ตอนที่ 108 จิ่วเยี่ยมาได้ทันการ

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

ธาตุวารีของมู่เฉียนซีนั้นมิใช่ธาตุวารีของจอมภูตพลังธาตุธรรมดา ๆ แต่เป็นธาตุวารีจาก—แหวนมังกรเทพวารี หนึ่งในมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ แม้ตอนนี้พลังวิญญาณของนางจะอ่อนแอยิ่งนัก พลังนี้ก็สามารถปกป้องนางจากเปลวไฟที่ลุกโชนนั้นได้

ร่างนางแฉลบผ่าน ค่อย ๆ โรยร่างลงไปยังข้าง ๆ บัวอัคคีสามก้าน  เมื่อมู่อีเห็นเช่นนี้รู้สึกแสนจะโล่งใจ ‘ท่านผู้นำไม่เป็นอะไร ช่างวิเศษดีแท้!’

มู่เฉียนซียื่นมือไปเก็บบัวอัคคีสามก้านมา ใบหน้านางเผยรอยยิ้มพึงพอใจ มันคือสมุนไพรวิญญาณระดับเก้า ตั้งแต่มาในดินแดนแห่งนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เจอสมุนไพรวิญญาณระดับเก้า ช่างน่าตื่นเต้นนัก!

ขณะที่มู่เฉียนซีกำลังจะล่าถอยไปพร้อมด้วยสมุนไพรวิญญาณระดับเก้าในมือ มู่อีและพวกตะโกนขึ้น สีหน้าพวกเขาดูเซียว ๆ ซีด ๆ

“ท่านผู้นำ ระวัง!”

“หญิงโง่! แค่สมุนไพรวิญญาณระดับเก้าเพียงต้นเดียว เจ้าไม่รับรู้ถึงอันตรายเลยรึ ?!” เสียงโกรธเกรี้ยวของอาถิงดังขึ้นราวเสียงฟ้าผ่า

ตอนนี้นางรู้สึกได้ถึงพลังอันน่าสยดสยองที่มาจากด้านหลัง เมื่อหันศีรษะไปก็เห็นประจักษ์แก่สายตา  สัตว์ประหลาดอัคคีใบหน้าดุร้าย ทั้งยังร่างกายประหลาดนั่น มันพ่นเปลวไฟร้อน ๆ ที่ร้อนแรงเสียยิ่งกว่าดวงสุริยันส่องกระทบร่างนาง  ทันใดนั้น บรรยากาศมรณะกระจัดกระจายปกคลุมทั่วบริเวณ

เวลานี้บรรยากาศโดยรอบเสมือนกับจะหยุดชะงักค้าง เปลวไฟที่พุ่งมาตรงหน้านางก็หยุดลงด้วย  นี่คือความสามารถพิเศษในการหยุดเวลาของอาถิงนั่นเอง อาถิงตะโกนขึ้น

“หญิงอัปลักษณ์! เจ้ามัวตกใจอะไรอยู่ รีบหนีเร็วเข้าซี่!”

ได้ยินเช่นนี้ มู่เฉียนซีไม่รอช้า ร่างนางเสมือนกะพริบกลับไปที่ทางเดิน

— ตูม! —

เปลวไฟของสัตว์ประหลาดนั้นพุ่งผ่านไปในอากาศ ตกกระทบกับหินจนหินแตกก่อเกิดเป็นหลุมขนาดยักษ์ใหญ่!

“ท่านผู้นำ!” มู่อีร้องเรียก เห็นนางกลับออกมาอย่างปลอดภัยพลันรู้สึกโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอกก็มิปาน

“อย่ามัวแต่ยืนอึ้งอยู่ รีบออกไปจากที่นี่เร็วเข้า!” มู่เฉียนซีตะโกนก้อง

“ขอรับ!”

แน่นอนว่าสมุนไพรวิญญาณระดับเก้าที่ล้ำค่าเช่นนี้ยากที่จะได้มาครอบครอง ในขณะเดียวกันนั้น เสียงคำรามของสัตว์ประหลาดอัคคีก็ดังก้องขึ้น “เจ้าพวกมนุษย์บัดซบ! หยุดเดี๋ยวนี้”

ไม่เพียงคำรามเปล่า มันพ่นเอาเปลวไฟอันบ้าคลั่งไล่ตามด้านหลังพวกมู่เฉียนซีไปติด ๆ มู่อีและพวกรีบพาท่านผู้นำของพวกเขาวิ่งหนีความตายกันอย่างสุดกำลัง

— ตูม! —

มู่เฉียนซีและพวกทั้งวิ่งทั้งกระโดดพลางเกลือกกลิ้งลงไปบนพื้นดิน ทว่าในเวลานี้ เปลวไฟนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาราวกับมังกรยักษ์ร่างหุ้มเพลิง  นางวางบัวอัคคีสามก้านลง กล่าวอย่างจนปัญญา “ข้าไม่รู้นี่ว่าบัวอัคคีสามก้านนี้มีเจ้าของแล้ว อีกอย่าง ข้าก็ไม่ได้ตั้งใจจะเอามันออกมาเสียหน่อย หากข้าคืนให้เจ้าในตอนนี้ถือว่าเราหายกัน เจ้าจะว่าอย่างไร ?”

เสียงที่คำรามโกรธกรุ่นของสัตว์ประหลาดอัคคีไม่ลดน้อยลงเลย “ใครจะสนใจดอกบัวนั่น พวกมนุษย์บัดซบ! พวกเจ้ามารบกวนการนอนของข้า ข้าไม่ยอมอภัยให้ง่าย ๆ แน่ พวกเจ้าทั้งหมดต้องตาย!”

ขณะที่เปลวไฟอันน่าสยดสยองพุ่งออกมา เงาร่างสีขาวพลันสว่างวาบในทันใด

“เจ้าบ้า! คิดจะฆ่านายท่านของข้าเช่นนั้นรึ ? ฝันไปเถอะ!”

“ใต้หล้านี้อู๋ตี้อยู่ยงคงกระพันเพียงผู้เดียว ผู้ใดคิดการหยาบช้าหมายจะทำร้ายนายท่านของข้า มันผู้นั้นไม่รอด!” อู๋ตี้ม้วนตัวราวกระสุนปืนใหญ่ พุ่งร่างเข้าไปปะทะกับเปลวไฟไม่กลัวเกรง

มู่อีกล่าว ใบหน้าตระหนกตกตื่น “ท่านผู้นำตระกูลมู่ สัตว์พันธสัญญาของท่านดูเหมือนจะเป็นเพียงแค่สัตว์วิญญาณระดับเจ็ด แต่ข้ารู้สึกว่าสัตว์อัคคีนั่นดูจะน่ากลัวกว่า ท่านผู้นำแน่ใจหรือว่ามันจะรับมือกับสัตว์อัคคีนั่นได้ ?”

มู่เฉียนซีกล่าวตอบ ใบหน้านิ่วคิ้วขมวดมุ่น “อู๋ตี้กลัวความตายมาก หากไม่มั่นใจจริงมันจะไม่ทำเรื่องเช่นนี้เด็ดขาด” แม้ว่าอู๋ตี้จะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าแต่ดูเหมือนว่ามันจะมีพลังแปลก ๆ บางอย่างอยู่ ทุกครั้งที่สัตว์อัคคีพยายามจะทำร้ายมัน มันก็หลีกหลบได้ราวกับง่ายดายมาก

“หลีกไปเจ้าแมวสวะ!” ดูเหมือนว่าโทสะของสัตว์อัคคีไม่ลดน้อยลงเลย กลับทวีคูณมากขึ้นเรื่อย ๆ

แมวน้อยอู๋ตี้ร้องโหยหวน “นายท่านรีบหนีไปเมี้ยว! เจ้าบ้านี่มันแข็งแกร่งเกินไป ข้ามิอาจต้านไว้ได้อีกแล้ว นายท่านรีบให้คนมาช่วยเร็วเข้า ไปตามบุรุษชุดดำที่น่ากลัวผู้นั้น มีเพียงเขาเท่านั้นที่จะรับมือกับเจ้าตัวร้อนนี่ได้”

“คิดจะหนีรึ ? โง่นัก ไม่มีทางให้หนีแน่เจ้าแมวโง่” สัตว์อัคคีคำราม มันไม่มัวเสียเวลากับอู๋ตี้อีกต่อไปแล้ว กลับพุ่งเป้าไปที่มู่เฉียนซีโดยตรง มันเกลียดมู่เฉียนซีที่สุด เกลียดเข้าไปถึงกระดูกดำเลยก็ว่าได้ การที่ทำให้มันตื่นจากการนอนหลับเป็นโทษอันมิสามารถอภัย แม้ตายก็มิอาจอภัยให้!

ขณะที่พลังน่าสะพรึงกลัวกำลังจะเข้าโจมตีมู่เฉียนซี ทันใดนั้นร่างสีดำพลันปรากฏขึ้นมา เปลวไฟที่พุ่งเข้ามาพลันจางหายไปอย่างรวดเร็วเกินจินตนาการ

“จิ่วเยี่ย!” มู่เฉียนซีร้องเรียก แววตาประหลาดใจมองร่างที่อยู่ตรงหน้า

“ข้าอยู่นี่แล้ว…” แสงเย็นวาบกะพริบผ่านดวงตาสีฟ้าคู่นั้น ซวนหยวนจิ่วเยี่ยไม่เสียเวลา รุดเข้าไปต่อสู้กับสตว์อัคคีนั่นทันที

จุดสีขาวเล็ก ๆ ปรากฏอยู่ในอากาศและค่อย ๆ ตกลงมา มู่เฉียนซีรีบรับเอาไว้ กล่าวถามเจ้าแมว “อู๋ตี้ เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม ?”

อู๋ตี้กลอกตาทำท่าน่าหมั่นไส้ อ้าปากค้างพร้อมทั้งถอนหายใจราวกับเป็นมนุษย์คนหนึ่ง “ให้ตาย! ข้าเกือบโดนเผาจบสิ้นชีวิต รอให้พลังข้ากลับคืนมาก่อนเถอะ ข้าจะเอาคืนให้หนักเลยไอ้เจ้าสัตว์ตัวร้อน”

— ตูม!  ตูม!  ตูม! —

จิ่วเยี่ยกำลังต่อสู้กับสัตว์อัคคี ภายในชั่วพริบตา เหมืองเริ่มพังทลาย เขาตะโกนบอกมู่เฉียนซี “เจ้าไปรอข้าด้านนอก!”

“ได้”

มู่เฉียนซีพามู่อีและพวกถอยออกไปอย่างรวดเร็ว การต่อสู้ในระดับที่เห็นตรงหน้ามิใช่การต่อสู้ที่พวกเขาจะรับมือได้

— ตูม!  ครืน! —

เสียงผืนแผ่นธรณีสะเทือนดังออกมาอย่างไม่รู้จบ  มู่อีคิ้วขมวด กล่าวขึ้น “ความแข็งแกร่งของเยี่ยอ๋องอยู่ในระดับใดกันแน่ ? หากจำไม่ผิดข้าเคยได้ยินมาว่าตอนที่พระองค์มีพระชนมายุไม่ถึงยี่สิบพรรษา พรสวรรค์ทางด้านการฝึกและความแข็งแกร่งของเยี่ยอ๋องน่ากลัวกว่านายท่านสามกับท่านผู้นำตระกูลเสียอีก”

เมื่อได้เผชิญหน้ากับศัตรูทรงพลังผู้นี้ สัตว์อัคคีกล่าวขึ้นอย่างกลัดกลุ้ม “บัดซบยิ่งนัก! เหตุใดเจ้าถึงได้แข็งแกร่งเพียงนี้ วันนี้ข้าจะสู้สุดชีวิต!”

— ตูม! —

เปลวไฟน่ากลัวพุ่งออกมาจากขุมเหมือง พุ่งขึ้นต่อไปบนท้องฟ้า ทำให้ท้องฟ้าแปรปรวนพลันเปลี่ยนกลายเป็นสีแดงเลือด พลังแห่งการทำลายล้างทำให้พื้นที่เหมืองแตกเป็นเสี่ยง ๆ  มู่อีดึงร่างของมู่เฉียนซีหนี “ท่านผู้นำเร็วเข้า สัตว์อัคคีนั่นอาจจะใช้อุบายที่น่ากลัวกับพวกเราได้”

โชคดีที่การต่อสู้นี้เกิดขึ้นในเหมืองพื้นที่ห่างไกล หากเกิดขึ้นในจื่อตู มีหวังจื่อตูคงมิพ้นโดนแผดเผาย่างสดผู้คน!  ด้วยพลังอันน่ากลัวเหลือคณา มู่เฉียนซีนางอดที่จะเป็นห่วงจิ่วเยี่ยไม่ได้จริง ๆ

‘หวังว่าเจ้าจะไม่เป็นอะไรนะจิ่วเยี่ย’

เปลวไฟระเบิดราวกับภูเขาไฟ  ทันใดนั้นร่างสีดำค่อย ๆ ก้าวเดินออกมาอย่างช้า ๆ  ชุดคลุมสีดำขยับส่ายร่ายรำตามสายลมราวเทพปีศาจที่ปกครองใต้หล้านี้ เปลวไฟแผดเผานั้นมิอาจทำร้ายเขาได้แม้ปลายเล็บ ภาพฉากอันน่าตะลึงกลับกลายเป็นเพียงภาพตกแต่งด้านหลังบุรุษชุดดำไปโดยปริยาย

“อ๊า! ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้” เสียงกรีดร้องราวกับหมูถูกเชือดดังขึ้น ทำลายภาพความตกใจนั้นของนางไป

“เอ๊ะ! ดูเหมือนจิ่วเยี่ยจะถืออะไรมาด้วย” มู่เฉียนซีกล่าว สีหน้าความประหลาดใจปรากฏ

อู๋ตี้ที่อยู่ในอ้อมกอดของมู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “ก็สัตว์ตัวร้อนบัดซบที่มันพ่นเปลวไฟเมื่อครู่นี้ไงเล่า มันเป็นแค่หมูสกปรกน่าเกลียด ดูสิ!”

ที่อู๋ตี้กล่าวมานั้นไม่ผิดเลย มันเป็นหมูตัวเล็ก ๆ กลม ๆ ตัวหนึ่ง ขาหลังข้างหนึ่งถูกจิ่วเยี่ยหิ้วหัวห้อยอยู่กลางอากาศ หมูน้อยตัวนั้นตัวใหญ่กว่าอู๋ตี้ไม่มากนัก

“สัตว์ที่ทำร้ายพวกข้าเมื่อครู่นี้ก็คือหมูน้อยตัวนี้น่ะรึ ?” มู่เฉียนซีแค่นเสียงถาม นางไม่อยากจะเชื่อ นี่มันน่าประหลาดใจยิ่ง

“ใช่!” อู๋ตี้พยักหน้า

นางคิดว่าเป็นสัตว์ร้ายที่ทรงพลัง ยากจะคาดเดาว่าเป็นเพียงหมูน้อยตัวเล็ก ๆ เช่นนี้  หมูน้อยตัวนี้มิอาจหนีออกจากกรงเล็บของจิ่วเยี่ยได้ เสียงเยียบเย็นราวยมฑูตมาเองดังข้าง ๆ หูของมัน

“หากเจ้ายังอยากมีชีวิตอยู่ จงจดจำเรื่องที่ข้าสั่งไว้ให้ดี…”

.