ตอนที่198 สายฝนกลางปักกิ่ง
เหอจือจ้องมองไปตามแผ่นหลังของคังฟานและเพื่อนๆของเขาที่กำลังเดินออกไป พร้อมกับสะกิดแขนฉีเล่ยกระซิบเตือนเสียงเบาว่า
“ผู้ชายคนนี้จัดการไม่ได้ง่ายๆ อาจารย์ฉีต้องระวังให้มาก”
ฉีเล่ยพยักหน้าตอบกลับเสียงเรียบเช่นกัน
“ผมรู้ครับ”
ศัตรูที่แข็งกระด้างมักหักง่าย ศัตรูที่อ่อนแอก็ไม่มีพิษสงมากพอที่จะต้องลงมือสังหาร
ส่วนศัตรูประเภทที่สามารถหยืดหยุ่นได้ตามสถานการณ์นั้น กลับเป็นศัตรูที่น่ากลัวที่สุด เพราะหากพลั้งเผลอหรือประมาทเพียงแค่นิดเดียว ก็สามารถถูกอีกฝ่ายสังหารได้อย่างง่ายดาย
เหอจื่อเองก็ฉลาดไม่เบาทีเดียว เมื่อรู้ว่านี่เป็นการต่อสู้ระหว่างชายหนุ่มทั้งสอง มิหนำซ้ำศัตรูก็ใช่ว่าจะจัดการได้ง่ายๆ ในฐานะที่เธอเป็นผู้หญิง ควรจะอยู่เงียบไว้และคอยแอบช่วยเหลือฉีเล่ยอยู่เบื้องหลังจะดีกว่า
หลังจากเหตุการณ์ทุกอย่างจบลง เหอจือก็แนะนำบรรดาเพื่อนสาวของเธอให้ฉีเล่ยได้รู้จัก แต่ละคนล้วนอยู่ในแวดวงสังคมเดียวกันหมด
อย่างคนที่ชื่อเซียวหยา หรือก็คือสาวร่างบอบบางที่สวมแว่นกรอบกลมสีทอง ถึงจะดูเนิร์ดและเหมือนหนอนหนังสือมากก็ตาม แต่พ่อของเธอก็เป็นถึงระดับCEOของบริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งของจีน
ส่วนผู้ชายร่างกำยำสูงใหญ่ที่เธอเรียกให้มาล้อมพวกคังฟานก่อนหน้านี้มีชื่อว่า เฮ่ยซง เขาเป็นลูกชายของประธานบริษัทข้ามชาติชื่อดังของจีน
ส่วนสองสาวที่ยืนไล่พวกคังฟานอยู่ก่อนหน้า พวกเธอมีชื่อว่าต้าปิงกับต้าเสวีย ทั้งคู่เป็นพี่น้องกัน และแน่นอนว่าฐาะทางบ้านของทั้งคู่นั้นจัดว่าร่ำรวยอย่างมากเช่นกัน
หรือพูดง่ายๆก็คือว่า หากไม่มีภูมิหลังหรือฐานะทางบ้านไม่ร่ำรวยจริง ก็คงจะไม่มีโอกาสเข้ามาในวงสังคมนี้ได้แน่
เนื่องจากเหอจือมีทัศนคติที่ค่อนข้างดีต่อฉีเล่ยเป็นทุน มิหนำซ้ำเมื่อครู่อีกฝ่ายยังโชว์ฝีมือ ด้วยการใช้เข็มเล่มเดียวจัดการกับคู่ต่อสู้จนเป็นอัมพาต เพื่อนๆของเหอจื่อจึงได้รู้สึกรักใคร่และอยากสนิทสนมกับฉีเล่ยเป็นพิเศษ
ระหว่างที่กลุ่มเพื่อนของเหอจือกำลังพูดคุยกับฉีเล่ยอย่างสนุกสนานนั้น ทางด้านฮั่วหรู่หยานก็ยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน มิหนำซ้ำยังจับจ้องมาทางกลุ่มของเหอจื่อราวกับกำลังสงสัยอะไรบางอย่าง
เมื่อฉีเล่ยสังเกตเห็นเข้า จึงได้จงใจชวนทุกคนย้ายวงออกไปคุยที่อื่นทันที แต่ขณะที่กำลังจะเดินจากออกไปนั้น จู่ๆฮั่วหรู่หยานก็ร้องตะโกนไล่หลังดังขึ้นว่า
“พวกเธอสองคนอย่างเพิ่งไป”
ฉีเล่ยและเหอจื่อหันหันกลับมามองอีกฝ่ายด้วยแววตาสงสัย ดูท่าผู้หญิงคนนี้เหมือนจะต้องการอะไรบางอย่างจากพวกเขาจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถคาดเดาได้ความคิดของผู้หญิงคนนี้ได้เช่นกัน
“อาจารย์ฉีไม่เคยมีเรื่องกับเธอมาก่อนจริงๆใช่ไหม? คิดดูให้ดีๆ…”
ยิ่งรู้สึกว่าอาจารย์ฉีของเธอมักจะมีพรสวรรค์ในด้าน‘การสร้างศัตรู’อยู่ด้วยแล้ว เหอจื่อก็ยิ่งรู้สึกเป็นห่วงเข้าไปใหญ่ หลังจากเอ่ยถามออกไปแล้ว เหอจื่อก็ก้าวออกมายืนขวางหน้าฉีเล่ยไว้ทันที
ฮั่วหรู่หยาน จับกระโปรงยาวขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้เดินง่ายขึ้น และรีบเดินตรงเข้าไปหาคนทั้งคู่ทันที เรือนร่างอันอวบอิ่มของเธอทำให้ใครๆที่ได้เห็นต่างก็ต้องรู้สึกหลงใหลราวกับต้องมนต์อย่างแท้จริง
ชายหนุ่มคนใดที่คุมสติไม่ได้ดีพอ ต่างต้องเหลือบสายตาจับจ้องราวกับจะกลืนกินโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ฮั่วหรู่หยานยื่นมือนวลเนียนดั่งหยกขาวออกมาให้อย่างเป็นมิตร พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า
“หรู่หยานดีใจมากเลยนะคะ ที่ได้เจอพวกคุณทั้งสองคนในเมืองหลวงแบบนี้ ถ้าไม่รังเกียจ หวังว่าดิฉันจะสามารถเป็นเพื่อนกับพวกคุณได้?”
ฉีเล่ยปราศจากท่าทางลักษณะที่ดูหิวกระหายเหมือนกับผู้ชายคนอื่นๆ ตรงกันข้าม เขากลับดูนิ่งสงบราวกับผิวธารน้ำนิ่งเรียบ ไร้ซึ่งระลอกคลื่นอารมณ์อื่นใดมาเจือปน เป็นความสงบนิ่งดั่งยอดฝีมือควรพึงมี ซึ่งนี่ทำให้เธอรู้สึกประทับใจอย่างยิ่ง
การที่กล้าสร้างศัตรูกลางสาธารณะชนแบบนี้ นั่นย่อมหมายความว่าคนผู้นั้นต้องมีความสามารถบางอย่าง และดูเหมือนว่าชายหนุ่มคนนี้จะมีความสามารถอะไรบางอย่างอยู่จริงๆ
ส่วนสาวหน้อยเหอจื่อนั้น ฮั่วหรู่หยานยิ่งเห็นเท่าไหร่ก็ยิ่งชอบมากขึ้นเท่านั้น เพราะความดื้อรั้นของแม่สาวน้อยคนนี้ ช่างเหมือนกับตัวเองในวัยเด็กเสียเหลือเกิน
แต่น่าเสียดายที่ตัวฮั่วหรู่หยานในตอนนั้น กลับต้องแบกรับภาระความรับผิดชอบของครอบครัว จนท้ายที่สุด ต้องยอมกระโดดลงไปในถังย้อมสีผ้าขนาดยักษ์ที่มีชื่อว่า‘สถานะสังคม’ และได้สูญเสียความเป็นตัวเองไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ
สุดท้ายนี้เธอยังคงเป็นเพียงแค่หยกชิ้นหนึ่ง ที่มีไว้ประดับความยิ่งใหญ่เท่านั้น
เหอจื่อตะลึงงันไปชั่วขณะ แต่ก็ยังยื่นมือออกไปจับมือกับฮั่วหรู่หยาน
หลงจากนั้น ฮั่วหรู่หยานก็หันไปยื่นมือให้กับฉีเล่ย พร้อมกับพูดขึ้นยิ้มๆ
“สุดหล่อ ช่วยทวนชื่อตัวเองอีกทีจะได้ไหม?”
เวลานี้ ชายหนุ่มที่อยู่ในห้องตาก็พากันจ้องมองฉีเล่ยด้วยความอิจฉา ฉีเล่ยยื่นมือออกไปจับมือของอีกฝ่ายไว้พร้อมกับพูดขึ้นด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
“ฉีเล่ยครับ”
ที่ผู้ชายเหล่านั้นต่างก็อิจฉาฉีเล่ย ไม่ใช่เพียงเพราะแค่ฮั่วหรู่หยานเป็นสาวสวย แต่เบื้องหลังของผู้หญิงคนนี้ยังมีอำนาจอิทธิพลเหลือล้นหนุนหลังอยู่ ในโลกแห่งทุนนิยมเช่นนี้ การได้ผูกมิตรกับบุคคลแบบนี้ย่อมได้เปรียบไปกว่าครึ่งแล้ว
ฮั่วหรู่หยานยิ้มและจู่ๆก็เอ่ยขึ้นว่า
“ฉีเล่ย? อืมม…นามสกุลเดียวกับคนที่เพื่อนสนิทของดิฉันแอบชอบอยู่เลย ไว้มีโอกาสเมื่อไหร่ฉันจะแนะนำให้รู้จักนะคะ”
ฉีเล่ยพยักหน้าและกล่าวตอบไปว่า
“การที่เพื่อนคนนั้นสามารถเป็นเพื่อนกับคุณฮั่วได้ แสดงว่าจะต้องไม่ธรรมดาเลย เขาคงจะไม่มามองคนต่ำต้อยอย่างผมหรอกครับ อย่าเลยจะดีกว่า”
ฮั่วหรู่หยานยกมือขึ้นป้องปากหัวเราะคิกคัก แล้วจึงตอบฉีเล่ยกลับไปว่า
“ไม่หรอกค่ะ เธอต้องอยากเจอคุณแน่นอนเชื่อดิฉันสิคะ เอาล่ะ ยินดีที่ได้รู้จักพวกคุณทั้งคู่เลยนะคะ ไว้มีโอกาสค่อยนัดเจอกันใหม่ค่ะ”
ฉีเล่ยกับเหอจือพยักหน้าตอบกลับไปอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ครับ/ค่ะ”
หลังจากที่ฮั่วหรู่หยานหมุนตัวเดินจากออกไปเพียงไม่กี่ก้าว จู่ๆเธอก็หันกลับมาพร้อมโบกมือเรียกฉีเล่ยพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“คุณฉีเล่ย ดิฉันมีเรื่องอยากจะพูดคุยกับคุณเป็นการส่วนตัวค่ะ ไม่ทราบว่าจะสะดวกรึเปล่าคะ?”
ฉีเล่ยเหลือบมองไปทางเหอจื่อเล็กน้อย ก่อนหันไปตอบว่า
“สะดวกครับ”
ฉีเล่ยเดินตามเธอเข้าไปที่มุมหนึ่งของงานเลี้ยง และทันทีที่ไปถึง ร่างของฮั่วหรู่หยานก็เอนพิงลงไปบนหน้าอกของฉีเล่ย
ขณะที่เรือนร่างอันงดงามของเธอเข้าสัมผัสร่างของเขานั้น ฉีเล่ยสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมหวานเสมือนกับมีพลังเหนือธรรมชาติอะไรบางอย่างแฝงเร้นอยู่ สิ่งนี้กำลังเย้ายวนให้เขาเชยชมผู้หญิงคนนี้ นำพาอารมณ์ของเขาให้รู้สึกหลงใหลคล้อยตามไปพร้อมกับจินตนาการ
ฮั่วหรู่หยานขยับใบหน้าเข้าใกล้ใบหูของฉีเล่ย พร้อมเปล่งเสียงอ่อนกระซิบว่า
“ฝากทักทายน้องชูวโม่ด้วยนะคะ”
“ชูวโม่?”
ฉีเล่ยที่ได้ยินชื่อนี้ก็ถึงกับผงะ
“ก็…หลินชูวโม่ไงคะ”
หลังจากที่พูดจบ ฮั่วหรู่หยานก็ดีดตัวผละออกจากอีกฝ่ายทันที ก่อนจะหันหลังเดินจากไปโดยไม่มีเหลียวกลับมามองอีกเลย
ฉีเล่ยได้แต่ยืนนิ่งแข็งค้างเป็นรูปปั้นหินอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็เข้าใจทุกอย่างได้ทะลุปรุโปร่งว่า เพราะเหตุใดจู่ๆฮั่วหรู่หยานถึงได้ปรากฏตัวขึ้นมาช่วยเหลือเขา ที่แท้เธอก็รู้จักกับหลินชูวโม่นี่เอง
แต่…นี่มันเป็นไปได้ยังไงกัน?
แม้ว่าภูมิหลังของหลินชูวโม่จะดูแข็งแกร่งอยู่บ้าง แต่เธอก็เป็นแค่อาจารย์สอนมหาวิทยาลัยแพทย์ และเป็นเจ้าของคลินิกเสริมความงามเท่านั้นเองไม่ใช่เหรอ?
เมื่อเขาเดินกลับมา เหอจื่อที่โทรไปสอบถามข้อมูลของฮั่วหรู่หยานกับหน่วยข่าวกรองของเธอ ก็รีบอธิบายให้ฉีเล่ยฟังว่า ฮั่วหรู่หยานเป็นเจ้าของคนใหม่คลับไฮโซแห่งนี้ และภูมิหลังของอีกฝ่ายก็ค่อนข้างแข็งแกร่งมากทีเดียว
ยิ่งได้ฟังแบบนั้นฉีเล่ยก็ยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่ ในเมื่ออีกฝ่ายสถานะทางสังคมของฮั่วหรู่หยานสูงส่งขนาดนี้ แล้วเธอไปเกี่ยวข้องกับหลินชูวโม่ได้ยังไงกัน?
เมื่อเห็นว่าฉีเล่ยเหม่อลอยจนผิดปกติ เหอจื่อจึงรีบสะกิดแขน พร้อมกับเอ่ยถามขึ้นด้วยวความสงสัยว่า
“เมื่อกี้เธอพูดอะไรกับอาจารย์เหรอค่ะ?”
“ไม่มีอะไรหรอก แค่ให้ฝากผมไปทักทายเพื่อนคนหนึ่งของเธอเท่านั้นเอง”
เหอจื่อพยักหน้าแล้วพูดขึ้นว่า
“กลับกันดีกว่าค่ะอาจารย์”
“ไม่รอหูหนิ่วเหรอ?”
“ปล่อยเธออยู่ที่นี่แหละ ดูท่าจะเครื่องติดแล้ว ถ้ารอยัยนี่สงสัยยาวจนเช้าแน่นอน”
ทั้งคู่เดินลงลิฟต์แก้วไป แต่เพราะเธอไม่อยากขับรถกลับจึงเอ่ยชวนฉีเล่ยว่า
“อาจารย์ฉี ไปเดินเล่นกันเถอะ ก่อนออกมาฉันทิ้งกุญแจรถให้หูหนิ่วขับกลับเอง หนูอยากไปมหาวิทยาลัย”
“ได้สิ”
ในยามรัตติกาลที่มืดมิด ท้องฟ้าวันนี้ไร้ดวงดาว อากาศค่อนข้างอบอ้าวดูคล้ายว่าฝนกำลังจะตกลงมาเต็มที แต่ดูเหมือนว่า จะไม่ส่งผลกระทบต่อชายหญิงคู่หนึ่งที่กำลังเดินเล่นอยู่เลยแม้แต่น้อย
ทั้งคู่พากันเดินเที่ยวตลาดกลางคืนที่ไฟส่องสว่างไสว ทั้งสองคนต่างก็คลี่ยิ้มและหัวเราะให้กันและกันอย่างสนุกสนาน สร้างความสดใสให้แก่ทุกสถานที่ที่ทั้งคู่เดินผ่านไป
ระหว่างทางไปมหาวิทยาลัย จู่ๆฉีเล่ยก็พูดขึ้นว่า
“เรื่องวันนี้…ผมต้องขอขอบคุณนะครับ”
เป็นอีกครั้งที่เหอจื่อยืนหยัดช่วยเหลือเขา และทำให้ฉีเล่ยรู้สึกเกรงใจอีกฝ่ายมากจริงๆ
เหอจือยิ้มและตอบกลับไปอย่างไม่ใส่ใจว่า
“ขอบคุณอะไรกันล่ะคะ? ไม่เห็นต้องเกรงใจขนาดนี้เลย”
แค่ได้เดินเคียงข้างกับฉีเล่ยโดยไม่มีเรื่องหนักหัวอะไรให้คิด มันก็มีความสุขมากแล้วสำหรับเธอ
“ก็ผมทำให้คุณต้องลำบาก เกรงใจน่ะครับ”
“ไม่เห็นลำบากตรงไหนเลย แต่จะว่าไปแล้ว….ผู้หญิงคนนั้นก็จริงๆเลยนะคะ ถึงแม้พ่อของหนูจะไม่เคยอบรมหนูอย่างเข้มงวดจริงๆจัง แต่หนูก็ไม่เคยทำนิสัยเสียแบบผู้หญิงคนนั้นเลย ไม่เห็นจะต้องมีรถหรูขับ ไม่เห็นต้องเดินพกกระเป๋าแพงๆ หรือข่มใครๆไปทั่วแบบนั้นเลย คนพวกนั้นคิดว่าเลือดตัวเองเป็นสีทองรึยังไง? แค่คำว่ามนุษย์ยังไม่ควรค่าเลยด้วยซ้ำ!”
จากคำพูดที่เปล่งดังออกมาจากปากของเธอ เหอจื่อได้ตัดสินและลดค่าของพวกคังฟานให้ต่ำกว่าบรรทัดฐานของมนุษย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม…”
เมื่อพูดประโยคนี้ออกมา เหอจื่อก็หยุดเดินและหมุนตัวกลับมาสบตากับฉีเล่ยพร้อมกับพูดต่อว่า
“หนูจะไม่ยอมให้คนพวกนั้นรังแกอาจารย์ฉีได้หรอก!”
ชั่วขณะนั้นเอง นัยน์ตาคู่ใสบริสุทธิ์ของเธอก็ได้สะท้อนให้เห็นถึงความหมายอะไรบางอย่างออกมา ที่แม้แต้ฉีเล่ยก็ยังสามารถรู้สึกได้
แต่เมื่อฉีเล่ยกับเหอจื่อเดินมาถึงหน้าประตูรั้วมหาวิทยาลัย หยาดฝนก็กลั่นตัวและกระหน่ำพร้อมเสียงซู่วลงมาชุดใหญ่
อย่างที่ผู้คนพูดกันไม่ผิดจริงๆ ฝนทางตอนเหนือน่ากลัวกว่าฝนทางตอนใต้มากจริงๆ ก่อนหน้านี้ก็มีเพียงแค่ฟ้าแลบที่ปรากฏขึ้นกลางสายฝน แต่พอผ่านไปสักพัก ตอนนี้มีทั้งฟ้าแลบและฟ้าผ่าดังเปรี้ยงปร้าง และลมก็กระโชกแรงราวกับพายุจะเข้า
สายหมอกกระจายไปทั่วบริเวณจนยากเกินกว่าจะมองเห็นสิ่งต่างๆรอบตัว แม้จะยืนอยู่ข้างกัน แต่ฉีเล่ยก็แทบจะมองไม่เห็นใบหน้าของสาวน้อยอย่างเหอจือ
เหอจือได้แต่คลี่ยิ้มกว้างและยื่นมือออกไป
เสมือนกับคู่สามีภรรยาที่กำลังวิ่งกลับบ้านในยามค่ำคืนที่โหมกระหน่ำด้วยสายฝน พวกเขาทั้งสองจับมือและวิ่งเข้าไปในตัวอาคารเรียนด้วยกันพร้อมเสียงหัวเราะ บนใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม
เหอจื่อมองดูเม็ดฝนที่กระหน่ำลงจากภายในตัวอาคาร ที่ดูแล้วมีแนวโน้มว่าจะหนักขึ้นเรื่อยๆ เธอพยายามที่จะไม่แสดงสีหน้าปิติสุขให้ผุดขึ้นบนใบหน้า เหลือบมองไปยังฉีเล่ยที่อยู่ข้างๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“อาจารย์ฉีคะ หลังจากฝนหยุดตกแล้วจะกลับยังไงคะ?”