บทที่ 168 กุ้ยเฟย

คู่ชะตาบันดาลรัก

หยางชูเข้าประตูวังโดยไม่มีอะไรกีดขวางตลอดทาง เขาไปพบฮ่องเต้มาก่อนแล้ว และได้รับอนุญาตให้เข้าไปยังพระราชวังเชียนชิว

ชุ่ยชุ่นนำขันทีติดตามมารอที่ทางเดินเมื่อเห็นเขาก็รีบกล่าวทักทาย “คุณชายสามมาแล้ว เหนียงเหนียงถามหาตั้งหลายรอบเลยขอรับ”

หยางชูยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “ที่หวงเฉิงซือมีเรื่องนิดหน่อย ทำให้เหนียงเหนียงรอเสียนานเลย” แล้วชุยชุ่นก็นำเขาไปยังตำหนักหลิงติง

ตำหนักหลิงติงเป็นตำหนักเล็กๆ สองชั้นตั้งอยู่ที่มุมของพระราชวังเชียนชิวพื้นไม่ได้ปูด้วยอิฐทอง แต่เป็นไม้กระดาน ภายในตำหนักไม่ได้กั้นเป็นสัดส่วนจึงมองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน นอกจากตู้เก็บของที่อยู่ตรงมุมห้องแล้วก็มีเพียงโต๊ะตัวยาวหนึ่งตัวและโต๊ะวางกระถางดอกไม้จำนวนหนึ่ง

บนโต๊ะมีอุปกรณ์อย่างกระดาษวาดเขียน สี และที่แขวนพู่กันวางอยู่

เผยกุ้ยเฟยในเวลานี้นั่งอยู่หลังโต๊ะตัวยาวจดจ่ออยู่กับการวาดภาพ

“เหนียงเหนียง” ชุยชุ่นเรียกเสียงเบา เผยกุ้ยเฟยชะงักนางวางพู่กันลงและเงยหน้าขึ้น

นางเป็นสนมคนโปรด แต่การแต่งกายของนางนั้นพูดได้ว่าเรียบง่ายมาก เสื้อผ้าสำหรับอยู่ในจวน ไม่มีเครื่องประดับ บนศีรษะมีเพียงปิ่นปักผมรูปหงส์ เพียงเท่านี้ก็แสดงสถานะอันสูงศักดิ์ของนางได้แล้ว

แต่การแต่งกายที่เรียบง่ายนี้ไม่ได้ทำให้ใบหน้าของนางหม่นหมองแต่อย่างใด คิ้วเรียวยาว ดวงตาเรียวดั่งนกเฟิงหวง จมูกตั้งตรง ริมฝีปากแดงอวบอิ่ม

นี่เป็นใบหน้าที่งดงามจนข่มผู้อื่นได้หากได้เติมแต่งสีสันบนใบหน้าจะต้องดึงดูดสายตาของผู้คนอย่างแน่นอน ความเรียบง่ายเช่นนี้ทำให้นางดูอ่อนโยนราวกับสายน้ำในฤดูใบไม้ผลิ

เมื่อเห็นหยางชูใบหน้าของนางดูเปล่งประกายขึ้นมาทันทีทำให้ผู้คนอดสงสัยในความสุขของนางไม่ได้ “ชูเอ๋อร์!”

หยางชูเดินเข้ามาทำความเคารพนาง “คารวะท่านน้า”

เผยกุ้ยเฟยเรียกเขาให้มานั่งข้างๆ อย่างกระตือรือร้นแล้วถามออกไปว่า “การเดินทางครั้งนี้สนุกหรือไม่ ดูสิ คล้ำขึ้นไปเยอะเลย เจ้าคงลำบากมากใช่หรือไม่ เดิมทีอยากให้เจ้าอยู่เมืองหลวง แต่เจ้ากลับอยากเดินทางเสียอย่างนั้น ได้ยินว่าการเดินทางครั้งนี้มีเรื่องน่ากลัวเกิดขึ้นมากมายแล้วยังได้รับบาดเจ็บอีก มาให้น้าดูหน่อยว่าเจ้าบาดเจ็บตรงไหนบ้าง”

หยางชูคว้ามือของนางไว้แล้วพูดเบาๆ “แค่บาดแผลเล็กน้อยขอรับ ระหว่างเดินทางหลานรักษาจนหายแล้วท่านน้าไม่ต้องกังวลขอรับ”

“หายดีแล้วจริงนะ กลับไปน้าจะถามอาสวน เจ้าโกหกน้าไม่ได้นะ”

“หายดีแล้วจริงๆ ขอรับ”

เผยกุ้ยเฟยยิ้ม “ไปข้างนอกมาสนุกหรือไม่ เจ้าโตขนาดนี้แล้วนี่เป็นครั้งแรกที่ได้ออกจากเมืองหลวงได้ไปเห็นโลกข้างนอกอะไรมาบ้าง”

“เพียงแค่ออกไปปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายไม่มีอะไรสนุกเลยขอรับ” หยางชูตอบอย่างระวัง “แต่ก็ได้เห็นทิวทัศน์อื่นๆ มากมาย ก็รู้สึกดีขอรับ”

“จริงหรือ เจ้าอยู่ที่ตงหนิงนานที่สุดไม่ได้ออกไปเที่ยวที่ไหนเลยหรือ”สายตาของหยางชูมองไปที่ภาพวาดที่นางวาดไปเพียงครึ่งเดียว ภาพนั้นเป็นมุมหนึ่งของกำแพงพระราชวัง มีต้นสาลี่ตั้งตระหง่านอยู่เดี่ยวๆ และดอกสาลี่กำลังร่วงหล่นราวกับหิมะที่โดดเดี่ยว

เขานึกถึงบทกวี

ลานกว้างแสนเงียบเหงา ฤดูใบไม้ผลิกำลังผ่านพ้น ดอกสาลี่ร่วงโรยเต็มพื้นดิน ไร้อารมณ์ชื่นชม ไร้คนมาถามไถ่

ถึงแม้บุคคลในวังที่ในกวีกล่าวถึงกับสถานการณ์ของเผยกุ้ยเฟยจะไม่เหมือนกัน แต่เมื่อมาคิดดูแล้วกลับกลายเป็นความพอดีที่อธิบายไม่ได้ ใจของเขาอ่อนยวบลง

“มีวัดเป่าหลิงในตงหนิงว่ากันว่าเป็นวัดเก่าแก่จากราชวงศ์ก่อนตั้งอยู่บนเขาซิ่วเฟิง เป็นภาพที่งดงามมากแล้วยังมีหินนางฟ้าบนเขา…”

เผยกุ้ยเฟยได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มเมื่อคิดอะไรขึ้นมาได้จึงสั่งนางข้าหลวง “เจ้านำภาพนี้ออกไปแล้วนำกระดาษแผ่นใหม่มาให้ข้า” นางข้าหลวงรับคำแล้วรีบนำกระดาษแผ่นใหม่มาเปลี่ยน

เผยกุ้ยเฟยจับพู่กัน “เจ้าพูดต่อเลย น้าจะลองวาดดู”

หยางชูถอนหายใจในใจ เขาโบกมือให้นางข้าหลวงถอยออกไปแล้วพูดต่อว่า “ตอนที่หลานไปนั้นเป็นเดือนสี่ หญ้าบนภูเขาไม่ได้เขียวชอุ่ม น่าจะเขียวประมาณนี้…”

ตอนที่ฮ่องเต้มาถึงพวกเขาสองคนฟังไปพูดไปจนภาพวาดดำเนินมาได้ครึ่งทางแล้ว “เจิ้นรู้อยู่แล้วว่าพวกเจ้าสองคนต้องอยู่ที่นี่” ฮ่องเต้หัวเราะ เขาพูดกับหยางชูว่า

“ท่านน้าของเจ้าวาดภาพทีไรก็จะจดจ่อจนลืมทานลืมนอนเจ้าก็อย่าไปชวนนางล่ะ”

หยางชูลุกขึ้นทำความเคารพ “ฝ่าบาท”

“ไม่ต้องหรอก” เขายังไม่ทันคารวะก็ถูกฮ่องเต้ห้ามไว้และหันไปพูดกับเผยกุ้ยเฟย “ฟ้าเริ่มมืดแล้วเจ้ายังไม่ทานอะไรเลย ชูเอ๋อร์เองก็ต้องทานเหมือนกัน เขายังเด็กมีพละกำลังเต็มเปี่ยมจะทนหิวได้อย่างไร”

เผยกุ้ยเฟยตบหน้าผากตนเอง “หม่อมฉันลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทเลย ฝ่าบาทเสวยหรือยังเพคะ”

“เจิ้นรู้ว่าพวกเจ้ายังไม่ทานแน่นอนจึงรอทานพร้อมพวกเจ้ายังไงล่ะ” ฮ่องเต้ตรัส “ในเมื่อพวกเจ้าสองคนอยู่ที่นี่ไม่ต้องกลับไปที่ท้องพระโรงหรอก พวกเราขึ้นไปทานอาหารกันเถอะจะได้ชมทิวทัศน์ไปด้วย”

เผยกุ้ยเฟยยิ้ม “ฝ่าบาททรงคิดมารอบคอบแล้ว”

ชั้นสองของตำหนักหลิงติงมีความนุ่มนวลมากเนื่องจากเป็นห้องของสตรี แต่เพราะอยู่ที่สูงจึงสามารถเห็นทิวทัศน์ภายนอกได้ เดิมทีพระราชวังเชียนชิวไม่มีตำหนักหลิงติง แต่ฮ่องเต้ทรงสร้างห้องเขียนภาพนี้เพื่อเผยกุ้ยเฟยโดยเฉพาะ

ชั้นล่างเขียนภาพ ชั้นบนชมทิวทิศน์ หากยืนอยู่ตรงนี้ก็จะสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของพระราชวังได้

ในยามแสงอาทิตย์ลับขอบฟ้าทั้งภายในและภายนอกพระราชวังถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีส้มอันอบอุ่น ว่านต้าเป่ายกอาหารเข้ามาฮ่องเต้โบกมือขึ้น

“พวกเจ้าไม่ต้องอยู่รับใช้หรอกไปรอข้างล่างเถอะ!”

“พะย่ะค่ะฝ่าบาท” เหล่าขันทีและนางข้าหลวงถอยออกไปอย่างเงียบๆ

ฮ่องเต้คีบอาหารด้วยตนเอง “พระสนม นี่เป็นอิงเถาที่เจ้าชื่นชอบ” แล้วคีบให้หยางชู “ชูเอ๋อร์ชอบทานเอ็นกวาง”

หยางชูวางชามตะเกียบเตรียมขอบคุณแต่ก็ถูกอีกฝ่ายห้ามไว้ “ทานให้อร่อย ไม่จำเป็นต้องไหว้ขอบคุณหรอก เจ้ายังเด็กทานเข้าไปเยอะๆ อย่างไรเจ้าก็ยังต้องฝึกวรยุทธ์อีก”

เขาก้มหน้าลง “ขอบพระทัยฝ่าบาท”

โชคดีที่ฮ่องเต้ไม่ได้คีบอาหารให้เขาอีกหยางชูก้มหน้าทานอาหารเงียบๆ หูฟังฮ่องเต้คีบอาหารให้สนมตนพร้อมทั้งพูดคุยหัวเราะกันเป็นครั้งคราว เขาฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เมื่อรับประทานอาหารเสร็จก็พักผ่อนอีกสักพักหยางชูก็ขอตัวกลับ

เผยกุ้ยเฟยดูไม่ค่อยเต็มใจนัก “จะกลับแล้วหรือ เจ้าไม่ค่อยได้มาที่นี่ น้ายังอยากอยู่กับเจ้าต่ออีกสักพักหนึ่ง”

หยางชูตอบ “ฟ้ามืดแล้วขอรับ ขุนนางไม่ควรอยู่ในเขตพระราชวัง”

เผยกุ้ยเฟยไม่มีทางเลือกจึงสั่งให้คนไปนำของบางอย่างมาเป็นผลอิงเถาและหยางเหมยตามฤดูกาลเอาไว้ทานเล่นจะถูกส่งไปที่จวนโป๋วหลิงโหว

ฮ่องเต้มองแล้วได้แต่ยิ้ม หยางชูกล่าวขอบคุณและเดินตามชุยชุ่นออกจากพระราชวังเชียนชิว หลังจากเดินออกไปได้ร้อยจั้ง  เขามองย้อนกลับไปที่ประตูพระราชวังแล้วยิ้มเย้ยหยัน

การดำรงอยู่ที่น่าอับอายเช่นนี้จะมาแสดงความรักความเมตตาอะไรต่อหน้าเขาอีก เขาไม่ควรมีชีวิตอยู่เหมือนกับชื่อของตน

ชู หมายถึงความตาย

…………

ในพระราชวังเชียนชิวฮ่องเต้ดื่มชาเพื่อย่อยอาหาร

“เจ้าไม่อยากให้เขาไปงั้นหรือ” เขาเอ่ยถามเบาๆ

เผยกุ้ยเฟยม้วนภาพเก็บช้าๆ “เขายิ่งเติบใหญ่ ยิ่งรักน้อยลง”

ฮ่องเต้ตอบไปว่า “ตอนนี้เขาเติบใหญ่แล้วรับราชการเป็นขุนนาง การเข้าพระราชวังเดิมทีเป็นเรื่องผิดกฎ”

เผยกุ้ยเฟยเงยหน้ามองเขาก่อนเอ่ยว่า “ฝ่าบาทไม่โปรดให้เขามาหรือเพคะ”

ฮ่องเต้ถอนหายใจ “เจิ้นจะชอบได้อย่างไร พอเขามาความคิดทั้งหมดของเจ้าอยู่ที่เขาหมด แต่ถึงไม่ชอบ เพื่อเจ้าแล้วต้องปฏิบัติต่อเขาอย่างดี”

คนที่ฮ่องเต้พูดถึงก็คือนาง เผยกุ้ยเฟยยิ้มบางๆ “ฝ่าบาทเป็นคนดีมาโดยตลอด”

ฮ่องเต้วางถ้วยชาลงและจับมือนาง “แค่คนดีอย่างนั้นหรือ”

เผยกุ้ยเฟยมองเข้าไปในดวงตาของเขา “มีบางคำพูดที่สนมไม่จำเป็นต้องกล่าวออกมาเพคะ”

ฮ่องเต้หัวเราะแล้วดึงนางเข้ามาไว้ในอ้อมแขนและกระซิบเสียงแผ่วเบา “เจิ้นรู้ว่าเจ้ากังวลเรื่องอะไร อย่าคิดเยอะไปเลย เจิ้นยังมีชีวิตอยู่ได้อีกนานหากมีวันนั้นขึ้นมาจริงๆ เจิ้นจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย…”

………………