เจ้าหมูน้อยตัวนี้มีใบหูใหญ่ดั่งพัด มันจ้องมองมู่เฉียนซีด้วยใบหน้ายับยู่ยี่ “ให้ข้าไปเป็นสัตว์พันธสัญญากับนางจอมภูตระดับหนึ่งผู้นี้น่ะรึ ? จะเป็นไปได้อย่างไร ? ดูถูกกันเกินไปแล้ว!”

จิ่วเยี่ยเดินไปตรงหน้ามู่เฉียนซี กล่าวถามนาง “เจ้าชอบกินหมูย่างหรือไม่ ?”

มู่เฉียนซีเหมือนจะรู้ใจจิ่วเยี่ย นางจ้องมองเจ้าหมูน้อยตัวนี้ด้วยสีหน้าที่จะยิ้มก็ไม่ยิ้ม เจ้าหมูน้อยเกือบจะแผดเผานางทั้งเป็นเมื่อครู่ นางจะปล่อยไปได้อย่างไรกันเล่า

“หมูหันเป็นอาหารจานโปรดของข้าเลยล่ะ”

ดวงตาไร้ซึ่งเจตนาดีของนาง ทำเอาเจ้าหมูน้อยตกใจกลัวตัวสั่นเทา มันตะโกนขึ้นเสียงดัง “ไม่! อย่ากินข้านะอย่ากินข้า! ข้ายอมทำพันธสัญญากับเจ้าก็ได้ พอใจหรือไม่ล่ะ ?”

เจ้าหมูน้อยกล่าวอย่างฝืนใจ ทว่ากลับทำให้นางไม่พอใจยิ่งขึ้น “เจ้าจะทำพันธสัญญากับข้า ข้าตอบตกลงเจ้าแล้วงั้นรึ ? ข้ามีอู๋ตี้ที่ทั้งน่ารักน่าเอ็นดูอยู่แล้ว เจ้าล่ะมีดีอะไร ?”

“เมี้ยว!”

อู๋ตี้ได้ที รีบขานรับคำชมจากนายท่าน มันรู้สึกชอบอกชอบใจยิ่งนัก สะบัดหางขนปุยขึ้นอย่างลำพองใจ

“ข้าเก่ง ข้าแข็งแกร่ง ที่สำคัญรูปกายดูดีน่ามองกว่าเจ้าแมวขนขาวตัวนี้อย่างมิอาจเทียบได้” เจ้าหมูน้อยกล่าวอย่างมั่นใจในตัวมันเอง ทว่าชั่วครู่เดียวกล่าวขึ้นมาอีกอย่างร้อนใจ “ไม่ได้สิ ไม่ได้เป็นอันขาด! หากเจ้าไม่ทำพันธสัญญากับข้ามีหวังปีศาจชุดดำผู้นี้ต้องฆ่าข้าแน่”

เจ้าหมูน้อยกระดิกหางม้วน ๆ เล็ก ๆ  เอาจมูกไปถูกกับแขนของจิ่วเยี่ยอย่างน่าสงสาร

“ทำพันธสัญญากับมันเถอะ ความแข็งแกร่งของมันจะช่วยปกป้องเจ้าได้” จิ่วเยี่ยกล่าวสบาย ๆ

“ฮือ ๆ ๆ ข้าขอร้องล่ะ ขอร้องเลยเชียวนะ” เจ้าหมูน้อยมองมู่เฉียนซี น้ำตาใสเต็มรื้นในดวงตาของมัน  เจ้าหมูน้อยตัวนี้แข็งแกร่งกว่าอู๋ตี้มาก อีกทั้งยังมีพลังของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ หากทำพันธสัญญากับมัน ก็เท่ากับมีสัตว์พันธสัญญาระดับวิญญาณจักรพรรดิที่สามารถพ่นเปลวไฟได้อยู่กับตัว

“ก็ได้! ข้าจะทำพันธสัญญากับเจ้าไปก่อน ภายภาคหน้าหากเจ้าก่อเรื่องให้ข้าต้องลำบากหรือปวดเศียรเวียนเกล้า เตรียมตัวกลายเป็นหมูหันอาหารจานโปรดของข้าได้เลย”

“ข้าจะกล้าก่อเรื่องให้นายท่านของข้าได้อย่างไรกัน ?! ไม่มีทาง” เจ้าหมูน้อยยืดอกอ้วน ๆ กล่าวคำมั่น จากนั้นเริ่มทำพันธสัญญา ในใจคิดว่าตัวมันโหดร้ายกว่าเจ้าแมวอู๋ตี้ สุดท้ายมันจึงได้ทำพันธสัญญาเป็นสมุนของมู่เฉียนซีภายใต้การบีบบังคับของจิ่วเยี่ย

มู่เฉียนซีกล่าวถาม “เจ้าเป็นแค่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งเองรึ ?” นางรู้สึกว่าพลังที่มันแสดงออกมาเมื่อครู่นี้ไม่น่าจะถึง

เจ้าหมูน้อย “ก่อนหน้านี้ข้าได้รับบาดเจ็บมา ข้ากำลังนอนเพื่อรักษาตัวอยู่ แต่อีกเพียงอึดใจเดียวเท่านั้น  นายท่าน นายท่านเชื่อข้าเถอะ ให้ข้าได้นอนรักษาตัวอีกเพียงนิดพลังของข้าก็จะกลับมาแข็งแกร่งอย่างเดิมเป็นแน่แท้”

มันชี้นิ้วไปที่มู่เฉียนซีก่อนจะกล่าวต่อ พร้อมแสร้งร้องไห้ร้องห่ม “หากมิใช่เพราะนายท่านเป็นคนรบกวนเวลานอนของข้าละก็ ข้าก็คงจะไม่โกรธจนต้องลงมือกับนายท่าน ฮือ ๆ ๆ”

มู่เฉียนซี “เจ้านอนไปนานแค่ไหนแล้ว ?”

เจ้าหมูน้อยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่นานเท่าไรนัก ก็แค่ไม่กี่หมื่นปีเท่านั้นเอง”

— เพี๊ยะ! —

มู่เฉียนซีนางตบก้นเจ้าหมูน้อยทันทีอย่างไม่เกรงใจ “เจ้าหลับมาเป็นหมื่น ๆ ปียังมีหน้ามาบอกข้าว่าเป็นแค่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่ง ตกลงแล้วเจ้าหลับเพื่อรักษาบาดแผลหรือแอบหลับเพราะความขี้เกียจกันแน่ ?”

เจ้าหมูน้อยยิ้ม แสร้งทำเป็นไร้เดียงสา “นายท่านปราดเปรื่องยิ่งนัก ข้าคิดไม่ถึงเลยว่านายท่านจะรู้ความจริง  แท้ที่จริงแล้วจะบอกว่าข้าแอบนอนขี้เกียจก็ไม่ผิด อู๊ด ๆ”

มู่เฉียนซีขมวดคิ้ว น่าหมั่นไส้นัก  นางจับหูมัน หันไปกล่าวกับจิ่วเยี่ย “จิ่วเยี่ย เจ้าหมูตัวนี้มันกลับกลอกเชื่อถือไม่ได้ ข้าคืนกลับยกเลิกพันธสัญญาได้หรือไม่ ?”

“ได้ รอให้เจ้าแข็งแกร่งกว่ามันก่อน จากนั้นเจ้าก็เอามันทำเป็นหมูหันอาหารจานโปรดเจ้า”

เจ้าหมูน้อยได้ยินวาจาจิ่วเยี่ย เกิดกลัวจนตัวสั่น รีบให้คำมั่นสัญญา “นายท่าน ขอสัญญาว่าข้าจะรีบรักษาตัวและจะไม่นอนขี้เกียจอีกแล้ว นายท่านอย่าคิดกินข้าเลยนะ”

อู๋ตี้ เจ้าเหมียวสัตว์พันธสัญญาตัวแรกเข้ามาทำพันธสัญญากับนางด้วยตัวมันเอง มันจัดได้ว่าน่ารักทว่าชอบขโมยกินผลึกวิญญาณ ส่วนสัตว์พันธสัญญาตัวนี้ เมื่อปรากฏตัวออกมา มันแสดงความบ้าคลั่งในทุก ๆ รูปแบบ  มู่เฉียนซียังไม่อยากจะเชื่อว่าสุดท้ายแล้ว เจ้านี่จะเป็นเจ้าหมูน้อยที่ชอบนอนขี้เกียจเช่นนี้

มู่เฉียนซีกล่าวถาม “เจ้าเป็นสัตว์วิญญาณอะไร แล้วเจ้าชื่ออะไร ?”

“ฮ่า ๆ ๆ  ข้ามิใช่สัตว์วิญญาณอะไรหรอก ข้าเป็นแค่…” เจ้าหมูน้อยยิ้มอย่างมีความสุข  เมื่อมันกำลังจะเปิดเผยตัวตน มันก็รีบหุบปากทันที หัวใจดวงน้อยของมันเต้นแรงทว่าโชคดีที่ไม่มีการเปิดเผยตัวตนแต่อย่างใด มิเช่นนั้นแล้วนายท่านคงจะไม่ชอบและทอดทิ้งมัน  และจากนั้น ปีศาจชุดดำต้องฆ่ามันเป็นแน่แท้

“เอ่อ… นายท่าน ข้าหลับไปตั้งหลายหมื่นปี มันนานเสียจนข้าจำไม่ได้แล้วว่าข้าชื่ออะไร และข้าก็จำไม่ได้ด้วยว่าข้าเป็นสัตว์วิญญาณอะไร” เจ้าหมูน้อยกล่าว พยายามทำหน้าตาโศกเศร้าอย่างที่สุด

แสงสลัววาบผ่านดวงตาสีดำราวน้ำหมึกของมู่เฉียนซี นางครุ่นคิดในใจ ‘เจ้าหมูนี่ต้องมีอะไรปิดบังแน่’

ถึงอย่างไร ทั้งสองก็ได้ทำพันธสัญญาต่อกันแล้ว ความเป็นความตายของมันขึ้นอยู่กับนายท่านอย่างมู่เฉียนซี เช่นนั้นนางไม่จำเป็นต้องกังวลสิ่งใดอีก มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “ในเมื่อเจ้าจำชื่อตัวเองไม่ได้ เช่นนั้นข้าจะตั้งชื่อให้เจ้าใหม่ เจ้าคิดเห็นอย่างไรล่ะ ?”

เจ้าหมูน้อยเลิกคิ้วอย่างพึงพอใจ “ขอนายท่านตั้งชื่อให้ข้าด้วย”

“เช่นนั้นเจ้าชื่อเสี่ยวหงเป็นอย่างไร ? จำง่ายดี”

“เมี้ยว!” ฉับพลันทันใดนั้น อู๋ตี้ส่งเสียงออกมาอย่างสุขใจ ‘นายท่านตั้งชื่อนี้ให้เพื่อลงโทษเจ้าหมูนี่เป็นแน่แท้ ฮ่า ๆ ๆ น่าขันนัก  …คิดเสียว่าดีแค่ไหนแล้วที่มีชื่อเป็นของตัวเองและโดดเด่นเช่นนี้’

— ปึง! —

ร่างของเจ้าหมูเสี่ยวหงล้มลงกับพื้นทันที มันร้องครวญครางพร้อมกล่าวสะอึกสะอื้นเศร้าโศกเสียใจ “ฮื้ออออ นายท่าน ไม่เอา นายท่านเปลี่ยนชื่อใหม่ให้ข้าได้หรือไม่ ?  ชื่อนี้เหมือนข้าคือตัวเมียเยี่ยงไรก็ไม่รู้ ข้าเป็นตัวผู้นะนายท่าน ข้าเป็นตัวผู้!”

เสี่ยวหงร้องครวญครางด้วยความเสียอกเสียใจ ทว่ามู่เฉียนซีกล่าวสบาย ๆ “เอาไว้ค่อยว่ากันอีกทีเถอะ เจ้าก็ทน ๆ ใช้ชื่อนี้ไปก่อน ตอนนี้ข้าจนปัญญา คิดไม่ออก”

ในเวลาเดียวกันนี้ มู่อีและคนอื่น ๆ อุทานขึ้น สีหน้าตื่นตาตื่นใจทาบทาบนใบหน้า “ท่านผู้นำตระกูล ดูนั่น หยกวิญญาณจำนวนมากขอรับ”

มู่เฉียนซียิ้ม กล่าวว่า “โอ้! คิดไม่ถึงเลยว่าแรงระเบิดจะทำให้หยกวิญญาณออกมามากมายเช่นนี้ได้ …ดูเหมือนว่าของที่ราชวงศ์ซวนหยวนมอบให้จะไม่เลวเลย มาเริ่มขุดต่อกันดีกว่า”

“ขอรับ”

หลังจากที่จัดการเรื่องแร่ในเหมืองเรียบร้อยแล้ว จิ่วเยี่ยก็เข้าไปในรถม้าของนางเพื่อที่จะกลับพร้อมกัน

นางเอ่ยถามขึ้น “จิ่วเยี่ย เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร ?”

“ข้าสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างของศาลาเรือนรางเก้าชั้น รู้ว่าเจ้าตกอยู่ในอันตรายจึงรีบมา” จิ่วเยี่ยกล่าว น้ำเสียงเขานิ่งเฉย

มู่เฉียนซีรู้ว่าเขามีวิธีที่จะสื่อสารกับอาถิงได้ ไม่เช่นนั้นแล้วเขาก็คงจะไม่มาหานางหลังจากที่นางได้ทำพันธสัญญากับอาถิง “อย่างไรวันนี้ก็ต้องขอบคุณเจ้ามาก ข้าขอบคุณมากจิ่วเยี่ย” นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ไม่ต้องขอบคุณข้า” แสงเย็นวาบผ่านดวงตาคู่ฟ้าของจิ่วเยี่ย

มู่เฉียนซีกล่าวอย่างหมดหนทาง “ไม่พูดก็ไม่พูด”

เวลานี้ ตระกูลมู่เผชิญปัญหา  มีกลุ่มผู้โหดร้ายและหยิ่งผยองมาเยือน

องครักษ์เฝ้าประตูจวนกล่าวถามขึ้น “พวกเจ้าเป็นใคร ? เหตุใดถึงได้กล้าบุกเข้ามาจวนตระกูลมู่เช่นนี้”

“จะเป็นใครก็เรื่องของพวกข้า เจ้าไสหัวไปเรียกมู่เฉียนซีออกมาพบข้าเดี๋ยวนี้!” เสียงอันดุดันดังขึ้น

“ท่านผู้นำตระกูลไม่ได้อยู่ที่จวน”

“เช่นนั้นเจ้าก็ไปตามมู่อวู่ซวงออกมาพบข้า” เสียงเคร่งขรึมของอีกคนดังขึ้นมา

ทันใดนั้นเอง เสียงอันนุ่มนวลอ่อนโยนของบุรุษผู้หนึ่งลอยมา “โอวหยางเฉียง คุณชายรองแห่งตระกูลโอวหยาง ศิษย์แห่งสำนักจี๋หั่ว มิทราบว่ามาถึงจวนตระกูลมู่มีเหตุอันใดรึ ?”

มู่อวู่ซวงในชุดขาวที่นั่งอยู่บนรถเข็นมาแล้ว  ข้ารับใช้ค่อย ๆ เข็นเขาออกมา ใบหน้าขาวผ่องงดงามราวหยกแกะสลักอย่างดีชวนน่าหลงใหลปรากฏให้เห็นแก่ทุกสายตา

จี้ข่ายเหลือบมองมู่อวู่ซวง สายตารังเกียจเดียดฉันท์ไม่ปกปิด

“เจ้ารึคือมู่อวู่ซวง ?”

เห็นได้ชัดว่าบุรุษผู้นี้ขาพิการทั้งสองข้าง ทั้งดวงตายังบอดสนิท ทว่าเสน่ห์ที่เป็นเอกลักษณ์ของเขานั้นทำให้ผู้คนรู้สึกอับอายเล็กน้อย

“ใช่” มู่อวู่ซวงกล่าวตอบ น้ำเสียงและใบหน้านิ่งสงบดุจดั่งสายวารีไหลเบา ๆ

จี้ข่าย “ได้ยินมาว่ามู่เฉียนซีนำเอาสมุนไพรวิญญาณระดับสองของตระกูลโอวหยางไปไม่น้อย ข้าต้องการสมุนไพรวิญญาณเหล่านั้นที่นางเอาไปทั้งหมดคืนมา นำออกมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!”

.