บทที่ 169 สวมเขา

คู่ชะตาบันดาลรัก

เมื่อหยางชูออกจากประตูพระราชวัง อาสวนก็ได้มายืนรออยู่ก่อนแล้ว

“คุณชายขอรับ ก่อนหน้านี้ฮูหยินซื่อจื่อ…” เขาเอนตัวเข้าไปกระซิบอะไรบางอย่าง

หยางชูหัวเราะเยาะ “ช่างโง่เสียจริง! รู้ว่าข้าทำงานในหวงเฉิงซือก็ยังกล้าพูดไร้สาระในเรือนอีก!”

อาสวนพูดเสียงเบา “ตอนนี้อาหว่านโกรธมากขอรับ”

“อย่าให้นางลงมืออะไร” หยางชูบอกเสียงเย็น “จับตาดูตระกูลหลูไว้”

อาสวนเข้าใจความหมายของเขาทันที “ขอรับ”

เขากระโดดขึ้นหลังม้า อาสวนจึงรีบตามเขาไป ทั้งสองขี่ม้าผ่านเขตถนนหลายสายเงียบๆ และเมื่อมาถึงทางแยกที่มุ่งหน้าไปจวนโป๋วหลิงโหว หยางชูก็หยุดเคลื่อนไหว

“คุณชายขอรับ” หยางชูตอบ “เจ้ากลับไปก่อน”

“แต่ว่าคุณชาย…”

“เดี๋ยวข้ากลับไปเอง” อาสวนรู้ว่าตอนนี้คุณชายอารมณ์ไม่ค่อยดี

“ขอรับ” จากนั้นอาสวนจึงขี่ม้าไปในเส้นทางที่มุ่งหน้าไปยังจวนโป๋วหลิงโหว เมื่อหันกลับไปก็เห็นว่าหยางชูหันไปอีกทาง ถนนสายนี้ไม่ใช่เส้นทางกลับไปยังพระราชวัง แล้วก็ไม่ใช่เส้นทางไปยังศาลว่าการแล้วคุณชายจะไปที่ไหนกัน

…………..

ตกกลางคืน

หมิงเวยและครอบครัวจี้มาคุยกันที่ลานบ้าน จี้ฮูหยินและลูกสะใภ้คุยกันเรื่องซื้อเสื้อผ้าสำหรับใส่ในฤดูร้อนเพิ่ม นายท่านจี้กับจี้หลิงก็คุยกันเรื่องคดีความของตระกูลหมิง

จี้เสียวอู่อยากคุยกับตัวฝู แต่ก็ถูกจูเอ๋อร์ตื๊อให้ไปเล่นซ่อนหาด้วย หมิงเวยมองแสงจันทร์ที่ส่องสว่างกำลังดีจึงปีนข้ามกำแพงไปยังจวนข้างเคียงที่เพิ่งซื้อเพื่อฝึกซ้อม

ผ่านไปสักพักนางได้ยินเสียงสวบสาบตามด้วยร่างของจี้เสียวอู่ที่พึมพำกับตนเองว่า “เล่นซ่อนหาอะไรกันมาซ่อนที่นี่คงหาเจอหรอก” เขาถ่มน้ำลายลงบนฝ่ามือแล้วปีนขึ้นกำแพงสูงขึ้นไปบนหลังคา

จี้เสียวอู่พอใจกับทักษะการปีนกำแพงนี้มาก เมื่อก่อนมารดาของตนมักจะลงกลอนประตูเพื่อขู่เขาอยู่เสมอจะไม่ยอมให้เขาเข้าบ้านหากเขากลับบ้านดึก แต่เรื่องนี้ไม่สามารถหยุดจี้เสียวอู่ที่ชอบออกไปเที่ยวข้างนอกได้ เพราะฉะนั้นเขาจึงเรียนรู้ที่จะปีนกำแพงได้อย่างรวดเร็ว

พอไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นเขาก็รู้สึกภูมิอกภูมิใจความสามารถในการปีนกำแพงนี้เขาสามารถเป็นนักย่องเบาได้เลยใช่หรือไม่

ทันทีที่เขายืนบนหลังคาอย่างมั่นคงเมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นหมิงเวยนั่งไขว้ขาอยู่บนสันหลังคา เขาร้องเหวอออกมาด้วยความตกใจจนเท้าเกิดลื่นเกือบตกจากหลังคา โชคดีที่เขาคว้ากระเบื้องหลังคาไว้ได้ทัน

“ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” หมิงเวยไม่ตอบรับ

ภายใต้แสงจันทร์ นางนั่งตัวตรงสองมือวางบนเข่าอยู่ในท่านั่งสมาธิ เนื่องจากยังอยู่ในช่วงไว้อาลัยนางจึงแต่งกายเรียบง่าย เมื่อลมพัดชายเสื้อสีขาวพัดปลิวราวกับว่าอีกเพียงครู่นางก็จะกลายเป็นเซียน

จี้เสียวอู่เกือบตกอยู่ในภวังค์ผ่านไปสักพักเขาถึงหาเสียงตัวเองเจอ “เจ้าทำอะไร”

เขาเดินไปรอบๆ หมิงเวยสองรอบแล้วก็พบคำตอบ “อ้อ ตัวฝูสอนเจ้างั้นหรือ ที่ข้าเห็นเป็นเรื่องจริงหรือเจ้าเรียนมานานเท่าไรแล้ว” งูขาวบนไหล่ของนางบิดตัวไปมา เขาไม่ชอบกลิ่นอายของคนแปลกหน้า

หมิงเวยถอนหายใจแล้วลืมตาขึ้น “ท่านอยากเรียนสิ่งนี้ไปเพื่ออะไร”

จี้เสียวอู่กะพริบตา “เพื่ออะไรน่ะหรือเพื่อเป็นเซียนไง!”

“เป็นเซียนมีอะไรดีอย่างนั้นหรือ” หมิงเวยพูด “หากท่านได้เป็นเซียน ครอบครัว สหาย ความรู้สึกของการอยู่ในโลกอันเจริญรุ่งเรืองนี้จำต้องทิ้งมันไป ท่านทำได้งั้นหรือ”

จี้เสียวอู่ตอบ “เจ้าอย่ามาหลอกข้าเลย ข้าได้อ่านชีวประวัติของเซียน ตงฟางชั่ว หวางจื่อเฉียว ฟ่านหลี คนเหล่านี้ล้วนพเนจรอยู่บนโลกมนุษย์จำเป็นต้องละทิ้งครอบครัวและสหายที่ไหนกัน ฟ่านหลีเคยเป็นแพทย์ต่อมากลายเป็นปราชญ์แห่งการค้ามีความสุขกับความมั่งคั่งของโลกมนุษย์แล้วยังมีเซียวฉื่อ ไม่เพียงแต่ได้ขี่มังกร แต่ยังลักพาตัวองค์หญิงไปเป็นภรรยา…” เขายังพูดไม่ทันจบหมิงเวยก็หัวเราะออกมา

จี้เสียวอู่มองนาง “เจ้าหัวเราะอะไร”

หมิงเวยตอบ “ทำไมท่านถึงเชื่อในชีวประวัติของเซียนล่ะ นี่เป็นเพียงหนังสือที่มนุษย์สร้างขึ้นท่านคิดว่าที่เขียนมานั้นเป็นเซียนจริงๆ หรือ”

“นี่…” จี้เสียวอู่เกาหัว “เจ้าจะบอกว่านี่เป็นเรื่องโกหกงั้นหรือ ไม่จริงน่า หนังสือเล่มนี้ถูกส่งต่อกันมาเป็นเวลานานแล้วยิ่งไปกว่านั้นตัวละครที่ถูกบันทึกไว้เป็นบุคคลที่มีอยู่จริงทั้งหมดในประวัติศาสตร์มันจะปลอมได้อย่างไร” หมิงเวยยิ้มแต่ไม่พูดอะไร ปล่อยให้เขาไตร่ตรองเอาเอง

ทันใดนั้นงูขาวก็พูดขึ้นมาว่า “นายท่าน ข้างนอกมีคนยืนอยู่ที่ประตูนานแล้วแต่ไม่ไปไหนเสียที”

หมิงเวยลูบหัวของมันแล้วพูด “เจ้าออกไปดูหน่อยว่าเป็นผู้ใด”

“เจ้าค่ะ” แล้วงูขาวก็หายวับออกไป

การกระทำของนางทำให้จี้เสียวอู่ตกใจ “เจ้ากำลังคุยกับผู้ใดกัน” เขามองไปรอบๆ ที่นี่ยังมีคนอื่นอยู่อีกหรือ หรือว่าเป็นอย่างอื่นกัน…

ในตอนนั้นเองมีคนจากด้านนอกกระโดดข้ามกำแพงเข้ามาชั่วพริบตาคนผู้นั้นก็มาอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว

จี้เสียวอู่เบิกตากว้าง “โจรๆๆ พวกย่องเบา”

หมิงเวยเหลือบมองเขา “โจรย่องเบาบ้านท่านแต่งกายดีขนาดนี้เลยหรือ”

“…..”

ไม่ใช่โจรย่องเบาหรอกหรือ จี้เสียวอู่มองอย่างละเอียดพบว่าคนผู้นี้น่าจะอายุมากกว่าตนอยู่สองสามปีเขาสวมชุดจิ่นเผาสีดำมัดผมด้วยหยกกวาน ภายใต้แสงจันทร์ขับให้เขามีรูปโฉมเหนือมนุษย์มีเพียงสีหน้าที่ดูไม่ค่อยดีเท่าไร

เขารู้สึกอิจฉาเล็กน้อย เด็กหนุ่มในช่วงวัยเยาว์ร้อนอกร้อนใจอยากจะก้าวเข้าสู่โลกของผู้ใหญ่ แต่ด้วยวัยของเขาที่ยังไม่ถึง ถึงแม้จะมีรูปร่างสูงแต่ก็ผอมบาง สำหรับคนตรงหน้าที่ดูอายุมากกว่าเขาไม่กี่ปีและดูเหมือนเพิ่งได้เข้าสู่ช่วงวัยนี้ไปได้กลายเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว

แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ประเด็น ประเด็นอยู่ที่…

“เจ้ารู้จักเขางั้นหรือ”

หมิงเวยพยักหน้าแล้วหันไปถามหยางชู “ดึกเพียงนี้แล้วท่านมาทำอะไรที่นี่ ดูจากการแต่งกายแล้วท่านเพิ่งไปพบแขกมางั้นหรือ”

“อืม” หยางชูตอบรับแล้วมองไปยังจี้เสียวอู่

“ลูกพี่ลูกน้องของข้าเอง” นางตอบ

หยางชูโพล่งออกมา “คู่หมั้นเจ้างั้นหรือ”

“ใช่!” หยางชูกวาดมองตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตารังเกียจ

จี้เสียวอู่ไม่พอใจถึงเขาจะไม่ต้องการแต่งงานแต่นี่เป็นเรื่องของตน มีสิทธิ์อะไรให้ผู้อื่นมาดูถูกกัน! แล้วเขาก็ถามหมิงเวย “เขาเป็นผู้ใดกันดึกดื่นเช่นนี้แอบเข้ามาทำอะไรกัน พวกเจ้านัดพบส่วนตัวงั้นหรือ”

หมิงเวยหัวเราะ “ท่านก็อยู่ด้วยจะเรียกว่านัดพบส่วนตัวได้อย่างไร”

ไม่เคยเห็นการนัดพบส่วนตัวกับบุรุษต่อหน้าคู่หมั้นของตนเองมาก่อนเลย

จี้เสียวอู่พูดขึ้นว่า “แต่ข้าไม่ได้พาเขามาที่นี่ เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลยว่าเขาเป็นผู้ใด!”

หมิงเวยชี้ “หยางชู”

“หยาง…” จี้เสียวอู่ครุ่นคิด “เหตุใดถึงได้คุ้นชื่อนี้นะ!”

มองแล้วมองอีกแล้วเขาก็จำขึ้นมาได้ “อา แต้มสีชาด! จวนโป๋วหลิงโหว…”

หยางชูพูดขึ้นว่า “ขอโทษนะ แต่ข้ามีเรื่องจะพูดกับนาง”

หมายถึงให้ช่วยออกไปก่อนได้หรือไม่

จี้เสียวอู่กะพริบตาแล้วถามหมิงเวย “เจ้าคิดจะไล่คู่หมั้นตนเองเพื่อพูดคุยเป็นการส่วนตัวกับบุรุษหยาบคายผู้นี้น่ะหรือ พวกเจ้าคิดจะทำอะไรยังไม่ทันแต่งงานก็จะสวมหมวกเขียว[1]ให้ข้าแล้วหรือ”

หมิงเวยหันกลับไปถามหยางชู “คนหยาบคาย ท่านพูดเถอะ”

หยางชูเลิกคิ้วมองวันนี้เขาอารมณ์ไม่ค่อยดีจริงๆ

เขาถามจี้เสียวอู่ “จะไม่ไปจริงๆ ใช่หรือไม่” จี้เสียวอู่ยืนกรานส่ายหน้า

ล้อเล่นน่ะ งานแต่งงานนี้เขาก็ไม่ต้องการเช่นกัน แต่เขาก็ไม่สามารถให้คนอื่นมาสวมหมวกเขียวให้ได้ เขาจะไม่ไปไหนเด็ดขาด!

หยางชูพยักหน้า “ได้” สิ้นเสียง เขาก็ยื่นนิ้วออกไปแตะจุดสองจุดที่ไหล่ของจี้เสียวอู่อย่างรวดเร็ว

“หืม” จี้เสียวอู่พบว่าเขาไม่สามารถขยับร่างกายได้ เมื่อคิดจะเปิดปาก หยางชูก็แตะอีกสองจุด ตอนนี้แม้แต่เสียงเขาก็ไม่สามารถเปล่งออกมาได้ สุดท้ายเขาก็ดึงผ้าเช็ดเหงื่อออกมาฉีกเป็นสองส่วนแล้วยัดเข้าไปในหูของจี้เสียวอู่

“……”

จบกันนี่เป็นดอกซิ่งแดงยื่นออกนอกกำแพง[2]ต่อหน้าคู่หมั้น!

…………………

[1] หมวกเขียว : ความหมายแฝงของมันคือ ถูกคนนำหมวกสีเขียวมาสวมใส่ให้ ซึ่งหมายถึง ผู้ชายที่ผู้หญิงของตัวเองไปลักลอบมีชู้ มีใจให้กับชายอื่น ผู้ชายคนนี้ก็จะเรียกว่า ถูกสวมหมวกเขียว

[2] ดอกซิ่งแดงยื่นออกนอกกำแพง : นอกใจ คบชู้