บทที่ 172: การหายไปของแกสำคัญมากสำหรับฉัน

ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END

บทที่ 172: การหายไปของแกสำคัญมากสำหรับฉัน

【40, 39, 38…】

ห้องรับรองภายในเรือค่อย ๆ เย็นลงเรื่อย ๆ โรเอลจ้องมองชายหนุ่มในชุดขาวอย่างสงบ ซึ่งดอยล์ที่กำลังกลัวจนสั่นเทาไปทั้งร่างเองก็จ้องมองกลับมาเช่นกัน แขนขวาของเขานั้นกลายเป็นหินไปแล้ว ที่สำคัญที่เขาไม่เข้าใจก็คืออีกฝ่ายจะมาหาเขาถึงที่นี่ได้อย่างไร

“ม…ไม่จริง น…นี่มันเป็นไปไม่ได้ เจ้าหาข้าเจอได้อย่างไร…”

“ก็พวกเราสบตากันแล้วไม่ใช่เหรอ? แขนของแกเป็นยังไงบ้างล่ะ?”

โรเอลตอบข้อสงสัยของอีกฝ่ายให้เป็นของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ

ใบหน้าของดอยล์เปลี่ยนเป็นซีดเผือดด้วยความกลัวในทันที เขาหลับตาลงโดยไม่รู้ตัวพลางมองไปยังแขนที่กลายเป็นหินของตัวเอง ผู้ใช้หุ่นเชิดคิดไม่ถึงเลยว่าร่องรอยของพลังเวทที่หลงเหลืออยู่ในแขนของเขาจะเป็นตัวการที่สร้างเส้นทางให้กับเด็กชาย ทำให้อีกฝ่ายตามมาถึงร่างที่แท้จริงของเขาได้ในที่สุด

“เดี๋ยวก่อน ข้าเป็นหนึ่งในผู้บริหารของภาคีแห่งนักบุญเลยนะ แถมข้ายังมีตำแหน่งระดับสูงในภาคีแห่งปัญญาอีกด้วย จ… เจ้าชื่อว่าโรเอลใช่ไหม? บอกข้ามาสิว่าเจ้าต้องการอะไร แล้วข้าจะพยายามสุดความสามารถเพื่อตอบสนองความต้องการของเจ้าให้เอง!”

ดวงตาสีขาวของดอยล์ค่อย ๆ กลับกลายเป็นสีเดิม ขณะที่เขาฉีกยิ้มออกมาอย่างเคร่งเครียด เขาเปิดเผยสถานะอันสูงส่งของตนด้วยความกังวล หวังว่าจะสามารถโน้มน้าวให้เด็กชายตรงหน้าไว้ชีวิตเขา แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ดอยล์พูดกลับไม่สามารถลดละความเยือกเย็นบนใบหน้าของเด็กชายได้เลยแม้แต่น้อย

“อย่าพยายามเลย ทุกอย่างที่แกมีไม่สำคัญอะไรสำหรับฉันสักอย่าง”

“แล้วอะไรที่สำคัญสำหรับเจ้ากันล่ะ? บอกข้ามาสิ!!”

“… การหายไปของแกไง นั่นล่ะ สำคัญสำหรับฉัน”

โรเอลจ้องมองไปยังศัตรูที่แทรกซึมเข้ามาในเรือเอสเอส เซนต์แมรี่ เพื่อลอบสังหารชาร์ล็อต กลิ่นอายของน้ำแข็งที่ปกคลุมทำให้เขาเริ่มคลุ้มคลั่ง ดอยล์เดินโซเซถอยหลังด้วยความกลัว ทันใดนั้นร่างกายของเขาก็ระเบิดออก เศษเนื้อของนักเชิดหุ่นกระจายไปทุกทิศทุกทาง ทำให้หมอกเลือดเปรอะเปื้อนไปทั่วห้องรับรองอย่างรวดเร็ว

นี่คือไพ่ตายสุดท้ายก้นหีบเพื่อความอยู่รอดของดอยล์

คาถาแยกเลือดเนื้อ

คาถาเวทนี้จะระเบิดร่างกายของดอยล์ ผ่ามันออกเป็นพัน ๆ ชิ้น แต่ละชิ้นเปี่ยมไปด้วยเจตจำนงของเขา ตราบใดที่หนึ่งในนั้นสามารถหลบหนีไปได้ เขาก็จะมีโอกาสฟื้นคืนชีพกลับมา

แน่นอน​ ราคาของคาถานี้คือการสูญเสียอวัยวะสำคัญและการทำงานทางกายภาพของเขา ทำให้ดอยล์กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีความเป็นความตาย แต่ก็ยังดีกว่าการตายจริง ๆ มาก ตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่​ดอยล์ก็ยังสามารถค่อย ๆ ดึงสิ่งที่สูญเสียไปกลับมาอย่างช้า ๆ ได้ ท้ายที่สุดนี่คือโลกที่เต็มไปด้วยพลังเหนือธรรมชาติที่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้นั้นย่อมเป็นไปได้

ดอยล์รู้ดีว่าโรเอลจะไม่มีทางปล่อยเขาไปแน่ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจอย่างแน่วแน่ที่จะใช้คาถานี้ แรงระเบิดที่เกิดขึ้นในห้องรับรองทำให้เกิดคลื่นกระแทกที่ระเบิดทุกอย่างขึ้นสู่ท้องฟ้าที่เปิดโล่ง

ยังไงซะ นี่ก็เป็นถึงการระเบิดทำลายตัวเองของผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 2 คลื่นกระแทกของมันมีพลังมากมหาศาลพอที่จะทำให้คนที่อยู่ห่างออกไปหลายพันไมล์สัมผัสได้ถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวของมัน

เรือรบที่ดอยล์โดยสารอยู่ หรือเอสเอส เซนต์มาร์ตินได้ถูกแยกออกเป็นสองส่วนด้วยแรงระเบิดนี้ เศษซากของลูกเรือที่ถูกแรงกระแทกบดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยได้ร่วงลงสู่ทะเลไปพร้อมกับเศษไม้ที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ และฝุ่นที่ฟุ้งกระจายปกคลุมไปทั่วบริเวณ

จิตสำนึกอันแตกร้าวของดอยล์รู้สึกอุ่นใจหลังจากที่ได้เห็นการระเบิด เนื่องจากโรเอลอยู่ใกล้ ๆ เขาตอนที่การระเบิดเกิดขึ้น แม้ว่าอีกฝ่ายจะรอดจากการระเบิดได้ โรเอลก็ไม่น่าจะเหลือแรงมากพอที่จะไล่ตามเขาอีกต่อไป

พลังของเด็กชายที่สามารถทำให้พื้นผิวทะเลกลายเป็นน้ำแข็งได้นั้นน่ากลัวมาก แต่ดอยล์ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมัน บนโลกนี้มีผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับสูงมากมายที่สามารถทำอะไรคล้าย ๆ กันกับเขาได้ ซึ่งในตอนนี้ดอยล์ก็ค่อนข้างมั่นใจว่าแม้แต่ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 2 ที่มีพลังสายเลือดเกี่ยวข้องกับน้ำแข็งก็ไม่อาจสามารถหยุดเขาลงได้

คาถาแยกเลือดเนื้อ เพิ่มความต้านทานต่อพลังเวทของดอยล์ให้อยู่ในระดับที่คาถาใด ๆ ก็ไม่อาจทำลายเขา ด้วยผลนี้เองที่ทำให้นักเชิดหุ่นเลือกคาถานี้แทนคาถาอื่น ๆ เป็นวิธีการเอาตัวรอดก้นหีบของเขา

ไม่ว่าจะเป็นผู้อาวุโสหัวหน้านักปราชญ์ของอาณาจักรแห่งการศึกษาโบรเนล หรือจักรพรรดิทูตสวรรค์ของจักรวรรดิเซนต์เมซิท ก็ไม่มีใครสามารถหยุดเขาได้ในสภาพนี้ นอกจากนี้เขาก็ยังอยู่ในวัยหนุ่ม ตราบใดที่ดอยล์รอดไปจากที่นี่ เขาเชื่อว่าในท้ายที่สุดตัวเองจะต้องกลับคืนสภาพอย่างสมบูรณ์ได้แน่ ๆ

เมื่อถึงตอนนั้น ดอยล์จะกลับมาฆ่าไอ้เด็กสารเลวคนนี้และทุกคนที่สำคัญของมันอย่างแน่นอน!

ด้วยความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ที่จะเอาชีวิตรอด​ ชิ้นส่วนของดอยล์เริ่มตกลงสู่ห้วงทะเล

จังหวะนั้นเองพลังเวทอันเย็นยะเยือกของโรเอลก็แผ่กระจายออกไปด้านนอก เตรียมที่จะระเบิดออกมาอีกครั้งเปลี่ยนพื้นทะเลให้กลายเป็นน้ำแข็ง เมื่อเห็นสิ่งนี้ดอยล์ก็อดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ยในความพยายามอันไร้ความหมายของเด็กชาย

คาถาเวทน้ำแข็งจากระดับแก่นแท้ 3 จะหยุดข้าได้อย่างไรเล่า?

ดอยล์มั่นใจในคาถาเวทของตนเองมาก เขาจึงยังควบคุมตัวตนของตัวเองให้ดำดิ่งลงไปในทะเล ตกลงไปในน้ำด้วยเสียงดังอึกทึก อย่างไรก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากท้าทายในใจของดอยล์ ก็ได้เหนือไปกว่าจินตนาการทั้งหมดของเขา จนทำให้นักเชิดหุ่นต้องสงสัยในสามัญสำนึกของตัวเอง

เศษซากของดอยล์จบลงด้วยการถูกโรเอลแช่แข็ง

ทำไมกันล่ะ?!?!

ความสงสัยมากมายผุดขึ้นในใจของดอยล์ แต่ในไม่ช้าเขาก็ได้รู้ถึงเหตุผลที่แท้จริง

เดี๋ยวก่อนสิ พลังเวทอันเย็นยะเยือกนี่มัน… เป็นไปได้ยังไงกัน?

ดอยล์ตกใจอย่างยิ่งกับการตระหนักรู้ของเขา นักเชิดหุ่นรีบนำชิ้นส่วนที่ยังไม่แข็งพุ่งออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว พยายามหลบหนีจากธารน้ำแข็งที่กำลังขยายตัวไล่ตามเขามาติด ๆ ทว่ามันก็ไร้ประโยชน์ เพียงไม่กี่วินาที ทั้งร่างกายและจิตใจของเขาก็หยุดนิ่ง ยุติตัวตนที่เรียกว่าดอยล์ให้เลือนหายไป

“การที่แกระเบิดตัวเองช่วยประหยัดเวลาให้ฉันได้มากเลยล่ะ”

โรเอลยืนอยู่บนพื้นผิวของทะเล มองดูชิ้นเนื้อนับพันที่ติดอยู่ในน้ำแข็งใต้เท้าของเขา พร้อมส่ายหัว

พูดตามตรงแล้วโรเอลรู้สึกงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นกัน เขาพอจะเข้าใจได้ว่าการระเบิดตัวเองเป็นชิ้นส่วนร่างกายหลายพันชิ้นคือวิธีการที่ดอยล์คิดจะใช้สำหรับการหลบหนี แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย อย่างไรก็ตามเด็กชายก็ละทิ้งความคิดเหล่านี้ไปอย่างรวดเร็ว เขาสัมผัสได้ว่าดอยล์มาถึงจุดจบแล้ว และนั่นก็คือทั้งหมดที่สำคัญ

“ลาก่อน ดอยล์”

ดาดฟ้าอันคุ้นเคยบนเรือที่คุ้นเคย สิ่งเหล่านี้บอกโรเอลว่าเขานั้นได้มาถึงที่หมายแล้ว เด็กชายลอยลงมาช้า ๆ สู่ดาดฟ้าของเรือเอสเอส เซนต์แมรี่อย่างเงียบ ๆ ด้วยลมหายใจอันหนักอึ้ง เบื้องหลังของเขาคือโลกแห่งธารน้ำแข็ง

โรเอลไม่ได้เสียเวลา 30 วินาทีสุดท้ายในการใช้ พรของเปตราเพื่อกลับมาจากแนวหน้าของศัตรูอย่างใจเย็น นั่นคงจะเป็นอะไรที่โง่มาก แน่นอนว่าเด็กชายได้ไปแวะเยี่ยมเยียนเรือของเหล่าข้าศึกบางลำมาแล้ว

เขาเปลี่ยนให้น้ำทะเลรอบ ๆ เรือเหล่านั้นกลายเป็นน้ำแข็ง และสั่งให้โครงกระดูกสีแดงของเขาหักเสากระโดงเรือออก โรเอลฉลาดพอที่จะไม่ใช้พลังไปกับการต่อสู้ แต่เลือกที่จะสร้างเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยต่อพันธมิตรของตัวเองแทน

เป้าหมายของการโจมตีข้างหลัง ไม่ใช่การทำลายรูปขบวนของศัตรู แต่เป็นการทำให้เกิดความโกลาหล และทำให้พวกเขาไม่สามารถต่อสู้ได้อย่างเต็มที่

ด้วยการแทรกแซงของโรเอล เรือข้าศึกเจ็ดลำถูกทำให้ช้าลงไปมาก และสามลำถูกแช่แข็งอยู่กับที่ เรือที่ชำรุดเหล่านั้นจึงกลายเป็นเป้าหมายง่าย ๆ สำหรับกองเรือทองคำที่จะยิงโจมตีด้วยปืนหลัก ซึ่งเป็นงานที่กัปตันของกองเรือทองคำทุกคนพร้อมดำเนินการโดยไม่ลังเล

โรเอลเพียงลำพังได้เปลี่ยนกระแสของสงคราม ผนึกบทสรุปของการต่อสู้ ตามแบบฉบับการทำสงครามของผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลอันน่าสะพรึงกลัวของผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับสูงที่มีต่อผลลัพธ์ของสงคราม

เพียงแต่ว่าโรเอลตระหนักดีว่าเขาไม่ใช่ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับสูงจริง ๆ ดังนั้นสิ่งที่เด็กชายสามารถทำได้จึงมีจำกัด

【3, 2, 1.】

【ระยะเวลาการใช้งาน ‘พรของเปตรา’ ได้สิ้นสุดลงแล้ว】

【การฟื้นฟูพลังสายเลือดดั้งเดิมดำเนินการไปแล้ว : 77%】

【การประเมินอย่างละเอียด : สูง (82 %)】

ท่ามกลางการปรากฏขึ้นของการแจ้งเตือนจากระบบ และเสียงเชียร์ของเหล่านักรบที่วิ่งเข้ามาหาเขา วิสัยทัศน์ของโรเอลก็เริ่มมืดมัวลง พลังเวทอันเย็นยะเยือกรอบ ๆ ตัวเขาเริ่มจางหายไป และพลังเวทสีเหลืองสลัวในร่างกายของเขาก่อนหน้านี้เองก็หายไปด้วยเช่นกัน เข่าของเขาทรุดลงกับพื้นและโรเอลก็คงจะล้มลงกับพื้นไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะมีคนรีบวิ่งออกมารับเขาเอาไว้

อา ชาร์ล็อตนี่เอง

ความคิดดังกล่าวผุดขึ้นภายในจิตใต้สำนึกที่กำลังจมลงของโรเอล เขามองไปที่ร่างของเด็กสาวผมสีน้ำตาลแดงที่พร่ามัวตรงหน้า ร่างกายของเขาแข็งทื่อและเย็นเฉียบราวกับศพ โรเอลรู้สึกได้ถึงน้ำตาที่ไหลลงมาบนหน้าอกของเขา ทำให้ร่างกายที่เย็นยะเยือกของเขาได้รับความอบอุ่น

“ดอยล์… นักฆ่าคนนั้นตายแล้ว”

“ข้ารู้แล้ว ข้ารู้… หยุดพูดเถอะ”

น้ำตาของชาร์ล็อตไหลลงมาพร้อมกับแสงสีทองที่เปล่งออกมาจากร่างกายของเธอ เด็กสาวโอบกอดเด็กชายตรงหน้าไว้แน่น ส่งแสงสีทองส่องประกาย​อย่างสิ้นหวัง​ เข้าไปในร่างของเด็กชายเพื่อขจัดความหนาวเย็นที่แทรกซึมอยู่ในกระดูกของเขา

ความวุ่นวายของเหล่าลูกเรือโดยรอบเองก็ลดลงเช่นกัน พวกเขาค่อย ๆ หันหลังกลับ​ ยกโล่ขึ้นสูง ให้ความเป็นส่วนตัวเล็กน้อยแก่คู่รัก พร้อมประเมินสภาพแวดล้อมอย่างระมัดระวังป้องกันภัยคุกคามใด ๆ ที่จะเข้ามา

การแทรกแซงของโรเอลส่งผลต่อการต่อสู้ระหว่างอิซาเบลลา และกอร์ดอน ด้วยเช่นกัน

เรือธงของกองเรือของกอร์ดอน​ เอสเอส เซนต์มาร์ตินได้ถูกระเบิดไปด้วยการระเบิดตัวเองของดอยล์ แม้ว่าพวกภาคีแห่งนักบุญจะสนับสนุนกอร์ดอน แต่พันธมิตรของพวกเขาก็ไม่ได้แน่นแฟ้นเท่าไหร่นัก ดอยล์ไม่ได้สนใจพันธมิตรของตนเอง ทันทีที่ชีวิตของเขาตกอยู่ในอันตราย​ ความเห็นแก่ตัวของเขาก็กลายเป็นตะปูสุดท้ายที่ตอกบนโลงศพให้กับเหล่ากองทัพกบฏของกลุ่มอนุรักษ์นิยม

ผลกระทบที่เกิดจากการระเบิดของเรือธง ไม่ใช่แค่การลดขวัญกำลังใจของกองเรือเท่านั้น แต่ยังทำให้เกิดความขัดข้องในสายบัญชาการของกองเรืออีกด้วย ทำให้การประสานงานของเรือรบแตกสลาย แนวรบพังทลายลง อีกทั้งยังทำให้เรือรบหลายลำเสี่ยงเป็นเป้าการโจมตีของศัตรู

เมื่อกองเรือของกอร์ดอนพังทลายลงรอบ ๆ ตัวเขา ชายชราก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในที่สุด

ชายชราผมขาวคุกเข่าลงบนพื้นทะเล กุมบาดแผลลึกที่หน้าท้องของเขาแน่น บรรยากาศแห่งความเคร่งขรึมตามปกติของกอร์ดอนหายไปโดยสิ้นเชิง ความเจ็บปวดที่ช่องท้องของเขา ทำให้แก้มที่มีรอยย่นกระตุกอย่างควบคุมไม่ได้

“ยอมแพ้เถอะ กอร์ดอน”

อิซาเบลลาที่บาดเจ็บน้อยกว่า และปกคลุมไปด้วยจิตวิญญาณแห่งทองคำ เดินลงมาสู่พื้นผิวทะเล เธอเกลี้ยกล่อมให้อีกฝ่ายยอมแพ้ แต่ชายชรากลับตอบเธอด้วยเสียงหัวเราะอันลึกล้ำในลำคอ

“ไม่ คนที่ควรจะยอมแพ้คือพวกเจ้าต่างหาก”

กอร์ดอนไม่ได้แสดงอาการสิ้นหวังใด ๆ แม้เขาจะพ่ายแพ้ ดวงตาของเขาเปล่งประกายด้วยความเคารพ ราวกับสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง ชายชราหันกลับไปมองที่ขอบฟ้าของท้องทะเล ร่างกายเริ่มสั่นอย่างรุนแรงด้วยความตื่นเต้น

“มันจบแล้ว มันมาแล้ว”