล้วก็ได้”

สำหรับคนที่คิดสังหารตัวเองนั้น ถ้าหากอีกฝ่ายไม่ใช่บิดาของลู่เมิ่งเหยา เขาจะต้องไม่มาคุยอยู่กับอีกฝ่ายดี ๆ แบบนี้แน่

หรือแม้กระทั่งว่าเขาสามารถประกาศภารกิจรางวัลนำจับเพื่อสังหารลู่เฟยฉินอยู่ที่องค์กรนักล่ายุทธ์ได้ทันที เชื่อว่าจะต้องมีผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ยินดีมารับงานนี้อย่างแน่นอน

เป้าหมายที่นักล่าอสูรสังหาร ไม่ได้มีเพียงอสุรกายเท่านั้น

“เจ้าขู่ข้าหรือ?” ลู่เฟยเฉินเองก็มีสีหน้าเคร่งขรึมลงมา แม้ว่าเขาจะเกรงกลัวเหวินเซวียนหง แต่หลัวซิวเป็นตัวอะไรกัน? ก็แค่จอมยุทธ์ชี่ไห่ ยังกล้ามาข่มขู่ตนเองที่เป็นปรมาจารย์ฝึกจิตงั้นหรือ?

ในขณะเดียวกันนั้น เขาก็ได้ปล่อยกระแสพลังของตัวเองออกมา บีบจู่โจมเข้าหาหลัวซิว

“ลู่เฟยเฉิน ระวังท่าทีของเจ้าด้วย!”

เหวินเซวียนหงทำเสียงฮึดฮัดอย่างไม่พอใจ กระแสพลังที่ลู่เฟยเฉินปล่อยออกมานั้นได้หายไปในพริบตา

“เจ้าสำนักลู่ ข้าขอถามท่านเป็นครั้งสุดท้าย ข้าต้องการพบมิ่งเหยา ท่านเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย?” มีเหวินเซวียนหงอยู่ข้าง ๆ หลัวซิวก็ไม่ต้องกังวลอะไร เขาลุกยืนขึ้นมา มองลงไปที่ลู่เฟยเฉินอย่างแข็งกร้าวพลางกล่าวเสียงดัง

ลู่เฟยเฉินอดกลั้นปางตาย เขาเป็นนายท่านของนอกสำนัก เคยมีจอมยุทธ์ชี่ไห่กล้ายืนค้ำหัวมองตนเองแบบนี้ที่ไหนกัน?

ดังนั้นลู่เฟยเฉินเลยไม่ครุ่นคิดเลยสักนิด เขาตวาดอย่างเย็นชา: “ต้องการพบลูกสาวข้า ฝันไปเถอะ! ชาตินี้เจ้าอย่าหวังว่าจะได้เจอนางเลย!”

ไฟโมโหที่ถูกกดทับเอาไว้ภายในใจของหลัวซิวลุกโชนขึ้นมาทันที เขาหันไปทางเหวินเซวียนหง “ท่านหัวหน้าแก๊ง ถ้าหากข้าให้รางวัลนำจับภารกิจสังหารลู่เฟยเฉิน จะต้องจ่ายค่าตอบแทนเช่นไร?”

“จากสมบัติวิเศษทั้งสามอย่างที่เจ้าให้ข้ามานั้น เพียงพอที่จะฆ่าลู่เฟยเฉินแล้ว” เหวินเซวียนหงตอบทันที สำหรับเขาแล้ว ชีวิตของลู่เฟยเฉิน อย่างมากสุดก็มีค่าทัดเทียมสมบัติขั้นห้าชิ้นหนึ่งเท่านั้น

“ต้องการให้ข้าฆ่าเขาหรือเปล่า?” ไอสังหารอันแรงกล้าสายหนึ่ง ได้แผ่ซ่านออกมาจากร่างของท่านหัวหน้าแก๊งที่ดูสุภาพเรียบร้อยท่านนี้

เหวินเซวียนหงไม่ได้ปกปิดไอสังหารบนร่างกายของเขาเลยสักนิด เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ชนะแห่งโลกยุทธ์ที่ทั้งฝีมือและฐานะไม่ธรรมดาเช่นนี้ สีหน้าของลู่เฟยเฉินก็แข็งกระด้างขึ้นมาทันที

“หัวหน้าแก๊งเหวิน หรือว่าองค์กรนักล่ายุทธ์จะยื่นมือเข้ามาแทรกแซงเรื่องภายในสำนักเซียวเหยาของข้างั้นหรือ?”

ขงชิงหยูเองก็ทนนิ่งต่อไปไม่ได้ สายตามองไปยังเหวินเซวียนหงพลางกล่าว

เขาเองก็อยู่ในแดนผู้ชนะแห่งโลกยุทธ์ แม้ว่าฝีมือและฐานะจะด้อยกว่าเหวินเซวียนหงอยู่บ้าง แต่ก็มีคุณสมบัติพอที่จะคุยด้วยได้

เหวินเซวียนหงทำเสียงหึอย่างเย็นชา เก็บไปสังหารกลับมา เขาจะไม่ยื่นมือเข้าไปแทรกแซงเรื่องภายในสำนักเซียวเหยาอย่างแน่นอน มาอย่างนั้นละก็แก๊งนักค่ายกล แก๊งนักหลอมอาวุธ และยังมีแก๊งนักกลั่นยาจะต้องถือเอาเรื่องนี้มาโจมตีองค์กรนักล่ายุทธ์อย่างแน่นอน

ระหว่างสี่แก๊งใหญ่นี้ได้รักษาความสมดุลที่ลึกซึ้งเอาไว้มาโดยตลอด

เขาบอกว่าจะสังหารลู่เฟยเฉิน ก็เพียงแค่ข่มขวัญอีกฝ่ายเท่านั้นเอง

แน่นอน ถ้าหากเป็นกลุ่มผู้มีอิทธิพลอื่น หรือราชายุทธ์ที่ฝึกตนโดยไม่มีสังกัด ก็จะไม่มีข้อจำกัดใด ๆ จากองค์กรนักล่ายุทธ์ จะลงมือสังหารลู่เฟยเฉินหรือไม่นั้น ก็แล้วแต่ความเต็มใจส่วนบุคคล

ภายในห้องส่วนตัว บรรยากาศของทั้งสองฝ่ายนั้นพลันเคร่งเครียดลง หลัวซิวสามารถสัมผัสได้ ลู่เฟยเฉินยืนยันจะไม่ให้ตัวเองพบเมิ่งเหยาอย่างแน่นอน เพื่อป้องกันไม่ให้ส่งผลกระทบต่อแผนการของเขา

นอกจากนี้หลัวซิวก็ทราบดีว่า ตนเองไม่อาจจะใช้ภารกิจรางวัลนำจับเชิญยอดฝีมือคนอื่น ๆ ในองค์กรนักล่ายุทธ์ได้อีก เพราะไม่ว่ายังไงจอมยุทธ์ชี่ไห่อย่างเขา ถ้าหากเปิดเผยสมบัติออกมามากเกินไป จะต้องนำปัญหามาให้ตันเองมากมายอย่างแน่นอน

“เจ้าสำนักลู่ ต้องทำยังไงท่านถึงจะยอมให้ข้าพบเมิ่งเหยา?” หลัวซิวกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด

ลู่เฟยเฉินทำเสียงฮึดฮัดอย่างไม่พอใจ “ข้าแนะนำให้เจ้าตายใจเสียเถอะ เมิ่งเหยาได้ตัดสินใจแล้ว จะตกลงเรื่องแต่งงานกับโกวจินชวนในอีกสามวันให้หลัง!”

ภายในหัวใจของลู่เฟยเฉินนั้นทราบดี ถ้าหากให้หลัวซิวและเมิ่งเหยาได้พบกัน หลัวซิวจะต้องบอกเรื่องที่ตนเองจะสังหารเขากับเมิ่งเหยาเป็นแน่ ไม่ต้องพูดถึงว่าเมิ่งเหยาจะโกรธเคืองเขาผู้เป็นบิดาเพราะเรื่องนี้หรือไม่ อย่างน้อยหากต้องการการสนับสนุนจากโกวหงยี่ผู้อาวุโสทั้งสามท่าน มันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน

“ปัง!”

หลังซิวพลันตบโต๊ะและลุกยืนขึ้นมา ภายในดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความโมโห จ้องมองลู่เฟยเฉินตาเขม็ง

“ใช้บุตรสาวของตนเองเป็นเครื่องมือในการแย่งชิงอำนาจผลประโยชน์ ลู่เฟยเฉินท่านมันเดรัจฉานชัด ๆ” หลัวซิวตวาดด่าเสียงดัง

“เจ้ากล้าด่าข้ารึ?” ลู่เฟยเฉินเองก็ดวงตาลุกเป็นไฟ เขาเป็นถึงปรมาจารย์ยุทธ์แดนฝึกจิตขั้น9 เคยถูกคนเหยียดหยามเช่นนี้มาก่อนเสียเมื่อไรกัน

“ด่าท่านมันยังน้อยไป ถ้าหากไม่ใช่เพราะความสามารถของข้าไม่เพียงพอ ถ้าหากไม่ใช่เพราะท่านเป็นบิดาของเมิ่งเหยา ข้าจักต้องฆ่าท่านแน่!” หลัวซิวกร่นด่าอย่างเยือกเย็นด้วยไปหนี้ที่แฝงไปด้วยความเหยียดหยาม

“เจ้า……” ลู่เฟยเฉินโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ แต่เหวินเซวียนหงที่นั่งอยู่ข้างกายหลัวซิวทำให้เขาต้องกดไฟที่สุมอยู่ในหัวใจเอาไว้

“เหอะ ๆ คิดไม่ถึงว่าจอมยุทธ์ชี่ไห่คนหนึ่งจะกล้าอวดดีเช่นนี้ ไม่รู้ว่าหัวหน้าแก๊งเหวินจะคอยคุ้มครองอยู่ที่ข้างกายเจ้าตลอดเวลาหรือไม่?” เชิ่งฮั๋วเฟิงที่อยู่อีกด้านพลันกล่าวขึ้นมาด้วยไปหน้ายิ้มกริ่ม

ความหมายที่ปรากฏออกมาจากคำพูดประโยคนี้ของเขานั้นชัดเจนมาก นั่นก็คือถ้าหากไม่มีเหวินเซวียนหงอยู่ข้างกาย เพียงแค่จอมยุทธ์ชี่ไห่อย่างหลัวซิว ก็สามารถจัดการได้โดยง่ายไม่ใช่หรอกเหรอ?

เป็นที่ประจักษ์ว่าลู่เฟยเฉินและขงชิงหยูเองก็เข้าใจหลักเกณฑ์นี้ดี แอบกล่าวอยู่ในใจว่าให้เจ้าหนุ่มคนนี้อวดดีไปก่อน ในอนาคตจักต้องให้เขาเสียใจกับการกระทำในวันนี้อย่างแน่นอน

ไม่ต้องสงสัย แม้ว่าจะเชิญให้เหวินเซวียนหงหัวหน้าแก๊งท่านนี้ออกหน้า การเจรจาในครั้งนี้ ยังคงจบลงด้วยความล้มเหลว

กลับถึงองค์กรนักล่ายุทธ์ เหวินเซวียนหงได้คว้าเอาสมบัติวิเศษทั้งสามชิ้นที่หลัวซิวให้เขาออกมา และวางไว้บนโต๊ะ

“เนื่องจากกฎของแก๊ง ข้าไม่อาจยื่นมือเข้าไปแทรกแซงเรื่องภายในของกองกำลังอื่น ดังนั้นวันนี้จึงไม่สามารถช่วยอะไรเจ้าได้ ของพวกนี้ เจ้าเก็บเอาไว้เถอะ”

แม้ว่าสำหรับเหวินเซวียนหงแล้วสมบัติทั้งสามอย่างนี้จะมีมูลค่าที่ไม่ธรรมดา แต่ด้วยตำแหน่งฐานะของเขา ก็ไม่ถึงกับต้องละโมบเอาสิ่งของเหล่านี้ของหลัวซิวเอาไว้ โดยที่ไม่ได้สร้างคุณงามความดีอันใด

“ไม่ว่าจะยังไง ถ้าหากไม่มีหัวหน้าแก๊งเหวินออกหน้า จอมยุทธ์ชี่ไห่อย่างข้าไปหาพวกเขา เกรงว่าจักต้องไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองตายเยี่ยงไร”

หลัวซิวไม่ได้คิดที่จะรับเอาของพวกนี้กลับมา ถ้าหากสามารถใช้สมบัติทั้งสามชิ้นนี้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีงามกับท่านหัวหน้าแก๊งท่านนี้ได้ บวกกับเย่เซี่ยงโต่วแห่งเมืองชิงหยุน อย่างน้อยความปลอดภัยของท่านพ่อท่านแม่และพี่สาวของเขาในเขตการปกครองหยุนหลง จักต้องได้รับการรับประกันอย่างแน่นอน

เหวินเซวียนหงยิ้ม เขาจะไม่เข้าใจความต้องการของหลัวซิวได้เยี่ยงไร ยิ่งไปกว่านั้นเขารู้สึกว่าสมบัติที่หลัวซิวมีอยู่นั้นไม่ใช่เพียงแค่นี้แน่

แม้ว่าหลัวซิวจะมีสมบัติวิเศษมากมายแค่ไหนแต่นั่นก็เป็นของหลัวซิว เขาก็ไม่ควรที่จะมีจิตใจละโมบโลภมากขึ้นมา

“แม้ว่าตอนนี้เจ้าจะเป็นสมาชิกอัจฉริยะขององค์กร แต่การฝึกฝนเลี้ยงดูที่องค์กรมีให้อัจฉริยะนั้น มีเพียงวรยุทธ์และทรัพยากร ไม่ได้มีการปกป้องคุ้มครอง ดังนั้นข้าก็ไม่อาจช่วยอะไรเจ้ามากได้”