บทที่ 192 ข้ามาผิดทาง

ไหปีศาจ

บทที่ 192
ข้ามาผิดทาง

เพื่อช่วยฉูจงฉวนปรับแต่งสัตว์วิญญาณของเขา ลั่วอู๋ได้จ่ายแต้มเซียนที่มีทั้งหมดไป ตอนนี้เขาจึงกำลังตกที่นั่งลำบาก

หากไม่มีแต้มเซียนเขาก็ทำสิ่งที่ผ่านการทดสอบรอบแรกของผู้ฝึกฝน
การสอบคัดเลือกของเฉียนหลงแบ่งออกเป็นหลายส่วน เพื่อให้สอดคล้องกับความสามารถของผู้เข้ารับการทดสอบแต่ละคน

ผู้ใช้พลังวิญญาณ
ผู้ปรับแต่งพลังวิญญาณ
นักเล่นแร่แปรธาตุ
นักรบ
และความถนัดอื่น ๆ อีกหลายอย่าง

ซึ่งส่วนที่มีผู้เข้ารับการทดสอบมากที่สุดก็คือส่วนของผู้ใช้พลังวิญญาณ
ลั่วอู๋ได้รู้ถึงเรื่องนี้ เขาจึงเลือกเข้าไปในส่วนสำหรับทดสอบผู้ปรับแต่งพลังวิญญาณ

“ข้ายุ่งเกินไป จนดันลืมเรื่องสำคัญไปซะได้ ข้าจะทำอย่างไรต่อไปดีล่ะทีนี้” ลั่วอู๋ปวดหัวไปชั่วขณะ
สิ่งที่ลั่วอู๋ไม่ทันสังเกตก็คือมีดวงตาคู่หนึ่งคอยจ้องมองเขาอยู่ตลอดเวลา

“เจ้าเห็นเขาแล้วใช่ไหม ?” มู่เฉิงกล่าวขึ้นช้าๆ
เบื้องหน้าของเขาคือชายหนุ่มที่มีดวงตาเศร้าหมองในชุดเสื้อคลุมสีดำ เขาผอมมากจนให้ความรู้สึกอึดอัด
มีรอยสักตะขาบสีม่วงที่แขนของชายหนุ่มคนนั้น ซึ่งมีลักษณะเหมือนของจริงและดูทะลุทะลวงมาก
บนไหล่ของเขามีแมลงปีกแข็งสีทองขนาดเท่าเล็บมือที่มีลวดลายเป็นรูปหมู่ดาวสิบสองดวงที่ด้านหลัง ทำให้ภาพลักษณ์ของเขาเต็มไปด้วยความลึกลับ
“เห็นไหม งั้นเหรอ ? เจ้าต้องการให้ข้าขัดขวางการทดสอบของเขาสินะ” ชายหนุ่มพยักหน้าพร้อมเม้มปากเล็กน้อย “ได้เลยมู่เฉิง ข้าจะทำมันให้เจ้าเอง ด้วยวิชาการควบคุมแมลงพิษของข้า”
“ดีมาก”

จากนั้นชายหนุ่มก็พยักหน้าและเดินเข้าไปในบริเวณที่มีการทดสอบผู้ปรับแต่งพลังวิญญาณ
มู่เฉิงหัวเราะเยาะกับตัวเอง
ลั่วอู๋เจ้าต้องไม่ได้เข้าร่วมสำนักเฉียนหลง

ความเกลียดชังระหว่างตระกูลฉูและตระกูลมู่เป็นที่ทราบกันดี
และด้วยที่ลั่วอู๋ยืนอยู่ข้างตระกูลฉู อีกทั้งยังทำให้เขาต้องเสียหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าและทำให้เขาต้องเสียใจมาเป็นเวลานาน
ยิ่งเมื่อไม่นานมานี้ที่สำนักโล่พิทักษ์ได้หน่วยสยบมังกรมาเป็นผู้สนับสนุนตัดหน้าเขาอีก
มู่เฉิงจึงต้องเริ่มสนใจเขา แล้วใช้งานชายคนนี้

ชายหนุ่มคนนี้คือหยีเทียนเฉิน เขาเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณที่มู่เฉิงพบโดยบังเอิญที่หุบเขามรณะ เขามีวิชาอันแข็งแกร่ง แปลกประหลาด และคาดเดาไม่ได้ ด้วยความสามารถในการควบคุมแมลงพิษ
ดังนั้นหลังจากที่เขารู้ว่าลั่วอู๋ได้โควตาจากตระกูลฉู

มู่เฉิงก็มอบโควตาให้แก่หยีเทียนเฉินและขอให้เขาทำหน้าที่จัดการกับลั่วอู๋
แน่นอนว่าเขายังไม่สามารถทดสอบผลการทำลายล้างในวิชาของหยีเทียนเฉิน เพราะวิชาของหยีเทียนเฉินทำให้มู่เฉิงรู้สึกขนลุกเกินไป

ในพื้นที่ทดสอบคุณสมบัติของผู้ปรับแต่งพลังวิญญาณ
มีผู้ปรับแต่งพลังวิญญาณระดับฝึกหัดเข้ามาทดสอบหลายคน

ลั่วอู๋มองดูอย่างระมัดระวัง ซึ่งมันก็สมกับเป็นการสอบคัดเลือกของเฉียนหลงจริง ๆ ข้อสอบนั้นเรียกได้ว่ายากมาก
การทดสอบนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การแสดงทักษะในการปรับแต่งเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการทดสอบเกี่ยวกับความรู้ในแง่มุมต่าง ๆ ของผู้ปรับแต่งที่มีต่อสัตว์วิญญาณอีกด้วย สามารถกล่าวได้ว่ามันครอบคลุมมากเลยทีเดียว
บางคนก็รู้สึกประหลาดใจในระดับความสามารถอันยอดเยี่ยมของตนเองหรือบางคนก็อับอายขายหน้า แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาดูมีความสุขมาก
อย่างไรก็ตามเหล่าผู้แพ้ดูจะตอบสนองมากเกินไปหน่อย
พวกเขาสลดใจอย่างไม่น่าเชื่อและบางคนก็ถึงกับร่ำไห้ บางคนก็พูดเกินจริงตะโกนจริง ว่ามีกลไกบางอย่างอยู่ภายในการทดสอบ
แล้วเขาก็ถูกโยนออกไป

ลั่วอู๋รออย่างเหม่อลอย
“คนต่อไป” ผู้ทดสอบเป็นชายชราผมขาว ลมหายใจของเขาสงบและสามารถรู้สึกได้ว่าเขาเป็นผู้ปรับแต่งระดับสูง

หยีเทียนเฉินนั้นเดินออกมา
และการปรับแต่งสัตว์วิญญาณก็ได้เริ่มต้นขึ้น
หยีเทียนเฉินเรียกด้วงสีทองหนาออกมา มันมีขนาดเล็กมากขนาดเท่าเมล็ดข้าว และมีเครื่องหมายรูปดาวบนร่างของมัน
ผู้คนต่างตกใจนี่มันคือสัตว์วิญญาณอะไร

ทว่าทางชายชรากลับรู้สึกประหลาดใจมาก “นี่มันแมลงกินวิญญาณไม่ใช่เหรอ ? แต่แมลงกินวิญญาณประเภทนี้มันสูญพันธุ์ไปแล้วนี่นา?”

หยีเทียนเฉินเพิกเฉยต่อความประหลาดใจของชายชราและเริ่มการทดสอบด้วยตัวเขาเอง
การทดสอบผ่านไปอย่างง่ายดาย
แมลงเหล่านั้นดูเหมือนจะสามารถสื่อสารกับหยีเทียนเฉินได้
“นี่มันวิชาการเพาะเลี้ยงแมลงกินวิญญาณที่หายสาบสูญไปนาน” ชายชราประหลาดใจ
ลั่วอู๋ใช้ไหปีศาจเพื่อตรวจสอบข้อมูลของแมลงกินวิญญาณ มันทำให้เขาแปลกใจ

แมลงกินวิญญาณนั้นสามารถกลืนกินพลังวิญญาณทุกชนิดได้ จากนั้นก็เปลี่ยนมาเป็นพลังวิญญาณของมันเอง
เดิมทีมันเป็นสัตว์วิญญาณที่อ่อนแอมาก
แต่ภายใต้การบังคับบัญชาของหยีเทียนเฉิน พวกมันจึงได้รวมตัวกันและทรงพลังมาก
พวกมันสามารถเจาะเข้าไปในร่างกายของ สัตว์วิญญาณและกินพลังวิญญาณ จากนั้นก็เปลี่ยนให้มาเป็นพลังวิญญาณของพวกมัน ซึ่งสามารถทำได้แม้กระทั่งดึงพลังวิญญาณเหล่านั้นกลับมา เพื่อทำการปรับแต่งตัวเอง มันเป็นอะไรที่น่าทึ่งมาก

โจมตีและปรับแต่ง
เมื่อสามารถทำได้ทั้งสองอย่างพร้อมกัน มันจึงกลายเป็นสัตว์วิญญาณที่ทรงพลังมาก
แต่สัตว์วิญญาณประเภทนี้นั้นน่าจะสูญพันธุ์ไปนานแล้ว

สุดท้ายแล้วหยีเทียนเฉินก็ได้ผ่านการทดสอบทั้งหมดอย่างสมบูรณ์แบบ
“เจ้ามันผู้ปรับแต่งระดับสูงชัด ๆ” ชายชราดูตื่นเต้นเล็กน้อย “เจ้าหนุ่ม เจ้ามาจากที่ไหนกัน ปีนี้อายุเท่าไหร่แล้ว”
หยีเทียนเฉินกล่าวช้า ๆ “ข้ามาจากหุบเขามรณะ นามว่าหยีเทียนเฉิน อายุ 22 ปี”

ผู้คนต่างตกใจ
หุบเขามรณะ
นั่นเป็นหนึ่งในสถานที่สุดอันตรายที่ได้รับการยอมรับ
“คนจากหุบเขามรณะนี่เอง ไม่แปลกใจที่เจ้ามีแมลงกินวิญญาณ ว่ากันว่าคงมีเพียงแค่คนแปลก ๆ ในหุบเขามรณะเท่านั้น ที่จะสามารถปรับแต่งสัตว์วิญญาณแบบพวกมันได้อีกครั้ง” ชายชราถอนหายใจ
“ อายุยี่สิบสองปีก็ได้เป็นผู้ปรับแต่งระดับสูงแล้วงั้นเหรอ เจ้าน่ะเป็นอันดับสองในบรรดาคนที่อายุน้อยที่สุดในจักรวรรดิเลยนะเนี่ย”
เมื่อได้ยินคำพูดของชายชราหยีเทียนเฉินก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “อันดับสองงั้นเหรอ ? จากข้อมูลของข้า บอกว่าผู้ปรับแต่งระดับสูงที่อายุน้อยที่สุดตอนนี้น่าจะอายุ 25 ปีไม่ใช่เหรอ ?”

“ถ้าเจ้าปรากฏตัวตั้งแต่ ก่อนหน้านี้เจ้าก็คงสามารถเพลิดเพลินกับตำแหน่งผู้ปรับแต่งระดับสูงที่อายุน้อยที่สุดคนแรกได้อยู่หรอก” ชายชราส่ายหัว “แต่น่าเสียดายที่มีปีศาจสาวอยู่ในเมืองหลวงของจักรวรรดิ นางกลายเป็นผู้ปรับแต่งระดับสูงตั้งแต่อายุได้ 18 ปี”
หยีเทียนเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ งั้นข้าจะกลายเป็นผู้ปรับแต่งระดับปรมาจารย์ที่เด็กที่สุดคนแรกเอง”

เกิดความโกลาหลขึ้น
ช่างเป็นน้ำเสียงที่เย่อหยิ่ง
ชายชราพึมพำอย่างไม่พอใจเล็กน้อย “เจ้าหนุ่มเจียมตัวหน่อยก็ได้นะ”
“เจียมตัวงั้นเหรอ?” หยีเทียนเฉินเหลือบมองชายชราและพูดแผ่วเบา“ ข้าเองก็เป็นผู้ปรับแต่งระดับสูงตั้งแต่อายุแค่ 18 ปี”

ชายชราตกตะลึง
ฝูงชนดูเองก็เช่นกัน
ตั้งแต่อายุแค่18 ปีงั้นเหรอ?
หมายความว่าคนคนนี้กับนางปีศาจร้ายในเมืองหลวงก็เป็นสัตว์ประหลาดระดับเดียวกัน?

หยีเทียนเฉินหันหลังแล้วทำท่าจะเดินจากไป
อย่างไรก็ตามแทนที่จะเดินจากไปเขากลับยืนเฉย ๆ ซ่อนใบหน้าอยู่ภายใต้เสื้อคลุมสีดำ
เขากำลังให้ความสนใจกับลั่วอู๋ เขาตระหนักอย่างชัดเจนว่า เมื่อเขาบอกว่าเขาได้กลายเป็นผู้ปรับแต่งระดับสูงตั้งแต่อายุ 18 ปี มีเพียงลั่วอู๋เท่านั้นที่ไม่ตอบสนองอะไร

แม้แต่สีหน้าประหลาดใจก็ไม่มี
ช่างเป็นคนหยิ่งผยอง
เขาอยากเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นจะทำอะไรได้บ้าง
อย่างไรก็ตามมันต้องน่าสนใจมากแน่ ที่จะได้เห็นแมลงของเขา เข้าไปดูดซับพลังวิญญาณของลั่วอู๋ในระหว่างปรับแต่ง และทำให้เขากลายเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งสัตว์ ด้วยความสับสนวุ่นวายของแก่นวิญญาณ
ใช่แล้ว ในการปรับแต่งสัตว์วิญญาณนั้น ผู้ปรับแต่งจะต้องใช้พลังวิญญาณเพื่อค้นหาสถานะของสัตว์วิญญาณ และเพื่อแยกแยะพลังวิญญาณในเส้นวงจรพลังวิญญาณของมัน
มันเป็นช่วงเวลาที่ไม่สามารถถูกรบกวนได้
และเมื่อพลังวิญญาณไม่เป็นระเบียบผลที่ตามมาก็คือหายนะ

“คนต่อไป” ชายชราพูดต่อ
ที่นี่ก็ถึงคราวของลั่วอู๋แล้ว
หยีเทียนเฉินจ้องมองไปที่ลั่วอู๋

เอาเลยสิ
แสดงให้ข้าดูว่าเจ้าทำอะไรได้บ้าง
แมลงกินวิญญาณทิ้งร่างของเขาอย่างลับๆจากนั้นก็ปีนขึ้นไปบนร่างของลั่วอู๋อย่างเงียบ ๆ
ลั่วอู๋เดินขึ้นไปโดยไม่มีการกระทำใด ๆ เขาเกาหัวของเขาท่ามกลางความสงสัยของผู้คนแล้วกางมือออก “ดูเหมือนข้าจะมาผิดทางขอตัวก่อนล่ะ”
ฝูงชนตกตะลึง
ชายชรากลอกตาอย่างรุนแรง เขาเป็นผู้ทดสอบการคัดเลือกเฉียนหลงมามากมายหลายครั้ง แต่นี่ เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นคนเดินมาผิดทาง
หยีเทียนเฉินแทบจะกระอักเลือดออกมาเต็มปาก

อะไรของเจ้านี่เนี่ย?
มาผิดทางอย่างงั้นเหรอ