เล่ม 1 ตอนที่ 148 จากไปพร้อมกัน

สลับชะตา ชายามือสังหาร

“เห็นไหมเล่า ข้าบอกแล้วว่านางจะเดินมาทางนี้น่ะ” เจ้าอ้วนชวีพูดอย่างได้ใจ

ซือหม่าโยวเย่ว์เดินเข้าไปแล้วพูดว่า “มิใช่ว่าพวกเจ้าควรจะไปเข้าร่วมภารกิจของวิทยาลัยหรอกหรือ แล้วมาอยู่ที่นี่กันได้อย่างไร”

โอวหยางเฟยกระโดดลงจากต้นไม้แล้วพูดว่า “พวกเราเพิ่งขอทำเรื่องจบการศึกษา ตอนนี้มิใช่นักเรียนของวิทยาลัยอีกต่อไปแล้วละ”

“พวกเจ้าเรียนจบแล้วอย่างนั้นหรือ!”

“พวกเรารู้สึกว่าเรียนที่วิทยาลัยต่อไปก็คงเรียนอะไรไม่ได้มากขึ้นอีกแล้ว จึงขอจบการศึกษาเลยดีกว่า” เป่ยกงถังพูด

“ข้าเองก็คุยกับที่บ้านเรียบร้อยแล้ว ข้าอยากไปบุกป่าฝ่าดงกับเจ้า” เจ้าอ้วนชวีพูด “ดังนั้นนะ ต่อจากนี้ไปข้าจะเกาะติดอยู่กับเจ้า เจ้าต้องพาข้าไปด้วยนะ!”

“ติดตามข้าอย่างนั้นหรือ”

“ใช่แล้ว ติดตามเจ้า!” เจ้าอ้วนชวีพูด

“เจ้ารู้ไหมว่าที่ข้าไปเทือกเขาสั่วเฟยย่าในครั้งนี้ ไม่มีแผนที่จะกลับมาอีกแล้วนะ ฝึกประสบการณ์ในเทือกเขาสองปี หลังจากนั้นก็ออกไปข้างนอก ถ้าหากเคราะห์ร้ายก็ไม่แน่ว่าอาจตายอยู่ข้างนอกนั่นก็ได้” ซือหม่าโยวเย่ว์ส่ายหน้า ไม่เห็นด้วยกับการที่เจ้าอ้วนชวีจะติดตามตน

“แต่ข้าคุยกับคนที่บ้านมาเรียบร้อย พวกเขาก็รู้ว่าข้าอาจจะไม่กลับมาอีกแล้ว แต่ถ้าหากออกไปข้างนอกแล้วไปได้ดี ก็ย่อมดีกว่าติดอยู่ในสถานที่เล็กๆ แห่งนี้อยู่แล้ว ข้าเองก็อยากออกไปเห็นโลกภายนอกเช่นเดียวกัน” เจ้าอ้วนชวีพูด

ซือหม่าโยวเย่ว์อับจนคำพูด เธอเบนสายตาไปทางเว่ยจือฉี เขายักไหล่ “ข้าก็กลับบ้านมาแล้วเช่นกัน เดิมทีบิดามารดาข้าไม่เห็นด้วยที่ข้าจะจากไป แต่ท่านอาของข้าบอกว่าออกไปข้างนอกแล้วน่าจะแข็งแกร่งกว่าอยู่ที่นี่ นอกจากนี้ยังไปกับเจ้าด้วย ต้องเดินไปได้ไกลกว่าอย่างแน่นอน ต่อให้ต้องสละชีวิตเพราะเหตุนี้ ชีวิตนี้ก็นับได้ว่าคุ้มค่าแล้ว”

คิดไม่ถึงว่าเขาก็มีความคิดเช่นนี้ด้วยเหมือนกัน

ซือหม่าโยวเย่ว์มองเป่ยกงถังและโอวหยางเฟย เป่ยกงถังพูดว่า “ถึงอย่างไรข้าก็มิอาจอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิตได้หรอก ข้ายังมีความแค้นที่ต้องชำระ ในเมื่อช้าเร็วก็ต้องจากไปอยู่ดี เช่นนั้นมิสู้อยู่กับพวกเจ้าดีกว่า ถึงอย่างไรก็เป็นพวกเจ้าที่สอนให้ข้ารู้จักความสามัคคี”

โอวหยางเฟยก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย ก่อนหน้านี้เขาก็เป็นคนของอาณาจักรทักษิณายาตรอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าเผชิญกับสิ่งใดจึงได้หลบหนีมาที่นี่ แต่ในที่สุดก็ต้องกลับไปอยู่ดี

“พวกเจ้าคิดกันดีแล้วจริงๆ หรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองพวกเขา “โดยเฉพาะจือฉีกับเจ้าอ้วน เมื่อใดที่พวกเราออกไปแล้วก็ยากนักที่จะได้กลับมานะ”

“คิดดีแล้วน่า ข้าคิดดีแล้ว ไปกันเสียทีเถิด” เจ้าอ้วนชวีลากร่างกายอันอ้วนกลมปีนป่ายขึ้นไปบนหลังของย่ากวง แต่กลับถูกซือหม่าโยวเย่ว์ดึงคอเสื้อเอาไว้แล้วลากลงไป

“นั่งสัตว์อสูรวิเศษของเจ้าไปเองสิ อย่าไปทับย่ากวงเชียวนะ”

เจ้าอ้วนชวีรู้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์พูดเช่นนี้ก็หมายความว่ายอมเห็นด้วยแล้ว เขาส่งเสียงพึมพำเรียกสัตว์อสูรวิเศษของตนออกมาแล้วขึ้นไปขี่มัน

พวกเว่ยจือฉีก็เรียกสัตว์อสูรวิเศษของตนออกมาเช่นเดียวกัน ทั้งห้าคนขี่สัตว์อสูรผูกพันธสัญญาของตนวิ่งตรงไปยังเมืองเบื้องหน้า ไปที่นั่นเพื่อใช้ค่ายกลนำส่งไปยังเทือกเขาสั่วเฟยย่า

สองวันให้หลัง พวกเขาก็มาถึงยังตีนเขาสั่วเฟยย่า พวกเขามองดูเทือกเขาสูงตระหง่านแล้วจึงเกิดความรู้สึกอยากแหงนหน้าขึ้นไปมอง

“โอวหยาง เจ้าแน่ใจหรือว่าสภาพแวดล้อมของที่นี่ดีที่สุดแล้วน่ะ” เจ้าอ้วนชวีเห็นหุบผาช่องเขามากมายจึงมองโอวหยางเฟยอย่างสงสัย

เพราะพลังยุทธ์ของพวกเขาทั้งห้าล้วนสูงส่ง ดังนั้นจึงตัดสินใจจะหาสถานที่ที่สภาพแวดล้อมดีสักหน่อย และมีสัตว์อสูรวิเศษที่ระดับพลังยุทธ์ค่อนข้างต่ำสักหน่อย ค่อยๆ ยกระดับพลังยุทธ์ของตนเอง

เพราะก่อนที่โอวหยางเฟยจะไปยังเมืองหลวงก็เคยอยู่ที่เทือกเขาสั่วเฟยย่ามาเป็นระยะเวลาหนึ่ง ดังนั้นจึงให้โอวหยางพาพวกเขาเข้าไปในภูเขา

โอวหยางเหลือบมองเจ้าอ้วนชวีปราดหนึ่งแล้วพูดอย่างเรียบๆ ว่า “หรือเจ้าจะมานำเล่า”

เจ้าอ้วนชวีรีบโบกไม้โบกมือ ล้อเล่นแล้ว เขาไม่เคยมาที่นี่เสียหน่อย แล้วจะนำทางทุกคนได้อย่างไรกันเล่า

“โอวหยาง นี่คือสถานที่ที่เจ้ามาใช่หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“อืม ทางฟากโน้นของเทือกเขาก็คือสี่อาณาจักรใหญ่ แต่เทือกเขานี้กว้างกว่าพันลี้ และยิ่งเข้าไปใกล้ศูนย์กลาง ระดับขั้นของสัตว์อสูรวิเศษก็ยิ่งสูง แถมในบรรดานั้นยังมีสัตว์อสูรเทพจำนวนไม่น้อยอีกด้วย” โอวหยางเฟยพูด

“อันตรายถึงเพียงนี้แล้วเจ้าเข้ามาได้อย่างไรกันโอวหยาง” เจ้าอ้วนชวีมองโอวหยางเฟยอย่างเลื่อมใส

“มีคนจำนวนไม่น้อยต้องตายไปเพื่อปกป้องข้า” โอวหยางเฟยไม่อยากจะพูดอะไรมากจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “คืนนี้พวกเราพักผ่อนกันที่ตีนเขาก่อนดีกว่า ตรวจสอบสักหน่อยว่าของที่นำมาครบถ้วนหรือไม่ หลังจากนั้นพรุ่งนี้ค่อยเข้าไปในเทือกเขาก็แล้วกัน”

“ดี พวกเราตั้งค่ายพักที่ตีนเขาแล้วกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

พวกเขาหาที่ว่างแห่งหนึ่ง จากนั้นแต่ละคนก็หยิบกระโจมออกมาแล้วเริ่มตั้งกระโจม

“เอ๊ะ ตรงนี้มีร่องรอยคนเคยอยู่มาก่อนนี่นา!” เมื่อเห็นร่องรอยตะปูยึดกระโจมหลายรอย เจ้าอ้วนชวีจึงร้องขึ้น

“ของล้ำค่าภายในเทือกเขาแห่งนี้จะต้องมากกว่าที่เทือกเขาผู่สั่วอย่างแน่นอน จะต้องมีคนคิดเข้าไปในเทือกเขาเพื่อหาสมบัติมากมาย เพียงแต่พลังยุทธ์ไม่สูงพอจึงมีคนเข้าไปในเทือกเขาได้น้อยเท่านั้นเอง แต่มิใช่ว่าจะไม่มี” เว่ยจือฉีพูด “ถ้าหากพวกเราพลังยุทธ์สูงย่อมต้องเลือกมาที่นี่มากกว่าไปที่เทือกเขาผู่สั่วอยู่แล้ว”

เจ้าอ้วนชวีคิดๆ ดูแล้วก็ถูกต้อง ผู้ที่ไปยังเทือกเขาผู่สั่วมีเป็นจำนวนมาก เมื่อเทียบกันแล้วสิ่งของล้ำค่าจึงมีน้อย มิสู้มาลองเสี่ยงดวงดูที่นี่ดีกว่า

“นอกจากนี้ผู้ที่มีพลังยุทธ์สูงเหล่านั้นก็อยากจะมาหาประสบการณ์ที่นี่อีกด้วย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดเสริม

“เจ้าอ้วน พอไปถึงข้างนอกแล้วพวกเรายังจะได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อนมากมาย ถ้าหากเจ้าพบเห็นอะไรก็ตกใจไปหมดเช่นนี้ พอพวกเราออกไปก็จะทำเป็นไม่รู้จักเจ้าแล้วนะ อายเขา!” เป่ยกงถังพูดยิ้มๆ

“เป่ยกง เจ้าเป็นสาวงามภูเขาน้ำแข็งเหมือนเมื่อก่อนจะน่ารักกว่านะ” เจ้าอ้วนชวีฟังแววเย้าแหย่ในน้ำเสียงของเป่ยกงถังออกจึงบ่นอุบ

เมื่อตั้งกระโจมเสร็จแล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์จึงทำอาหารมื้อเย็นให้กับทุกคน เพราะตอนนี้ยังใช้งานมณีวิญญาณไม่ได้ เธอจึงเตรียมผักจำนวนหนึ่งวางเอาไว้ในแหวนเก็บวัตถุ นอกจากนี้ยังเป็นผักล้วนๆ ไม่มีเนื้อสัตว์เลย

พอกินอาหารเย็นเสร็จแล้ว ทุกคนจึงกลับไปฝึกยุทธ์ที่กระโจมของแต่ละคน พวกเขาค้นพบว่าปราณวิญญาณของสถานที่แห่งนี้เข้มข้นกว่าสถานที่อื่นๆ อยู่พอสมควร ถ้าหากบำเพ็ญที่นี่ พลังยุทธ์จะต้องก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว

ซือหม่าโยวเย่ว์นั่งอยู่บนเตียงพลางมองสร้อยข้อมือม่านถัว ตั้งแต่สามเดือนก่อนที่หมัวซาเอามณีวิญญาณและเจดีย์เจ็ดชั้นไป ก็ไร้ซึ่งข่าวคราวมาโดยตลอด แม้กระทั่งความเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยก็ยังไม่มี เธอไม่รู้เลยว่าพวกเขาอยู่ข้างในนั้นเป็นเช่นไรกันบ้าง ไม่รู้ว่าการผสานรวมของมณีวิญญาณและเจดีย์เจ็ดชั้นเป็นเช่นไร และตอนนี้หมัวซาเป็นอย่างไรบ้าง

แต่ทุกๆ คืน เธอก็ยังหยิบเอาต้นผลอสรพิษทองคำออกมาวางไว้ข้างตัวให้มันอยู่ใกล้ๆ สร้อยข้อมือ เพราะเธอค้นพบว่าดูเหมือนหมัวซาจะดูดซับไอพลังที่ต้นผลอสรพิษทองคำแผ่ออกมาได้

เธอลอบทอดถอนใจแล้วนำต้นผลอสรพิษทองคำออกมาวางไว้ข้างเตียง เพราะยามกลางวันได้แต่วางเอาไว้ภายในแหวนเก็บวัตถุ นำออกมาได้เฉพาะยามวิกาลเท่านั้น ดังนั้นสภาพของมันในตอนนี้จึงดูไม่ดีสักเท่าใดนัก

ด้านบนกระโจมของเธอมีรูที่เปิดเอาไว้โดยเฉพาะให้แสงจันทร์ส่องผ่านเข้ามาได้ ทุกคืนหลังได้รับแสงจันทร์ ต้นผลอสรพิษทองคำจึงค่อยฟื้นตัวขึ้นมาได้บางส่วน

“ถ้าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปก็คงได้แต่ปลูกเจ้ากลับสู่ธรรมชาติแล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองต้นผลอสรพิษทองคำอย่างเจ็บปวดใจ ใบไม้ด้านบนเหลืองกรอบไปไม่น้อยแล้ว “หมัวซา ต้องอีกนานเท่าใดกันท่านจึงจะทำสำเร็จน่ะ เฮ้อ…”

เธอนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง เข้าสู่สภาวะการบำเพ็ญอีกครั้ง

เพราะฝึกสัตว์อสูรวิเศษไปเป็นจำนวนมากตลอดสองเดือนมานี้ ได้รับพลังวิญญาณสะท้อนกลับมาไม่น้อย บวกกับเวลาบำเพ็ญของเธอเพิ่มมากขึ้น ภายในเวลาหนึ่งเดือนกว่าเธอจึงเลื่อนไปถึงระดับปรมาจารย์วิญญาณขั้นแปด ตอนที่จากเมืองหลวงมา เธอก็สัมผัสถึงขอบเขตของขั้นเก้าได้รางๆ แล้ว