บทที่ 307 คำพูดให้ร้าย
สีหน้าของเซียวชวี่เฟิงน่าเกลียดน่ากลัวยิ่งนัก แม้ว่าหนานกงเช่อจะรู้สึกโมโหแต่พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้หลังจากที่การกระทำของตนถูกสงสัย หากความคลางแคลงใจของทุกคนยังไม่หมดไป การที่พวกเขาจะอยู่ในเมืองเซียวต่อไปนั้นอาจเป็นเรื่องยากพอดู และพวกเขาคงต้องให้คำอธิบายในเรื่องที่เกิดขึ้นกับเมืองเซียวด้วย
เหลยอันพาคนจากพระราชนิเวศน์นอกเมืองเข้ามา เฟิงซั่วหย่อนกายลงนั่งที่เก้าอี้ของตนพลางมองเรื่องที่เกิดขึ้น สายตาของเขาหยุดลงที่บัณฑิตผู้นั้น ก่อนรอยยิ้มเย้ยหยันจะปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา
ในไม่ช้าหมอหลวงก็มาถึง เขาตรวจชีพจรของบัณฑิตผู้นั้นแล้วกล่าวว่า “จริงอยู่ที่ชายผู้นี้มีอาการบาดเจ็บ แต่อาการไม่ได้ร้ายแรงมากขนาดนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นแล้วเหตุใดเขาจึงกระอักเลือดออกมาเล่า” เซียวชวี่เฟิงไม่สนใจสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหนานกงเช่อแล้วเอ่ยถามอย่างเย็นชา
“เขาได้รับผลสะท้อนกลับจากบางสิ่งพ่ะย่ะค่ะ แต่จะเป็นด้วยเหตุใดนั้น หมอผู้ต่ำต้อยเช่นกระหม่อมมิอาจล่วงรู้ได้พ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงครุ่นคิดก่อนเอ่ยตอบ
“เป็นไปไม่ได้ พวกเจ้าทุกคนรวมหัวกันใส่ร้ายพวกข้า” หนานกงเช่อผุดลุกขึ้นและพูดด้วยความโกรธ
หนานกงเยว่นึกอยากจะตบหน้าหนานกงเช่อแรงๆ สักทีสองทีนัก มันใช่เวลามาพูดเรื่องพรรค์นั้นหรือ ช่างโง่เขลานัก
หมอหลวงชรามีสีหน้าบิดเบี้ยว เขามององค์รัชทายาทหนานกงก่อนเอ่ยด้วยความโมโห “องค์รัชทายาทหนานกง ท่านหมายความว่าอย่างไร ท่านสงสัยในจรรยาบรรณแพทย์ของข้าหรือ” ผู้ประกอบวิชาแพทย์เช่นเขา โดยเฉพาะผู้ที่มีความสามารถสูง จะต้องรู้สึกโมโหเป็นอย่างมากหากถูกสงสัยเช่นนี้ ยิ่งในเวลาเช่นนี้ด้วยแล้ว
หนานกงเช่อมองหมอหลวงชราแล้วเอ่ยอย่างเย็นชา “ใครจะรู้ล่ะว่าเจ้าสมรู้ร่วมคิดกับผู้อื่นหรือเปล่า”
ในเวลานั้น ไม่ใช่แค่เพียงหนานกงเยว่ แม้แต่บัณฑิตที่กำลังมองหนานกงเช่อเองก็ยังหน้าซีดไปด้วย เจ้าคนโง่เขลาเบาปัญญาคนนี้นี่
เซียวชวี่เฟิงเหยียดรอยยิ้มหยันขณะมองหนานกงเช่อ ทว่าเฟิงซั่วกลับเป็นผู้ที่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงรังเกียจออกมา “องค์รัชทายาทหนานกงเห็นผู้ใดเดินออกไปข้างนอกหรือ”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับท่าน องค์รัชทายาทเฟิง” หนานกงเช่อไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง
เฟิงซั่วยิ้มทว่าไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อ
เซียวชวี่เฟิงมองหนานกงช่อ “ข้าไม่คิดว่าองค์รัชทายาทเฟิงกล่าวสิ่งใดผิด เมื่อครู่ไม่มีใครในที่นี้ออกไปข้างนอกเลยสักคน แล้วองค์รัชทายาทหนานกงกล่าวว่าพวกเราสมรู้ร่วมคิดกันได้เช่นใด ข้าเพียงอยากถามว่า พวกเราจะใช้วิธีใดในการวางแผนสมรู้ร่วมคิดด้วยกันได้หรือ”
หนานกงเช่อไม่ตอบ แต่ความหมายของเขาก็ชัดเจนอยู่แล้ว
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าจะเรียกตัวหมอฝีมือดีจากทั่วทั้งเมืองหลวงมา เราทั้งคู่จะเลือกหมอสองคนจากในนั้นมาเพื่อตรวจสอบชายผู้นี้ เช่นนี้ดีหรือไม่”
“ผู้ใดจะรู้ได้เล่าว่าท่านจะมีกลโกงอะไรซ่อนไว้อีกหรือเปล่า” หนานกงเช่อยังคงรู้สึกไม่พอใจ
เซียวชวี่เฟิงพูดขึ้นในทันที “ทูตของแต่ละฝ่ายต่างสามารถส่งคนที่ตนไว้ใจไปด้วยได้”
ในเมื่อเขาพูดจนถึงขนาดนี้ หากหนานกงเช่อยังไม่ยอมตกลง เช่นนั้นเขาจะป่าวประกาศให้ทุกคนที่อยู่ในนี้ได้ฟังว่าเมืองหลิงนั้นกำลังวางแผนการบางอย่างเอาไว้
ก่อนที่หนานกงเช่อจะมีโอกาสปฏิเสธ หนานกงเยว่ก็เอ่ยขึ้น “ตกลง”
หนานกงเช่อหันหน้าไปมองหนานกงเยว่ “เจ้าไม่มีสิทธิ์ตอบตกลง”
บัณฑิตนิ่วหน้า ตอนนี้เขาไม่มีเวลาไปใส่ใจเรื่องของหนานกงเช่อ สิ่งที่เขาอยากรู้คือเฉียวเทียนช่างและคนื่นๆ เอาศพมาได้อย่างไร
เมืองเฟิงและอีกหลายเมืองส่งคนมาร่วมด้วยหลายคน เช่นเดียวกันกับเมืองเซียว สุดท้ายแล้ว หนานกงเช่อก็ถูกบังคับให้ต้องส่งคนสองสามคนไปกับพวกเขาด้วย
ผ่านไปราวสี่เค่อ หลินจือโยวจึงพาคนเหล่านั้นลับมา ร่างของหมอหลายสิบคนเดินตามหลังพวกเขาเข้ามา แต่ละคนล้วนแต่เป็นหมอผู้มีชื่อเสียงจากในเมืองหลวงด้วยกันทั้งสิ้น ทักษะด้านการแพทย์ของพวกเขานั้นล้วนเป็นที่ยอมรับของทุกคน
“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท”
“ลุกขึ้น ข้าเรียกพวกเจ้ามาวันนี้เพราะทูตจากเมืองหลิงอาการไม่ดีเท่าใดนัก ข้าต้องการให้พวกเจ้าตรวจอาการเขาดู”
หมอหลายคนในนั้นมองหน้ากันและกันขณะพยายามคาดเดาว่าอาการแบบใดกันที่หมอหลวงภายในวังหลวงจะไม่สามารถวินิจฉัยได้ แต่พวกเขาทำได้เพียงเก็บงำความคิดเช่นนั้นเอาไว้ในใจ และไม่กล้าแม้แต่จะปริปากเอ่ยออกมา
“พ่ะย่ะค่ะ”
แต่ละเมืองเลือกหมอของตน จากนั้นพวกเขาจึงเข้าไปตรวจชีพจรของบัณฑิตทีละคน ข้อสรุปที่พวกเขาได้นั้นล้วนแต่ใกล้เคียงกับคำวินิจฉัยของหมอหลวงชราผู้นั้น
สาเหตุที่เขากระอักเลือดนั้นไม่ใช่เพราะอาการบาดเจ็บกำเริบ แต่เป็นเพราะคุณไสยสะท้อนกลับ
“ส่งพวกเขากลับเสีย อย่าลืมล่ะว่าห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปโดยเด็ดขาด” เซียวชวี่เฟิงมองพวกเขาอย่างเย็นชา
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท กระหม่อมจะจำใส่ใจไว้” พวกเขารีบพูด ไม่มีผู้ใดกล้าคัดค้าน
หลังจากหมอพวกนั้นกลับไป เซียวชวี่เฟิงหันไปมองหนานกงเช่อ “ข้าสงสัยจริงๆ ว่าองค์รัชทายาทหนานกงยังมีสิ่งใดต้องการจะพูดอีกหรือไม่”
“ครั้งนี้ทุกคนออกไปตามหมอมาพร้อมกัน มิหนำซ้ำหมอแต่ละคนยังถูกเลือกเป็นการส่วนตัวด้วย องค์รัชทายาทหนานกงยังคิดจะบอกว่าพวกเราสมรู้ร่วมคิดกันอยู่หรือไม่ หรือท่านยังอยากบอกว่าพวกเราสองสามเมืองรวมหัวกันเพื่อทำให้ท่านเสียชื่อเสียงแทนล่ะ” องค์รัชทายาทแห่งเมืองไห่ยิ้มพลางมองหนานกงเช่อ ท่าทางของเขาทำให้ทุกคนรู้สึกว่าเขากำลังมีความสุขบนความทุกข์ของหนานกงเช่อ
บทที่ 308 ภาพอันโหดร้าย
หนานกงเช่อมีสีหน้าย่ำแย่ เขาจะพูดอะไรได้อีก พูดไปก็เหมือนเขากำลังรนหาที่ตาย
“เรื่องนี้….”
“ในเมื่อองค์รัชทายาทหนานกงไม่คิดเช่นนั้น ข้าก็หวังว่าเมืองหลิงคงจะสามารถอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นได้” เซียวชวี่เฟิงจะถูกพวกเขาหลอกง่ายๆ ได้เช่นไร
เม็ดเหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผากของหนานกงเช่อ สีหน้าของเขาไม่สู้ดีนัก “มีใครบางคนกำลังปรักปรำพวกข้า”
“กราบทูลต่อฝ่าบาทเสีย ถือว่าทำเพื่อข้าหลวงและองครักษ์ที่ตายไป” เหลยอันเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธ
เมื่อเห็นเหลยอันมีท่าทีเช่นนั้น เซียวชวี่เฟิงและคนอื่นๆ ก็รู้ว่าพวกเขาเจอสิ่งที่ต้องการแล้ว
“เกิดอะไรขึ้น”
“กระหม่อม…มิอาจสรรหาคำใดมากราบทูลได้พ่ะย่ะค่ะ ขอฝ่าบาทและองค์รัชทายาทจากเมืองต่างๆ ทรงเสด็จออกไปด้านนอกเพื่อทอดพระเนตรดูเถิดพ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงของเหลยอันเต็มไปด้วยความเจ็บปวด สายตาที่เขามองไปยังหนานกงเช่อเองก็เต็มไปด้วยความเกลียดชัง
เซียวชวี่เฟิงเดินนำออกไปเป็นคนแรก จากนั้นทุกคนจึงตามเขาไป ที่ท้ายขบวนมีเพียงเฉียวเทียนช่าง หนานกงเช่อ บัณฑิตผู้นั้น และคนอื่นๆ รั้งท้ายอยู่
“กล้ามาแตะต้องภรรยาของข้า พวกเจ้าเตรียมใจไว้รับความโกรธข้าหรือยัง” เฉียวเทียนช่างกระซิบ เมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของพวกเขา เขาจึงหันหลังเดินออกไปด้วยความพอใจ
บัณฑิตผู้นั้นมีสีหน้าหม่นหมองขณะมองร่างของเฉียวเทียนช่างที่เดินจากไป ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดเรื่องไม่ดีที่ตนทำจึงถูกขุดขึ้นมา มันเป็นเพราะชายที่รักและหวงแหนภรรยาของตนเองมากผู้นี้รู้เรื่องที่เขาทำลงไปกับหนิงเมิ่งเหยานี่เอง นี่เป็นสาเหตุให้เฉียวเทียนช่างสืบเรื่องการหายตัวไปที่เกิดขึ้นเพื่อจะจับพวกเขา
หรือจะพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ พวกเขารนหาที่เอง เรื่องที่เกิดขึ้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้อื่นแต่อย่างใด
“ตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไรดี” หนานกงเช่อมองบัณฑิตข้างกายอย่างคิดไม่ตก สีหน้าของเขาดูกระวนกระวาย
บัณฑิตมองหนานกงเช่อ “พวกเราทำได้แค่ออกไปดูขอรับ”
“แต่…”
“หุบปาก”
มุมปากของหนานกงเยว่มีรอยยิ้มหยันปรากฏอยู่ นางสะบัดแขนเสื้อเมื่อเห็นหนานกงเช่อมีทีท่าโกรธเคืองทว่าไม่สามารถโต้แย้งอะไรกลับได้
ทั้งที่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เขาก็แทบคุมสติตัวเองเอาไว้ไม่ได้เสียแล้ว พี่ชายของนางนั้นช่าง….
เมื่อหนานกงเยว่เดินมาถึงด้านนอก นางถึงกับตกตะลึงกับจำนวนซากศพที่อยู่ตรงนั้น มันมีจำนวนมากกว่าที่เฉียวเทียนช่างได้กล่าวเอาไว้เสียอีก ซากศพบริเวณด้านนอกนั้นน่าจะมีไม่ต่ำกว่ายี่สิบร่างเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง สิ่งเดียวที่พวกเขามีเหมือนกันบนใบหน้านั้นคือสีหน้าทุกข์ทรมานที่แสดงถึงความเจ็บปวดอย่างเหลือแสนที่พวกเขาต้องเผชิญก่อนตาย
“นี่… นี่มัน…”
“ซากศพพวกนี้ถูกพบบริเวณพระราชนิเวศน์นอกเมืองที่องค์รัชทายาทหนานกงและผู้ติดตามพำนักอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
“หนานอวี่”
หนานอวี่พยักหน้า เขาเดินไปยืนข้างซากศพเหล่านั้นโดยมีกลุ่มคนที่ออกมาดูเดินตามหลังไปติด ๆ หนานอวี่กรีดข้อมือของศพศพหนึ่งให้ดู พลันหนอนตัวเล็กๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับหนอนที่พบในศพหญิงสาวก่อนหน้านี้ก็คลานออกมา
คนที่เดินตามมาต่างถอยหลังกรูด สุราที่หนานอวี่เตรียมเอาไว้ก่อนแล้วถูกราดลงบนหนอนพวกนั้นก่อนเผามันจนเป็นเถ้าถ่าน
หลังจากซากศพถูกเผา เป็นอีกครั้งที่บัณฑิตผู้นั้นต้องได้รับผลสะท้อนกลับจากการทำคุณไสย
บัดนี้ชุดสีขาวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด คงไม่จำเป็นต้องสรรหาคำใดมาอธิบายอีกแล้วในเมื่อภาพที่เห็นบอกให้คนรอบข้างได้รู้ว่าสิ่งนั้นมันเกี่ยวข้องกับเขาอย่างชัดเจน
“หนานอวี่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกมันคือสิ่งใด”
“พวกมันคือกู่กลายศพพ่ะย่ะค่ะ”
“มันคืออะไรรึ” เซียวชวี่เฟิงขมวดคิ้วแล้วถามขึ้นด้วยความสงสัย
“มันสามารถเปลี่ยนสภาพของคนเป็นให้กลายเป็นคนตายได้ดังเช่นชื่อของมันพ่ะย่ะค่ะ หลังจากคนพวกนั้นกลายเป็นซากศพ พวกเขาจะถูกกู่พิษภายในร่างควบคุม กลายเป็นศพเดินได้ หรือไม่ก็หุ่นเชิดไร้ชีวิตจิตใจพ่ะย่ะค่ะ” หนานอวี่เอ่ยอย่างใจเย็น
เขามองบัณฑิตผู้นั้นซึ่งกำลังทำหน้าเหมือนไม่เชื่อสายตาตัวเอง พร้อมกันนั้นริมฝีปากของหนานอวี่ก็ปรากฎรอยยิ้มเยาะหยันขึ้น นี่คือเวลาที่เขาเฝ้ารอ
เดิมทีบัณฑิตผู้นั้นคิดว่าคงไม่มีใครรู้เรื่องเกี่ยวกับกู่พิษเป็นแน่ แต่เขาคาดไม่ถึงว่าคนไม่มีความสลักสำคัญเช่นชายผู้นี้จะสามารถระบุชนิดของกู่พิษได้อย่างช่ำชอง
“ตอนนั้นก็เป็นกู่พิษตัวแม่กับตัวอ่อนของมัน มาคราวนี้ก็เป็นกู่กลายศพ ข้าสงสัยนักว่าบุรุษท่านนี้ยังมีของดีอย่างอื่นเก็บไว้อีกหรือไม่ ไม่สิ ข้าควรถามให้ชัดเจนสินะว่าท่านเป็นคนมาจากหนานเจียงใช่ไหม” ฝูงชนแตกฮือเมื่อพวกเขาได้ยินประโยคสุดท้ายที่หนานอวี่กล่าว
หนานเจียงเป็นดินแดนอันแปลกประหลาด สิ่งที่แปลกที่สุดนั้นหาใช่ตำแหน่งที่ตั้งอันเป็นความลับของมันไม่ ทว่าเป็นเรื่องความลึกลับของกู่พิษและยาพิษซึ่งชาวหนานเจียงมีอยู่ในมือต่างหาก เห็นๆ กันอยู่ว่าทั้งสองสิ่งนั้นสามารถใช้สังหารผู้คนได้อย่างง่ายดาย
บัณฑิตผู้นั้นจ้องหนานอวี่เขม็ง กู่กลายศพเป็นเครื่องมือที่เขาตระเตรียมไว้เมื่ออยู่ในเมืองเซียว นึกไม่ถึงเลยว่าแผนการทั้งหมดของเขาจะล่มไม่เป็นท่าเพียงเพราะความผิดพลาดของเจ้าหมอนั่น บ้าที่สุด!