บทที่ 305 ให้หย่ากับเจ้า
สีหน้าของเฉียวเทียนช่างมึดครึ้ม หากเขายังไม่เข้าใจความหมายของคำพูดนั้นก็คงโง่เขลาเต็มที เขามองหนานอวี่ก่อนถามว่า “เกิดอะไรขึ้น”
หนานอวี่เงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนอธิบาย “ข้าออกไปก่อนเพราะราชากู่สัมผัสได้ว่ามีกู่พิษอยู่ใกล้ๆ นี้ ตอนที่ข้ามุ่งหน้าไปที่นั่น ข้าเห็นพี่สะใภ้อยู่กับคนร้ายเข้า แต่เมื่อไปถึง บนร่างของพี่สะใภ้ก็มีตัวอ่อนของกู่พิษจากตัวแม่เกาะอยู่ก่อนแล้ว”
แม้ว่ากู่พิษจะอยู่บนร่างของหนิงเมิ่งเหยา แต่ใช้เวลาไม่นานมันก็จะชอนไชเข้าไปในร่างผ่านทางผิวหนัง กู่พิษชนิดนี้แตกต่างจากกู่พิษชนิดอื่นๆ และเป็นชนิดที่รับมือได้ยากที่สุด
แม้จะมีราชากู่อยู่ด้วย แต่กู่พิษชนิดนี้ก็นับว่าเป็นตัวสร้างปัญหาที่น่าหนักใจอย่างยิ่ง หากหนิงเมิ่งเหยาถูกกู่พิษตัวนั้นต่อยเข้า ร่างกายและจิตใจของนางจะถูกควบคุมโดยผู้ที่เชื่อมโยงกับกู่พิษตัวแม่
“หมายความว่าอย่างไร” เฉียวเทียนช่างไม่ค่อยเข้าใจนักว่ากู่พิษทำงานอย่างไร
หนานอวี่ไตร่ตรองเรื่องนั้นอยู่ในหัว ก่อนอธิบายเรื่องอันตรายจากกู่พิษตัวแม่และตัวอ่อนกู่ให้เฉียวเทียนช่างฟัง
หลังจากฟังจบ ถ้วยชาในมือของเฉียวเทียนช่างแตกเป็นเสี่ยงๆ น้ำชาที่อยู่ข้างในไหลผ่านตามนิ้วมือของเขา
“ขอบคุณสวรรค์” เฉียวเทียนช่างเอ่ยด้วยความโล่งใจ
“อืม” หนิงเมิ่งเหยาพยักหน้า ทั้งที่คอยระวังหนานกงเช่อเอาไว้แล้ว แต่พวกเขาไม่คิดเลยว่าที่ปรึกษาผู้นั้นจะลงมือด้วยตัวเอง มิหนำซ้ำยังลงมือต่อหน้าคนหมู่มาก เขาคงรู้สึกว่าหากทำเช่นนั้นคงจะปลอดภัยกว่ากระมัง
แต่ก็นับว่าเป็นความคิดที่ดี เพราะคงไม่มีใครเชื่อว่าเขาจะกล้าลงมือต่อหน้าผู้คนได้
“เหยาเหยา ต่อไปเวลาเจ้าออกไปข้างนอก เจ้าต้องพาหนานอวี่ไปด้วย” หนานอวี่ประสาทไวต่อกู่พิษ ครั้งนี้พวกมันทำพลาดไป แต่เขาเชื่อว่าพวกมันจะต้องลงมืออีกครั้งในเร็วๆ นี้แน่ เขาจะไม่ยอมให้มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับหนิงเมิ่งเหยาเด็ดขาด
หนิงเมิ่งเหยาเงียบเสียงไปพักหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าอย่างอับจนหนทาง “ข้าเข้าใจแล้ว”
“หนานอวี่”
“นายท่านอย่ากังวลเลยขอรับ หากพี่สะใภ้ออกไปข้างนอก ข้าจะไปกับนางด้วย” หนานอวี่พยักหน้าและให้คำมั่นกับเขา
เฉียวเทียนช่างรู้สึกโล่งใจยิ่งนัก “เขาต้องการอะไรจากเจ้าหรือ”
หนิงเมิ่งเหยากำลังใคร่ครวญว่านางควรจะบอกเฉียวเทียนช่างดีหรือไม่ แต่หลังจากเห็นเขาแสดงท่าทีเช่นนั้นเข้า นางไตร่ตรองอยู่อีกครู่ใหญ่แล้วตอบก่อนที่เขาจะถามขึ้นอีกครั้ง “บัณฑิตผู้นั้นบอกให้ข้าหย่ากับเจ้าแล้วไปแต่งกับหนานกงเช่อ”
หากสภาพเขาเมื่อครู่หลังจากรู้ว่ามีคนวางแผนเล่นงานหนิงเมิ่งเหยาอยู่นั้นเรียกว่าโกรธเกรี้ยว เช่นนั้นสภาพเขาในตอนนี้คงจะต้องเรียกว่าควันออกหู
“อยากให้เจ้าหย่ากับข้าหรือ”
“ใช่” เหลยอันและคนที่เหลือซึ่งเคยอยู่ด้านข้างต่างเริ่มพากันหลบไปอีกทางโดยไม่รู้ตัว มีเพียงหนิงเมิ่งเหยาที่เหมือนยังไม่สังเกตเห็นเพลิงโทสะของเขา และยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น
เหลยอันและคนอื่นๆ รู้สึกนับถือหนิงเมิ่งเหยาเหลือเกินที่นางยังคงใจเย็นเช่นนั้นอยู่ได้ พี่สะใภ้ช่างเยี่ยมยอด พวกเขาลอบชื่นชมนางในใจ
เฉียวเทียนช่างโมโหจนหลุดหัวเราะออกมา ทว่าไม่ว่าพวกเขาจะมองอย่างไร การระเบิดเสียงหัวเราะเช่นนั้นออกมาช่างดูร้ายกาจเหลือเกิน
“นายท่าน ไม่เป็นไรใช่ไหมขอรับ” เหลยอันกลืนน้ำลายลงคอแล้วถามด้วยความไม่มั่นใจ
เขาไม่เคยเห็นนายท่านเป็นเช่นนี้มาก่อน เป็นไปได้หรือไม่ว่านายท่าจะโมโหจนเลือดขึ้นหน้าแล้วจริงๆ
เฉียวเทียนช่างตวัดสายตาไปมองเหลยอัน “ข้าดูเหมือนเป็นอะไรงั้นรึ”
เหลยอันมองเฉียวเทียนช่างเงียบๆ เขาอยากบอกนายท่านว่าทำตัวซื่อตรงกว่านี้หน่อยก็ได้ ที่นี่ไม่มีใครหัวเราะเยาะนายท่านหรอกขอรับ แต่เขาก็ไม่กล้าเอ่ยคำพูดนั้นออกไป ด้วยเกรงว่าเฉียวเทียนช่างจะจับเขาโยนออกไปข้างนอกเอาถ้าหากเขาพูดเช่นนั้นออกมา
เขาก้าวถอยหลังไปหลายก้าวให้อยู่ในระยะปลอดภัย แล้วมองเฉียวเทียนช่าง “นายท่านขอรับ ท่านวางแผนจะทำเช่นไรต่อหรือขอรับ”
“ทำอะไรหรือ” แน่ล่ะ ต้องทำในสิ่งที่ควรทำอยู่แล้ว
เขาไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักตอบโต้เมื่อถูกจู่โจม
ท่าทางของเฉียวเทียนช่างทำเอาเหลยอันถึงกับสวดภาวนาในหนานกงเช่อและคนที่เหลือ หวังว่าพวกเขาจะไม่ตายด้วยวิธีการอันโหดร้ายนัก
สองวันถัดมา เมื่อหนานกงเช่อยกเรื่องการแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์กับเมืองเซียวขึ้นมา เฉียวเทียนช่างก็เอ่ยบางอย่างขึ้นมาก่อนที่เซียวชวี่เฟิงจะทันได้เอ่ยอะไรเสียอีก
“ก่อนที่องค์รัชทายาทหนานกงจะพูดเรื่องการแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ ข้าอยากเรียนถามว่าพวกบ่าวรับใช้ในพระราชนิเวศน์นอกเมืองของเมืองหลิงหายไปไหนหรือ” เสียงของเฉียวเทียนช่างราบเรียบ ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ
สีหน้าของหนานกงเช่อเปลี่ยนไปในทันที เขามองเฉียวเทียนช่างอย่างเย็นชา
“เจ้าหมายความว่าอะไร”
บทที่ 306 เหล่าบ่าวรับใช้ที่หายไป
เฉียวเทียนช่างเยาะเย้ยหนานกงเช่อ “ข้าหมายความว่าเช่นใดน่ะหรือ ปกติพระราชนิเวศน์นอกเมืองจะมีข้ารับใช้จากวังหลวงอยู่ราวเกือบยี่สิบคน แต่ที่พระราชนิเวศน์ของท่านกลับเหลือไม่ถึงสิบคน ข้าสงสัยนักว่าคนที่เหลือไปอยู่ที่ใดกัน”
หนานกงเช่อหน้าเปลี่ยนสี เขาเคลื่อนสายตาไปมองบัณฑิตที่อยู่ข้างกายอย่างลืมตัว บัณฑิตผู้นั้นขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย
“พวกข้าไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน ว่าแต่ท่านแม่ทัพรู้เรื่องนี้ได้เช่นไรหรือ” เมื่อหนานกงเช่อไม่รู้จะตอบอย่างไร หนานกงเยว่จึงมองเขาก่อนเอ่ยถามอย่างใจเย็น
“นั่นน่ะสิ เจ้ารู้ได้อย่างไร เป็นไปได้หรือไม่ว่าเจ้าแอบจับตามองพวกข้าอยู่” หนานกงเช่อถามซ้ำหลังจากได้ยินคำถามของหนานกงเยว่
เฉียวเทียนช่างมองหนานกงเช่อเงียบๆ แล้วสายตาของเขาก็เคลื่อนไปหยุดที่หนานกงเยว่ องค์หญิงผู้นี้คงเป็นผู้ที่หลิงฮ่องเต้ทรงโปรดปรานที่สุดเป็นแน่
“เอาเข้ามา” เฉียวเทียนช่างเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ในไม่ช้า เหลยอันและหนานอวี่ก็นำร่างไร้วิญญาณร่างหนึ่งเข้ามา ร่างนั้นเป็นศพของข้ารับใช้จากวังหลวงผู้หนึ่ง
เซียวชวี่เฟิงขมวดคิ้วแน่นเมื่อเห็นว่าศพนั้นมีบาดแผลที่ถูกเจาะเป็นรูหลายแห่ง เขาเบนสายตาไปมองเฉียวเทียนช่าง “เทียนช่าง นี่คืออะไรกัน”
“เมื่อวานข้าพาเมิ่งเหยาออกไปล่าสัตว์ในป่าลึกบนเขา แล้วเราก็พบสิ่งนี้บนนั้น” เซียวฉีเทียนมองเซียวชวี่เฟิงด้วยสายตาเป็นเชิงปรามไม่ให้เขาใจร้อน
เซียวชวี่เฟิงรู้สึกสับสนเล็กน้อยเมื่อเห็นเฉียวเทียนช่างทำเช่นนี้
เขาไม่เข้าใจว่าหมอนี่กำลังวางแผนอะไรอยู่
แต่เขาก็อยู่นิ่งๆ และไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาขณะรอดูว่าเรื่องจะดำเนินไปในทิศทางใดอยู่เงียบๆ
“เจ้าเอาศพที่ตัวเองพบบนเขากลับมาแล้วบอกว่าพวกข้าเป็นผู้ลงมือหรือ แม่ทัพเฉียว แม้จะทำเพื่อใส่ร้ายพวกข้า แต่มันจะเกินไปแล้ว” สีหน้าของหนานกงเช่อดูน่าเกลียดน่ากลัวขณะมองเฉียวเทียนช่าง
ทว่าบัณฑิตที่ยืนอยู่ข้างเขากลับนิ่วหน้า เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกนั้นจะพบบางสิ่งเข้าแล้ว
“เหตุใดองค์รัชทายาทหนานกงต้องตระหนกถึงเพียงนี้ด้วยเล่า ฟังสาเหตุการตายของนางก่อนแล้วค่อยว่ากันต่อเถิด” เฉียวเทียนช่างมองหนานกงเช่อ ก่อนพูดขึ้นเสียงเบา ฟังดูแปลกประหลาดยิ่งนัก
เฉียวเทียนช่างจ้องหนานกงเช่อแทนที่จะกล่าวอะไรต่อ อันที่จึงควรจะบอกว่าสายตาของเขาพุ่งตรงไปยังบัณฑิตผู้นั้นเสียมากกว่า
บัณฑิตผู้นั้นสัมผัสได้ว่าหนังศีรษะตนชาวาบขึ้นมาเมื่อเห็นสายตาของเฉียวเทียนช่าง แม้แต่เซียวชวี่เฟิงยังไม่สามารถทำให้เขารู้สึกเช่นนี้ได้เลย
อู่จั้ว มาถึงอย่างรวดเร็ว เขาลงมือตรวจสอบศพที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น
สุดท้ายเขาจึงเอ่ยขึ้นว่า “ทูลฝ่าบาท ข้าหลวงนางนี้มีบาดแผลหลายแห่งบนร่าง ยิ่งกว่านั้นใต้เล็บของนางยังมีเศษผิวหนังและหยดเลือดจำนวนเล็กน้อยอยู่ด้วย แสดงให้เห็นว่าตอนนางยังมีชีวิตอยู่นั้นนางคงข่วนอีกฝ่ายเข้า มิหนำซ้ำข้าหลวงนางนี้ยังมีหนอนตัวเล็กๆ ชอนไชอยู่ทั่วร่างอีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เขากรีดบริเวณท้องแขนที่โผล่พ้นเสื้อของนางออกมาพร้อมกับอธิบายไปด้วย
ทันทีที่เขากรีดร่างของศพนั้น หนอนจำนวนหนึ่งที่อยู่ด้านในก็ร่วงออกมา พวกมันดิ้นกระเสือกกระสนอยู่บนนั้น
ทันทีที่เห็นพวกมัน หนานอวี่รีบเปิดขวดสุราในมือแล้วเทลงไปบนพวกมันทันที จากนั้นเขาจึงจุดไฟขึ้นก่อนทิ้งมันลงสู่หนอนกองนั้นซึ่งชุ่มโชกไปด้วยสุรา
เจ้าหนอนเปล่งเสียงร้องแหลมหูออกมา ในเวลาเดียวกัน ร่างของข้าหลวงผู้นั้นก็ถูกหนอนในร่างกัดกินจนไม่เหลือแม้แต่กระดูก จากนั้นกลิ่นฉุนอันรุนแรงก็ลอยขึ้นมา
เมื่อหนอนเหล่านั้นถูกเผาจนสิ้นซาก บัณฑิตที่อยู่กับหนานกงเช่อก็กระอักเลือดออกมา ทั้งสีหน้าของเขาก็ดูเจ็บปวดยิ่งนัก
เมื่อเฉียวเทียนช่างเห็นภาพที่เกิดขึ้น เขากระตุกรอยยิ้มชั่วร้ายขึ้นมาที่มุมปาก “เกิดอะไรขึ้นกับชายผู้นี้กันล่ะ”
หนานอวี่มองบัณฑิตผู้นั้นแล้วเอ่ยอย่างใจเย็นว่า “เป็นคุณไสยสะท้อนกลับจากกู่พิษขอรับ”
ณ เวลานั้นเซียวชวี่เฟิงคงเป็นคนโง่เขลาที่สุดในโลกหากไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น
เขามองหนานกงเช่อและคนที่เหลืออย่างเย็นชา “ข้าหวังว่าองค์รัชทายาทหนานกงคงจะอธิบายให้ข้าฟังได้ว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น เหตุใดจึงมีกู่พิษอยู่ในร่างข้าหลวงได้หรือ”
“เขา… เขาพูดจาเหลวไหลไปเองพ่ะย่ะค่ะะ ที่ปรึกษาของข้าผู้นี้เคยได้รับบาดเจ็บมาก่อน การกระอักเลือดเมื่อครู่เป็นสาเหตุมาจากอาการกำเริบพ่ะย่ะค่ะ” หนานกงเช่อรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากตนรับผิดในเรื่องนี้ขึ้นมา
ทว่าเซียวชวี่เฟิงไม่ใช่คนที่จะคล้อยไปตามวาจาของเขาได้
เขามองหนานกงเช่อและคนอื่นๆ ด้วยสายตาเย็นชา “ตอนนี้ดูเหมือนว่าข้าจะไม่สามารถกินหรือนอนได้อย่างสงบใจจนกว่าจะมีการสอบสวนเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วนเสียแล้ว ไปค้นพระราชนิเวศน์นอกเมืองของเมืองหลิงเสีย พาหมอหลวงมาตรวจดูว่าชายผู้นี้บาดเจ็บจริงหรือไม่ แล้วตรวจด้วยว่าเมื่อครู่อาการเขากำเริบจริงไหม”