ตอนที่ 255 ก่อแก่นปราณนิมิตเซียนเกิด

พันธกานต์ปราณอัคคี

“ปราณภูเขาไฟไหล ขอขอบคุณท่านผู้อาวุโสที่ช่วยชีวิต ผู้น้อยไร้สิ่งตอบแทน จึงขอมอบสุราทิพย์ที่หมักเองเพื่อแสดงน้ำใจ”

 

 

ยันต์สื่อสารมีเพียงไม่กี่คำ ผู้บำเพ็ญเพียรชุดขาวกลับเข้าใจทันทีว่าผู้ใดเป็นคนฝากแล้ว กวาดมองอักษร ‘ไร้สิ่งตอบแทน’ สี่คำ มุมปากก็อดกระดกขึ้นไม่ได้ ไม่รู้เพราะเหตุใดจู่ๆ ก็นึกได้ว่าดูเหมือนมีผู้บำเพ็ญเพียรหญิงไม่น้อยที่พูดสี่คำนี้กับเขามาก่อนเช่นกัน

 

 

ทว่าที่พวกนางพูดคือ ‘ข้าไร้สิ่งตอบแทน ยินดีตอบแทนบุญคุณคุณชายด้วยร่างกาย…’

 

 

นึกถึงตรงนี้ ผู้บำเพ็ญเพียรชุดขาวหนาวสั่นไปทั้งตัว แล้วหยิบถุงเล็กขึ้นมา

 

 

เพ่งจิตแผ่วเบา บนโต๊ะก็ปรากฏขวดน้ำเต้าสุราเจ็ดแปดใบขึ้นในพริบตา สายตาผู้บำเพ็ญเพียรชุดขาวตกลงบนขวดน้ำเต้าสุราสีเทาเงินทันที

 

 

ผ่านไปเนิ่นนาน ผู้บำเพ็ญเพียรชุดขาวยื่นมือหยิบขวดน้ำเต้าสุราขึ้นมา เปิดจุกปิดออกจิบเบาๆ อึกหนึ่ง แล้วหายใจออกอย่างช้าๆ

 

 

นางหนูนั่นหรือว่าจะเป็น…ศิษย์รักของพี่กู้?

 

 

จากนั้นผู้บำเพ็ญเพียรชุดขาวหยิบขวดน้ำเต้าสีชมพูเข้มขึ้นมา จอกหยกใบหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ

 

 

สุราสีขาวนวลรินไหลออกมาช้าๆ คลื่นสุรากระเพื่อมเห็นเป็นสีชมพูเข้มน่าเย้ายวน

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรชุดขาวยกจอกสุราไว้ปลายจมูกแล้วสูดกลิ่นเบาๆ ศีรษะส่ายเบาๆ สุราเลิศรสแตะริมฝีปาก แล้วถอนใจว่า “ไม่คิดเลยว่าคือน้ำค้างลั่วเหมย!”

 

 

น้ำค้างลั่วเหมยคือหนึ่งในยอดสุราในตำนาน วิธีหมักหายสาบสูญไปนานแล้ว ในตลาดไม่มีทางได้เห็นแน่นอน เขาต่างจากกู้หลีที่เป็นพระครึ่งทาง[1] หากแต่ชอบสุราตั้งแต่กำเนิด เคยมีผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนหนึ่งใช้สุราเลิศรสชั้นเลิศหลากชนิดเป็นเหตุ เชื้อเชิญเขาลิ้มลองสุรา ในนั้นก็มีน้ำค้างลั่วเหมย ต่อให้เขารู้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนนั้นดื่มสุราโดยไม่ได้มุ่งเสพรสชาติของสุรา เพื่อสุราเลิศรสในตำนานยังคงไปตามนัด

 

 

ด้วยเหตุนี้ยังก่อให้เกิดปัญหาออกมามากมาย ทว่าทุกครั้งที่นึกย้อนถึงรสชาติแสนวิเศษของน้ำค้างลั่วเหมย ก็รู้สึกว่าทุกอย่างล้วนคุ้มค่า

 

 

“พี่กู้เอ๋ยเจ้าช่างมีลาภปากจริงๆ เลย!” ผู้บำเพ็ญเพียรชุดขาวลูบไล้จอกหยกในมือ แล้วยกขึ้นจิบเบาๆ เป็นระยะ รอสุราจอกหนึ่งดื่มหมดจู่ๆ ก็วางจอกหยกไว้บนโต๊ะ แล้วเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ไม่ได้ ดูท่าควรหาโอกาสไปหาพี่กู้ดื่มสุราคุยเล่นกันสักหน่อยแล้ว”

 

 

กลางอากาศ ผู้บำเพ็ญเพียรไม่กี่คนนั่งอยู่บนอาวุธเวทเหินหาวรูปจันทร์เสี้ยว บินไปข้างหน้าอย่างไม่รีบร้อน ในยามนี้เอง เรือเล็กประหลาดลำหนึ่งลอยสวนมา

 

 

แล้วก็เห็นต้นท้อใหญ่มากต้นหนึ่งที่ท้ายเรือกลายเป็นหลังคาเรือครึ่งฝั่งโดยธรรมชาติ ผึ้งสีมรกตหลายสิบตัวบินวนต้นท้อดังหึ่งๆ อีกาดำปิ๊ดปี๋รูปร่างพัฒนาไปทางลูกก้อนกลมตัวหนึ่งนั่งยองๆ อย่างสุขุมอยู่บนยอดกิ่งไม้หลับตาพักสายตาอยู่ หัวเรือมีสาวน้อยชุดขาวท่าทางอายุสิบเจ็ดสิบแปดคนหนึ่งนั่งอยู่ มือหนึ่งยันแก้มดูเหมือนกำลังคิดเรื่องในใจของหญิงสาว

 

 

ดอกท้อสะพรั่ง สาวงามหน้านวล กลายเป็นวิวทิวทัศน์ที่งามดังภาพวาดบทกวี

 

 

“พี่หวัง พี่หวัง ไม่ต้องดูแล้ว ขืนดูอีกเจ้าก็จะตกจากอาวุธเวทแล้ว” ผู้บำเพ็ญเพียรชุดฟ้าคนหนึ่งดึงแขนของคนข้างๆ

 

 

คนคนนั้นถึงหันกลับมาอย่างอาลัยอาวรณ์ ปากจิ๊ๆ ว่า “หน้าคนดอกท้อช่วยกันขับ จิ๊ๆ วันนี้ถึงรู้ว่าการนั่งอาวุธเวทเหินหาวยังสง่างามได้ถึงเพียงนี้”

 

 

“ฮึ ศิษย์พี่หวัง น้องว่านิสัยบัณฑิตเจ้ากำเริบอีกแล้ว ดอกท้อแม้งาม คนงามล่ะอยู่ไหน?” หญิงสาวในชุดสีมรกตคนหนึ่งฮึเสียงเย็น

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หวังส่ายศีรษะถอนใจเบาๆ ว่า “ความงามของคนงาม อยู่ที่ความเป็นธรรมชาติและสง่างาม ไม่เกี่ยวกับรูปโฉม”

 

 

“พี่หวัง เจ้าบอกว่าอาจารย์อาโจวที่ออกจากสำนักไปหลายปีพาศิษย์กลับสำนักแล้วมิใช่หรือ  คิดว่าเมื่อได้พบศิษย์น้องเล็กคนนั้น เจ้าก็มีคนรู้ใจแล้ว” ผู้บำเพ็ญเพียรชุดฟ้าหัวเราะว่า

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หวังพยักหน้าด้วยใบหน้ายินดี คนทั้งกลุ่มอดเพิ่มความเร็วบินไปข้างหน้าไม่ได้

 

 

มั่วชิงเฉินก็บังคับเรือเล็กบินสู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือไปตลอดทางเช่นนี้ นานๆ ทีเจอผู้บำเพ็ญเพียรที่นั่งอาวุธเวทเหินหาวสวนมา นับวันก็ยิ่งใจเย็นต่อสายตาประหลาดที่มองมาจากคนอื่น

 

 

บินติดต่อกันสิบกว่าวัน ในที่สุดก็เห็นเทือกเขาฟางจูอยู่ลิบๆ แล้ว มั่วชิงเฉินสีหน้าปีติ รีบเพิ่มความเร็วโดยพลัน

 

 

อีกาไฟที่ยืนอยู่บนยอดกิ่งไม้กึ่งหลับตาสะลึมสะลือถูกเหวี่ยงลงมาโดยพลัน ตกลงบนพื้นเรือเต็มก้น

 

 

“เจ้านาย! เจ้าเร่งความเร็วจะบอกสักคำไม่ได้หรืออย่างไร?” อีกาไฟยื่นปีกออก ถามอย่างโมโห

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มอย่างเกรงใจว่า “คราวหน้า”

 

 

อีกาไฟค้อนตาคว่ำ แล้วบินขึ้นไปอีก ทับกิ่งท้อจนส่ายไปส่ายมา

 

 

“อู๋เย่ว์?” มั่วชิงเฉินเรียก

 

 

“หา?” อีกาไฟฝืนเปิดเปลือกตาขึ้น

 

 

“ข้ารู้สึกว่า เจ้าควรกินให้น้อยหน่อยแล้ว” มั่วชิงเฉินเตือนด้วยความระมัดระวัง

 

 

อีกาไฟกลอกตา จากนั้นก้มหน้ามองร่างกายอ้วนกลมของตน แล้วกรีดร้องขึ้นโดยพลัน

 

 

มั่วชิงเฉินเม้มปากแอบหัวเราะ แล้วค่อยๆ ร่อนเรือเล็กลง เงยหน้าแหงนมองประตูสำนักพึมพำว่า “ถึงบ้านแล้ว อู๋เย่ว์ พวกเราไป”

 

 

เดินไปไม่กี่ก้าวกลับพบว่าอีกาไฟไม่มีความเคลื่อนไหว เมื่อหันกลับไปดู ก็เห็นอีกาไฟนั่งอยู่บนพื้นอย่างหมดอาลัยตายอยาก ปากบ่นพึมพำว่า “หมดกัน แต่งไม่ออกแล้ว แต่งไม่ออกแล้ว”

 

 

ไม่ต้องเดินไปใกล้มั่วชิงเฉินก็ฟังออกแล้วว่ามันบ่นอะไรอยู่ เดินเข้าไปหิ้วอีกาไฟขึ้นมาว่า “เอาล่ะ ไม่ต้องตีโพยตีพายแล้ว ต่อให้เจ้าอยากออกเรือนก็ต้องหาอีกาที่เหมาะสมให้ได้อยู่ดี หรือไม่ ข้าจะพูดกับอาจารย์ ยกเจ้าให้ต้าฮวา?”

 

 

“เจ้านาย ข้าแต่งไม่ออกมีผลดีอะไรต่อเจ้า! เจ้า ไม่คิดว่าเจ้าจะใช้ต้าฮวามาเหยียดหยามข้า! เช่นนี้ก็ดี ถึงเวลาข้ากลายเป็นอสูรวิญญาณที่ออกเรือนยากที่สุดในพรรคเหยากวง พอดีจะได้อยู่เป็นเพื่อนศิษย์หญิงที่ออกเรือนยากที่สุดของพรรคเหยากวง!” อีกาไฟอับอายจนโมโหว่า

 

 

ต้าฮวาเป็นอันใดหรือ คนเขาอย่างไรเสียก็เป็นอสูรเสือพายุทะลุฟ้าขั้นห้า อย่างไรเสียก็ดีกว่าอีกาที่อยู่แค่ขั้นสองเช่นเจ้ากระมัง มั่วชิงเฉินแอบบ่นว่า กลับไม่กล้ากระตุ้นอารมณ์มันอีก แล้วเดินตรงไปยังประตูสำนัก

 

 

ถึงหน้าประตูสำนัก หยิบป้ายประจำตัวสีควันเขียวตีคาถาออกไปสายหนึ่ง ประตูสำนักก็ค่อยๆ เปิดออก

 

 

เดินเข้าประตูสำนัก มั่วชิงเฉินพยักหน้าให้ศิษย์ที่เฝ้าประตูอย่างมีมารยาท

 

 

ศิษย์ที่เฝ้าประตูเรียก ‘ท่านอาจารย์อา’ ด้วยจิตใต้สำนึก หน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม จนกระทั่งมั่วชิงเฉินเดินไปไกลถึงได้สติกลับมาโดยพลัน ตบหน้าผากเหมือนเพิ่งตื่นว่า “สวรรค์ นางคือ นางคืออาจารย์อามั่ว! หา อาจารย์อามั่วอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะปลายแล้ว!”

 

 

พูดจบศิษย์ที่เฝ้าประตูเริ่มเดินวนอยู่ที่เดิม นับนิ้วมือขึ้นมาว่า “ยี่สิบสองปีสร้างรากฐาน เป็นปีเทียนหยวนไหนนะ? อ้อ บัดนี้ผ่านไปสิบแปดปีแล้ว อาจารย์อามั่วปีนี้น่าจะ…สี่สิบปี!”

 

 

“สี่สิบปีอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะปลาย สี่สิบปี ยังเร็วกว่าอาจารย์อาเยี่ย…สามปี!” ศิษย์ที่เฝ้าประตูพูดถึงตรงนี้แล้วนั่งลงอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จากนั้นดีดตัวขึ้นมาโดยพลันอีก ในมือปล่อยยันต์ส่งสารออกไปหลายแผ่น

 

 

มั่วชิงเฉินออกจากสำนักเกือบห้าปี อีกทั้งใส่ชุดของพรรคเหยากวง แต่งตัวค้อมต่ำ เดินอยู่บนถนนศิษย์ที่จำนางได้ก็มีไม่มาก อย่างน้อยที่สุดไม่เหมือนห้าปีก่อนขอเพียงเคลื่อนไหวในสำนักก็เป็นที่จำตาของทุกคนแล้ว จึงอดทอดถอนใจไม่ได้ว่านี่ก็คือเวทมนตร์ของกาลเวลา ต่อให้เจ้ามีหน้ามีตาเพียงใด นอกจากสหายหรือศัตรูที่แท้จริงพวกนั้นแล้ว คนอื่นอย่างไรเสียก็จะลืมไปอย่างช้าๆ

 

 

เดินเข้าโถงปฏิบัติงาน คนที่นั่งอยู่ในโถงเงยหน้าขึ้น กลับไม่ใช่ใบหน้าที่นางคุ้นเคย

 

 

“ศิษย์น้องผู้ดูแล นี่คือป้ายประจำตัวของข้า…” มั่วชิงเฉินเห็นผู้บำเพ็ญเพียรผู้นั้นชะงักอยู่ จึงเป็นฝ่ายยื่นป้ายประจำตัวข้ามไป

 

 

ศิษย์ผู้ดูแลคนนี้อยู่เพียงระดับสร้างรากฐานระยะต้น รับป้ายประจำตัวที่มั่วชิงเฉินยื่นมาแล้วอดมองนางอีกหลายทีไม่ได้

 

 

มั่วชิงเฉินกลับไม่ใส่ใจ ทั้งพรรคเหยากวงรวมทั้งศิษย์จิปาถะมีหลายแสนคน ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานมีเพียงพันคน ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายยังไม่ถึงร้อยคน

 

 

ผู้เฒ่าระดับก่อแก่นปราณพวกนั้นน้อยนักที่จะปรากฏตัวต่อหน้าศิษย์ธรรมดา สามารถพูดได้ว่าศิษย์ระดับสร้างรากฐานระยะปลายก็คือความมีอยู่ที่สูงที่สุดที่ศิษย์ธรรมดาได้เจอเป็นประจำแล้ว ศิษย์ระดับสร้างรากฐานระยะปลายในสำนักไม่มีสักคนที่ไม่ถูกศิษย์ธรรมดาเห็นเป็นแบบอย่าง เกรงว่าชื่อ โฉมหน้าของแต่ละคนทุกคนล้วนจำได้หมด จู่ๆ มีคนหน้าไม่คุ้นโผล่มาคนหนึ่ง รู้สึกประหลาดใจก็เป็นเรื่องธรรมดาของคน

 

 

“อ๊า ข้านึกขึ้นมาได้แล้ว เจ้า เจ้าคือศิษย์พี่มั่ว!” ศิษย์ผู้ดูแลที่ถือป้ายประจำตัวของมั่วชิงเฉินจู่ๆ ก็ตะโกนเสียงหลง

 

 

เห็นป้ายประจำตัวของตนเกือบตกลงไป มั่วชิงเฉินแอบกระตุกมุมปาก ยิ้มว่า “ศิษย์น้องผู้ดูแล รบกวนเจ้าช่วยบันทึกให้ข้าที ข้ายังมีธุระ”

 

 

“ได้ ได้” ศิษย์ผู้ดูแลพูดซ้ำๆ แล้วเริ่มบันทึกป้ายประจำตัว

 

 

“หา! เจ้า เจ้าเพิ่งอายุสี่สิบปี!” ศิษย์ผู้ดูแลเงยหน้าขึ้นโดยพลันมองไปที่มั่วชิงเฉินด้วยความตะลึง ป้ายประจำตัวในมือหล่นลง

 

 

มั่วชิงเฉินมือไวตาเร็วจับป้ายประจำตัวของตนเองไว้ สูดหายใจเข้าลึกๆ อึดหนึ่งแล้วว่า “ศิษย์น้องผู้ดูแล…”

 

 

ศิษย์ผู้ดูแลสีหน้าแดงเรื่อแล้วรับป้ายประจำตัวมา พลางบันทึกข้อมูลพลางเอ่ยว่า “ศิษย์พี่มั่วอย่าถือโทษ ศิษย์พี่มั่วอย่าถือโทษ”

 

 

ในที่สุดก็บันทึกเสร็จ มั่วชิงเฉินรับป้ายประจำตัวของตนมา แล้วหนีเตลิดไปท่ามกลางสายตาเร่าร้อนของศิษย์ผู้ดูแล

 

 

ถึงเขาป่าไผ่ มั่วชิงเฉินมองดูรอบๆ สาดส่องสายตาไปยังคงเป็นสวนสมุนไพรทะเลไผ่ที่คุ้นเคย กลับไม่เห็นอสูรเสือพายุทะลุฟ้าที่มักอาบแดดอยู่บนพื้นหญ้าอย่างขี้เกียจและอินทรีวิญญาณหยกหิมะที่เยื้องย่างอย่างเอ้อระเหย

 

 

อาจารย์ไม่อยู่!

 

 

ในใจมั่วชิงเฉินจู่ๆ ก็มีความคิดหนึ่งโผล่มา นางรีบเดินเข้าห้องไป

 

 

ผลักประตูเข้าไป ทันใดนั้นยันต์แผ่นหนึ่งก็บินตกลงในมือ มั่วชิงเฉินรีบกวาดจิตตระหนักดู

 

 

“ชิงเฉิน เจ้าจากสำนักไปหลายปีสบายดีหรือไม่? หากหาของที่ต้องการได้แล้วกลับมาถึงเขาป่าไผ่ ก็สงบใจลงมาบำเพ็ญเพียรสักพักเถอะ อาจารย์ได้รับคำสั่งจากสำนัก ให้ไปสนับสนุนศึกเต๋ามารยังสำนักลั่วสยา ในเวลาอันสั้นเกรงว่าจะไม่ได้กลับมา ไม่ต้องเป็นห่วง จากอาจารย์ กู้หลี”

 

 

มั่วชิงเฉินยืนงงงันอยู่เนิ่นนาน แล้วนั่งลงอย่างจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ในปากพึมพำว่า “ที่แท้ท่านรู้หมดทุกอย่าง…”

 

 

“รู้อะไร?” อีกาไฟทนเห็นท่าทางเช่นนี้ของมั่วชิงเฉินไม่ได้ จึงขัดขึ้นว่า

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มด้วยสีหน้าประหลาด จ้องอีกาไฟตาไม่กะพริบว่า “ท่านรู้ว่าครั้งนี้ข้าลงเขาไปเพื่ออะไร มิน่า มิน่าในตึกไม้ไผ่ที่ท่านเก็บม้วนคัมภีร์หยก จึงบังเอิญมีข้อมูลของสายผี ท่าน ท่านไม่ว่าอะไรก็รู้ดีอยู่แก่ใจชัดๆ กลับไม่เคยพูดถึง…”

 

 

พูดถึงตรงนี้จู่ๆ มั่วชิงเฉินก็นึกถึงหลัวอวี้เฉิง หลัวอวี้เฉิงสติปัญญาล้ำเลิศใกล้ปีศาจ ความฉลาดเปิดเผยออกมาทำให้คนยำเกรง ส่วนอาจารย์ กลับเป็นคนที่ต่างกับเขาโดยสิ้นเชิง

 

 

“เจ้านาย…” อีกาไฟลากเสียงยาวเรียกว่า

 

 

“หืม?” มั่วชิงเฉินมองมา

 

 

ก็เห็นอีกาไฟสลัดขนว่า “จู่ๆ ข้าก็รู้สึกว่าท่านนักพรตเป็นเช่นนี้ดีที่สุดแล้ว หากเป็นเช่นหลัวอวี้เฉิงนั้น จะทำให้เจ้าดูโง่เกินไป…”

 

 

ในยามนี้เอง จู่ๆ แสงรุ้งสายหนึ่งก็พุ่งขึ้นท้องฟ้า ห้องไม้ไผ่ที่มั่วชิงเฉินอยู่ถูกส่องจนสว่างไปหมด

 

 

มั่วชิงเฉินสีหน้าเปลี่ยนทันที ร่ายเคลื่อนเงาเลือนรางทะยานออกจากห้องไม้ไผ่ แล้วก็เห็นทิศทางที่เขาหลิวหั่วตั้งอยู่ บนฟ้ามีแสงรุ้งห้าสีรวมตัวกัน นกวิญญาณร่ายรำ สะพานสายรุ้งโอบล้อม เป็นนิมิตเซียน

 

 

“นี่คือ…มีคนก่อแก่นปราณแล้ว!” มั่วชิงเฉินพูดเสียงหลง

 

 

 

 

——

 

 

[1] เป็นพระครึ่งทาง หมายถึง เริ่มทำอะไรกลางคัน ไม่ได้เริ่มตั้งแต่ต้น