ตอนที่ 256 อานุภาพของข่าวลือ

พันธกานต์ปราณอัคคี

มั่วชิงเฉินยื่นมือเรียกเรือเล็กออกมา กระโดดขึ้นไปแล้วบินไปเขาหลิวหั่วดุจดาวตก

 

 

“อ๊า รอข้าด้วย…” อีกาไฟร้องแว้ดๆ แล้วไล่ตามหลังมา

 

 

ในยามนี้เขาหลิวหั่วมีผู้บำเพ็ญเพียรเบียดเสียดเต็มไปหมดแล้ว บนฟ้ามีผู้บำเพ็ญเพียรร่อนลงเป็นระยะๆ สายตาของทุกคนล้วนจ้องไปที่ทิศทางของแสงรุ้งเต็มฟ้า นั่นคือตำแหน่งที่ตั้งของยอดเขาหลักของเขาหลิวหั่ว

 

 

“นี่เกิดอะไรขึ้นหรือ?” ศิษย์จิปาถะของเขาหลิวหั่วหยุดงานที่ทำในมือ เขยิบขึ้นมาดูกลับไม่เข้าใจสถานการณ์

 

 

ศิษย์ในสำนักคนหนึ่งเอ่ยอย่างตื่นเต้นว่า “นี่ นี่คือมีคนกำลังก่อแก่นปราณน่ะสิ!”

 

 

คำพูดนี้ก่อให้เกิดความโกลาหลขึ้นทันที ศิษย์ธรรมดาที่เดิมยังไม่รู้สถานการณ์ไม่มีสักคนที่ไม่แย่งกันเบียดขึ้นไปข้างหน้ากลัวต้องรั้งท้าย

 

 

“อาจารย์อาท่านไหนกำลังก่อแก่นปราณล่ะ?” ศิษย์ระดับหลอมลมปราณถามด้วยสีหน้าอิจฉา

 

 

ศิษย์อีกคนหนึ่งตบมือว่า “ข้ารู้แล้ว คนที่ก่อแก่นปราณต้องเป็นอาจารย์อาเยี่ยเป็นแน่! อ๊า ผิดแล้ว รออาจารย์อาเยี่ยออกมาพวกเราก็ควรเรียกว่าท่านอาจารย์ปู่แล้ว”

 

 

“จิ๊ๆ อาจารย์อาเยี่ยเพิ่งอายุเท่าไรเอง นี่ก็ก่อแก่นปราณแล้ว เกรงว่าจะเป็นคนที่ก่อแก่นปราณเร็วที่สุดในพรรคเหยากวงเราแล้วกระมัง?” มีคนพูดแทรกขึ้น

 

 

ศิษย์คนนั้นนับนิ้วดูแล้วว่า “อาจารย์อาเยี่ยสร้างรากฐานเมื่ออายุยี่สิบปี บัดนี้น่าจะ…หกสิบเก้าปี อ๊า เมื่อเป็นเช่นนี้ละก็ คนที่ก่อแก่นปราณเร็วที่สุดของพรรคเหยากวงเรายังคงเป็นท่านผู้เฒ่าเหอกวง”

 

 

ศิษย์ไม่กี่คนพยักหน้าเห็นด้วยว่า “ถูกต้อง ท่านผู้เฒ่าเหอกวงก่อแก่นปราณเมื่ออายุหกสิบแปดปี”

 

 

“เช่นนั้นอาจารย์อาเยี่ยก็ร้ายกาจมากแล้ว อย่างน้อยควรนับว่าเป็นคนที่บำเพ็ญเพียรได้เร็วที่สุดในรุ่นนี้แล้ว” ศิษย์ที่ถามก่อนหน้านี้ถอนใจว่า

 

 

อีกคนหนึ่งส่ายศีรษะว่า “นั่นก็ไม่แน่หรอกนะ ศิษย์ก้นกุฏิของท่านผู้เฒ่าเหอกวงอาจารย์อามั่วสร้างรากฐานตั้งแต่อายุยี่สิบสองปีเชียวนะ อายุสามสิบสามปีก็เข้าสู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลางแล้ว ไม่แน่นะ อาจารย์อามั่วอาจสามารถตีสถิติอาจารย์อาเยี่ยแตกก็ได้นะ”

 

 

“เชอะ มีใครไม่รู้บ้างว่าผู้บำเพ็ญเพียรที่ติดอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลางมีจำนวนนับไม่ถ้วน อาจารย์อามั่วสามารถเข้าสู่ระดับสร้างรากฐานระยะปลายได้หรือไม่ยังไม่แน่เลย…” ศิษย์คนหนึ่งแย้งถึงครึ่งหนึ่งแล้วหุบปากโดยพลัน ยื่นนิ้วชี้ไปที่ที่หนึ่งแล้วพูดไม่ออกไปครึ่งค่อนวัน

 

 

“เป็นอันใด?” ไม่กี่คนนั้นถามพลางมองไปที่ทิศทางที่ชี้ไป ก็เห็นตรงนั้นมีผู้บำเพ็ญเพียรหญิงอายุน้อยระดับสร้างรากฐานระยะปลายคนหนึ่งยืนอยู่เงียบๆ

 

 

“อะ…อาจารย์อามั่ว” ศิษย์ที่ออกปากแย้งเอ่ยอย่างเหลอหลา

 

 

“อาจารย์อามั่วอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะปลายแล้ว นาง นางเพิ่งสี่สิบปี!” ศิษย์ที่พูดถึงมั่วชิงเฉินก่อนหน้านี้รีบประกาศอายุนางออกมา

 

 

ทุกคนสูดลมเย็นเข้าอึดหนึ่ง มองดูมั่วชิงเฉิน แล้วมองดูแสงรุ้งเต็มท้องฟ้าอีก ทันใดนั้นไม่มีอารมณ์พูดเล่นกันอีกต่อไป ความคิดหนึ่งลอยขึ้นในใจพร้อมกัน เหตุใดบำเพ็ญเพียรเหมือนกัน ความแตกต่างระหว่างคนและคนถึงมากมายเพียงนี้นะ

 

 

ผ่านไปครึ่งค่อนวัน มีเพียงศิษย์หญิงคนหนึ่งลังเลว่า “เห็นบอกว่าอาจารย์อามั่วลงเขาท่องเที่ยวฝึกตนแล้วมิใช่หรือ ไยจึงบังเอิญกลับมาเวลานี้พอดีล่ะ?”

 

 

เห็นสีหน้าศิษย์หญิงคนนั้นไม่ยินดี ศิษย์ชายคนหนึ่งกลับหัวเราะฮ่าๆ อย่างไม่เกรงใจว่า “ศิษย์น้องอู๋ นี่ยังต้องพูดอีกหรือ ต้องเพราะอาจารย์อามั่วรู้ข่าวอาจารย์อาเยี่ยจะก่อแก่นปราณ ถึงรีบรุดกลับมาน่ะสิ”

 

 

ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย

 

 

มั่วชิงเฉินยังไม่รู้ว่านางเพียงแค่รุดมาแหงนมองนิมิตฟ้าของการก่อแก่นปราณทีหนึ่ง เรื่องซุบซิบเกี่ยวกับนางและเยี่ยเทียนหยวนหลายรูปแบบก็กระจายออกไปอย่างรวดเร็วแล้ว

 

 

ยามนี้เจ้าสำนักนักพรตฟางเหยาและท่านผู้เฒ่าระดับก่อแก่นปราณไม่กี่คนร่อนลงพร้อมกันบนเขาหลิวหั่วแล้ว มองนิมิตบนฟ้าพร้อมกัน

 

 

“ศิษย์พี่เจ้าสำนัก นี่คือศิษย์หลานเยี่ยกำลังก่อแก่นปราณสินะ” เจ้าโถงโถงลงทัณฑ์นักพรตเจิ้นผิงถามขึ้น

 

 

นักพรตฟางเหยาลูบหนวดสั้นที่คาง สีหน้าปีติว่า “ใช่แล้ว”

 

 

นักพรตฝูหมิงที่อยู่ข้างๆ อมยิ้มว่า “ศิษย์พี่เจิ้นผิง ต่อไปพวกเราเกรงว่าต้องเรียกศิษย์น้องเยี่ยแล้ว”

 

 

เมื่อใดที่ก่อแก่นปราณปรากฏนิมิตฟ้า นั่นก็หมายถึงก่อแก่นปราณสำเร็จแล้ว รอเยี่ยเทียนหยวนแหกด่านออกมา นั่นก็คือผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณที่แท้จริงแล้ว

 

 

“ใช่ ใช่ เป็นศิษย์น้องเยี่ยจริงๆ เพียงแต่ไม่ทราบว่าถึงเวลาท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างจะประทานสมญาเต๋าอะไรให้ศิษย์น้องเยี่ย” นักพรตเจิ้นผิงสีหน้าปีติเช่นกัน

 

 

นักพรตฟางเหยาหัวเราะว่า “ในยามที่ศึกเต๋ามารยิ่งสู้ยิ่งดุเดือด ศิษย์น้องเยี่ยสามารถก่อแก่นปราณได้ช่างเป็นเรื่องโชคดีของสำนักจริงๆ เกรงว่างานพิธีก่อแก่นปราณจะต้องจัดให้ครึกครื้นกว่าแต่ก่อนอีกสักหน่อย”

 

 

ในยามนี้เองสัมผัสได้ถึงพลานุภาพสายหนึ่งกดทับลงมา ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณไม่กี่ท่านคำนับพร้อมกันว่า “ขอคารวะท่านหลิวซางเจินจวิน ท่านเหิงตั๋วเจินจวิน!”

 

 

หลิวซางเจินจวินในชุดม่วงพยักหน้าว่า “ไม่ต้องมากพิธี ศิษย์หลานเจ้าสำนัก นี่คือศิษย์ท่านไหนกำลังก่อแก่นปราณหรือ?”

 

 

นักพรตฟางเหยาเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “เรียนท่านหลิวซางเจินจวิน เยี่ยเทียนหยวนแห่งเขาหลิวหั่วก่อนหน้านี้สักพักรายงานทางสำนักว่าจะทะลวงระดับก่อแก่นปราณ บัดนี้ดูแล้วต้องเป็นศิษย์น้องเยี่ยที่ก่อแก่นทองสำเร็จแล้วเป็นแน่แท้”

 

 

หลิวซางเจินจวินและเหิงตั๋วเจินจวินสบตากันปราดหนึ่ง แล้วหัวเราะว่า “ที่แท้เจ้าเด็กนั่นเอง เอ่อ อายุเขาน่าจะไม่มากกระมัง?”

 

 

“เรียนท่านเจินจวิน ศิษย์น้องเยี่ยปีนี้หกสิบเก้าปีพอดีขอรับ” นักพรตฟางเหยาเอ่ย

 

 

หลิวซางเจินจวินพยักหน้าว่า “ไม่เลว ช่างเป็นคนหนุ่มมีความสามารถจริงๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ ศิษย์หลานเจ้าสำนักเจ้าก็ดูแลให้ดี พวกเรากลับไปก่อนแล้ว”

 

 

พูดจบ เจินจวินสองท่านก็เหยียบอากาศจากไปดุจเดินเล่นในสวน

 

 

มองดูผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดสองท่านไปมาดั่งลม ศิษย์ในสำนักต่างแหงนหน้ามอง ใบหน้าปรากฏแววความตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด

 

 

นักพรตฟางเหยาไม่ได้ไล่ศิษย์พวกนี้ไป หากแต่โยกย้ายศิษย์ผู้ดูแลส่วนใหญ่มารักษาระเบียบเรียบร้อย

 

 

ในสำนักมีคนสร้างรากฐานหรือก่อแก่นปราณสำเร็จ สำหรับศิษย์เดิมทีก็เป็นเรื่องน่าดีอกดีใจอยู่แล้ว ให้พวกเขาหยุดชื่นชมหนึ่งคือเพิ่มพูนความรู้ สองก็มีประโยชน์ในด้านการให้กำลังใจ

 

 

มีเพียงยามที่ผู้บำเพ็ญเพียรในสำนักเลื่อนขั้นเข้าระดับก่อกำเนิด เพราะเป็นเรื่องสำคัญใหญ่หลวงถึงจำกัดไม่ให้ศิษย์ธรรมดามุงดู

 

 

ผ่านไปสามวันเต็มๆ นิมิตบนฟ้าถึงค่อยๆ กระจายหายไป สะพานปักษากระเรียนวิญญาณต่างกลายเป็นแสงวิญญาณกระจายหายไป ท้องฟ้าสีคราม แสงตะวันสดใส

 

 

ประตูถ้ำค่อยๆ เปิดออก ชายในชุดนักพรตสีเขียวของสำนักเดินออกมาท่ามกลางแสงตะวัน

 

 

“ยินดีกับท่านอาจารย์ปู่เยี่ยก่อแก่นทองสำเร็จ…” ศิษย์ระดับหลอมลมปราณนับไม่ถ้วนตะโกนขึ้น

 

 

“ยินดีกับท่านอาจารย์อาเยี่ยก่อแก่นทองสำเร็จ…” ศิษย์ระดับสร้างรากฐานตะโกนพร้อมกัน ก่อนนี้ไม่นานยังเป็นคนในเขตแดนเดียวกับตน บัดนี้พริบตาเดียวก็กลายเป็นนักพรตแก่นทองแล้ว พวกเขาเป็นผู้ที่ถูกกระทบความรู้สึกที่สุด

 

 

“ยินดีกับศิษย์น้องเยี่ย” นักพรตฟางเหยานำผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสองสามท่านรุดมาแล้ว

 

 

กลิ่นอายและความทะนงของบุตรผู้ได้รับการโปรดปรานจากฟ้าอะไรยามนี้หายไปจนหมดสิ้น เยี่ยเทียนหยวนท่าทีสงบคารวะอย่างนอบน้อมว่า “ขอบคุณศิษย์พี่เจ้าสำนักและศิษย์พี่ทุกท่าน”

 

 

พูดจบเงยหน้าขึ้นมาสายตาตกไปอยู่ที่ที่หนึ่ง กลับต้องชะงัก สีหน้าอ่อนโยนขึ้นอย่างไม่รู้ตัว

 

 

นักพรตฟางเหยากรอกสายตาแล้วยิ้มว่า “ศิษย์น้องเยี่ย เจ้าเพิ่งก่อแก่นทองสำเร็จไปพักผ่อนให้ดีก่อน ศิษย์พี่จะไปจัดการเรื่องพิธีฉลองก่อแก่นปราณแล้ว”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนเบนสายตากลับมา เอ่ยอย่างสงบว่า “บัดนี้เรื่องในสำนักมีมากมาย ศิษย์พี่เจ้าสำนักไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองแรงใจเกินไปเพื่อจัดพิธีฉลอง นั่นก็เพียงแค่จัดเป็นพิธีเท่านั้น”

 

 

นักพรตฟางเหยาหัวเราะแล้ว “ศิษย์น้องเยี่ยเอ๋ย ก็เพราะเป็นเช่นนี้ พิธีฉลองก่อแก่นปราณของเจ้าถึงทำลวกๆ ไม่ได้ มิเช่นนั้นท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งก็จะตำหนิข้าได้ เอาล่ะ ศิษย์พี่นำศิษย์น้องสองสามท่านไปก่อนแล้ว รอจัดการเรียบร้อยแล้วค่อยส่งคนมาแจ้งเจ้า ศิษย์น้องเจ้าเพียงแค่พักผ่อนให้ดีก็พอแล้ว”

 

 

พูดจบนักพรตฟางเหยากวาดมองผู้คนรอบๆ ว่า “เอาล่ะ ทุกคนต่างกระจายไปเถอะ ยามพิธีฉลองก่อแก่นปราณ ให้ทุกคนครึกครื้นได้ตามสบาย”

 

 

“ท่านเจ้าสำนักจงเจริญ ท่านเจ้าสำนักจงเจริญ!” ศิษย์ไม่น้อยตะโกนเสียงดังด้วยความตื่นเต้น

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสองสามคนพยักหน้าพร้อมกันให้เยี่ยเทียนหยวนแล้ว ขึ้นอาวุธเวทจากไป

 

 

จนถึงยามนี้ นอกจากผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณที่มองจากที่ไกลๆ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานต่างล้อมเข้ามา อวยพรพร้อมเพรียงกันว่า “ยินดีกับท่านอาจารย์อาเยี่ย”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนสีหน้าสงบกวาดมองผ่านทุกคน มุมปากกระดกเล็กน้อยว่า “ขอบคุณศิษย์หลานทุกท่าน” พูดจบสายตาอดมองไปที่มั่วชิงเฉินไม่ได้

 

 

ทุกคนเห็นดังนั้นต่างถอยออกข้างๆ อย่างรู้กัน

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว มั่วชิงเฉินที่ยืนอยู่ที่เดิมกลับดูโดดเด่นออกมา

 

 

มั่วชิงเฉินแอบกัดฟัน แต่ยังคงเดินขึ้นหน้าไป ยิ้มอวยพรว่า “ยินดีกับท่านอาจารย์อาเยี่ยก่อแก่นทองสำเร็จ”

 

 

ที่นางลังเลเมื่อครู่ เพราะกลัวว่าหากตนเขยิบเข้าไปเกรงว่าไม่ถึงครึ่งวันข่าวลือเกี่ยวกับทั้งสองคนต้องบินว่อนไปทั่วสำนักอีกแล้ว ทว่าเมื่อคิดอีกทีกลับคิดตกแล้ว

 

 

ตนกระทำการใดๆ ขอเพียงไม่เป็นการทำร้ายคนอื่น ไฉนต้องคอยดูสีหน้าคนอื่น ใส่ใจความคิดคนอื่นด้วย เยี่ยเทียนหยวนมีบุญคุณช่วยชีวิตตนไว้หลายครั้ง บัดนี้เขาก่อแก่นทองสำเร็จ พูดได้ว่าเป็นการเริ่มต้นการเดินทางของชีวิตที่สำคัญที่สุด ก้าวเข้าสู่แถวของผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงนับแต่บัดนี้ อวยพรเสียงหนึ่งถึงเป็นเรื่องที่ถูกที่ควร

 

 

ใครจะคิดว่าเมื่อมั่วชิงเฉินเดินขึ้นหน้ามา ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานนับร้อยท่านก็กระจายออกรอบด้านทันที แต่ละคนกระโดดขึ้นอาวุธเวทเหินหาวอย่างคล่องแคล่ว ปากพูดว่า “ท่านอาจารย์อาเยี่ย ท่านทำธุระของท่านเถอะ ท่านทำธุระของท่านเถอะ” แล้วบินหนีไปอย่างกับลม

 

 

ที่ทำให้มั่วชิงเฉินพูดไม่ออกบอกไม่ถูกคือ คนพวกนั้นไม่ได้บินไปไหนไกลเลยแล้วแอบวนกลับมาอีก ขลุกอยู่ตามซอกมุมคอยสังเกตทั้งสองคนตาเป็นประกาย

 

 

ศิษย์ระดับหลอมลมปราณพวกนั้นก็ยิ่งจนด้วยคำพูดแล้ว แต่ละคนผลักไปผลักมา เดินหนึ่งก้าวหันกลับสามครั้ง แล้วยังได้ยินเสียงร้องไอยาเพราะศีรษะโขกกันเป็นระยะ

 

 

มั่วชิงเฉินรู้สึกจำใจ แอบคิดในใจว่าที่แท้ก็ยังต้องใส่ใจความคิดของคนอื่นอยู่ดี พลาดไปแล้วจริงๆ ตนควรกลับไปก่อนไว้วันหลังค่อยมาอวยพรใหม่ ใครใช้ให้คนอื่นในนี้ไม่ใช่คนเพียงคนเดียว แต่เป็นคนนับหมื่นนับพันล่ะ!

 

 

“ศิษย์…หลานมั่ว ขอบคุณ” เยี่ยเทียนหยวนมองมั่วชิงเฉินตาไม่กะพริบ จากกันครั้งนี้ก็เป็นเวลาหลายปีอีกแล้ว ไม่คิดว่านางจะอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะปลายแล้ว ดูเหมือนทุกครั้งที่พบกัน นางมักเกินความคาดหมายของตนเสมอ

 

 

“เอ่อ ท่านอาจารย์อาเยี่ย ท่านเพิ่งสำเร็จแก่นทอง อย่างไรก็รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ รอวันหน้าพิธีฉลองก่อแก่นปราณ ศิษย์ค่อยมาอวยพรอีกครั้ง” มั่วชิงเฉินพูดจบแล้วยิ้มให้เยี่ยเทียนหยวน แล้วแทบจะหนีหัวซุกหัวซุนบินออกจากเขาหลิวหั่ว

 

 

เยี่ยเทียนหยวนมองทิศทางที่เรือบินหายไปแล้วเม้มปาก หันหลังจากไปด้วยสีหน้าบอกไม่ถูก

 

 

มั่วชิงเฉินกลับถึงเขาป่าไผ่ แล้วถอนหายใจแรงๆ ด้วยความโล่งอก คิดๆ ดูวันนี้ที่เขาหลิวหั่วกลับไม่เห็นมั่วหลีลั่วและต้วนชิงเกอ ไม่ค่อยปกติแฮะ

 

 

สถานการณ์เช่นนี้ ด้วยนิสัยของมั่วหลีลั่วไม่มีเหตุผลที่จะไม่มา ต่อให้ต้วนชิงเกอที่นิสัยเงียบๆ สามารถเห็นนิมิตก่อแก่นปราณกับตา โอกาสเช่นนี้ก็ไม่มีทางปล่อยผ่าน

 

 

มั่วชิงเฉินส่งยันต์ส่งสารให้ทั้งสองคนคนละหนึ่งแผ่นทันที คิดๆ แล้ว ส่งให้เสี่ยวซย่าและเฉินเจียวซิ่งอีกคนละหนึ่งแผ่น

 

 

แม้นับตั้งแต่ทะเลาะกันใหญ่โตกับเฉินเจียวซิ่งครั้งนั้น ก็ไม่ได้ติดต่อกันอีก บัดนี้สี่ห้าปีผ่านไปแล้ว ตนกลับมาอย่างไรก็ควรทักทายสักคำ อย่างไรเสียก็ยังไม่รู้สถานการณ์ช่วงนี้ของพี่เสี่ยวซย่าว่าเป็นเช่นไร

 

 

ที่ทำให้มั่วชิงเฉินคิดไม่ถึงคือ ยันต์ส่งสารสี่แผ่นไม่คิดเลยว่าไม่ได้ตอบรับเลยสักแผ่น ท่ามกลางความสงสัยในใจ จึงนั่งเรือเล็กบินไปที่ยอดเขารองที่นักพรตจื่อซีอยู่

 

 

“ชิงเฉินหรือนี่ รีบเข้ามา” เพิ่งถึงหน้าที่พำนักของนักพรตจื่อซีแล้วส่งสารออกไป ประตูถ้ำก็เปิดออกช้าๆ เสียงของนักพรตจื่อซีดังขึ้น

 

 

ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยนี้ มั่วชิงเฉินรู้สึกสนิทสนมอย่างไร้สาเหตุ ก้าวเท้าเดินเข้าไป

 

 

“คารวะท่านอาจารย์ลุงใหญ่” มั่วชิงเฉินคำนับ

 

 

นักพรตจื่อซีพยุงมั่วชิงเฉินขึ้นมา เพ่งพิศนางอย่างละเอียดรอบหนึ่ง แล้วถึงว่า “นางหนูชิงเฉิน ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว!”