หลังจากเดินทางมาถึงงานเลี้ยงฟีเรนเทียก็ตั้งใจว่าจะอยู่เงียบๆ ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
พยายามเก็บซ่อนตัวตนให้ได้มากที่สุด และคอยเฝ้าจับตามองท่าทีของเวสติน
เพื่อที่จะได้เป็นพยานเห็นฉากตรงหน้านี่ยังไงล่ะ
ฟีเรนเทียเห็นสายตาของเวสตินจับจ้องอยู่ที่มาเรีย แพทโทรนที่ยืนอยู่ห่างออกไปไม่ละสายตา
เจ้านั่นตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด
ดูจากที่ตกใจมากเสียจนถึงขนาดหยุดชะงักฝีเท้า
“…เวสติน?”
พอเห็นว่าสามีของตนจู่ๆ ก็หยุดเดิน ชานาเนสที่คล้องแขนเดินไปพร้อมกันก็เอ่ยเรียกเขาด้วยความสงสัย
“อืม…”
ใบหน้าซีดเผือดไร้สีเลือดไม่สมกับเป็นเวสตินที่มักจะหน้าด้านและผ่อนคลายอยู่เสมอเลยแม้แต่น้อย
ถ้าหากเวสตินนอกใจจริงๆ ก็สมควรแล้วที่เขาจะเป็นเช่นนั้น
ในเมื่อภริยากับชู้รักดันมาอยู่ในสถานที่เดียวกันแบบนี้นี่นะ
ป่านนี้เหงื่อเย็นเฉียบคงจะไหลท่วมแผ่นหลังไปแล้วละ
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ หรือรู้สึกไม่สบายตรงไหน”
ชานาเนสถามสามีด้วยความเป็นห่วง
“เปล่า…แค่รู้สึกเหมือนเห็นคนรู้จักน่ะ”
ยิ่งเวสตินเอ่ยเช่นนั้น ชานาเนสก็ยิ่งเอียงคอด้วยความสงสัย
“ถ้ามีคนที่คุณไม่รู้จักอยู่ที่นี่ ยังน่าทึ่งกว่าอีกนะ ใครเหรอคะ”
“ปะ…เปล่าครับ คุณไม่จำเป็นต้องใส่ใจหรอกครับ”
แต่ชานาเนสกำลังหันซ้ายหันขวามองไปรอบๆ เสียแล้วและยังชี้ตรงไปที่มาเรีย แพทโทรนอย่างแม่นยำ ในขณะที่เอ่ยพูด
“หรือจะเป็นผู้หญิงคนนั้นคะ”
“อา คือว่า…”
และในตอนนั้นเองก็เกิดเรื่องที่ทำให้เวสตินยิ่งต้องอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออกเข้าไปใหญ่
มาเรีย แพทโทรนสังเกตเห็นชานาเนสกับเวสติน นางเริ่มเดินตรงมาทางด้านนี้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ผมสีน้ำตาล นัยน์ตาสีน้ำตาล
นางเป็นเพียงหญิงสาวหน้าตาดาษดื่นทั่วไป ไม่ได้มีสิ่งใดน่าดึงดูดใจเป็นพิเศษ
แต่ฟีเรนเทียไม่คิดที่จะลดการ์ดในใจลงหรอก
ใบหน้ายิ้มแย้มกับแววตาระยิบระยับที่ไม่ได้เหมาะกับเจ้าตัวเลยนั่น มันเป็นแววตาคลับคล้ายกับแววตาของเวสตินที่เธอบังเอิญเห็นเมื่อครั้งก่อน ทำให้เธอรู้สึกตงิดใจมากพอควร
ตึก ตึก
ยิ่งผู้หญิงคนนั้นเดินเข้ามาใกล้มากขึ้นเท่าไหร่ ใบหน้าของเวสตินก็ยิ่งกระตุกเกร็งมากขึ้นเท่านั้น
ฟีเรนเทียเองก็พยายามเก็บซ่อนตัวตนให้มิดชิดยิ่งขึ้น
ที่เธอตั้งใจเรียกผู้หญิงคนนี้มาร่วมงานเลี้ยงที่ท่านปู่ รวมถึงคนของตระกูลลอมบาร์เดียต่างก็มาร่วมงานกันทั้งหมดนี่ก็เพื่อกดดันเวสตินทางจิตวิทยา และเพื่อที่ว่าถ้าหากเรื่องแดงออกไป ท่านปู่ก็จะได้รู้ความจริงในทันที
แต่ว่า…
“สวัสดีค่ะ”
มาเรีย แพทโทรนเดินเข้ามาใกล้ นางฉีกยิ้มสุภาพอ่อนน้อม เป็นฝ่ายกล่าวทักทายท่านปู่ก่อน
“เจ้าคือ…”
ท่านปู่ตกใจเล็กน้อย เมื่อหญิงสาวที่ท่านไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อนในชีวิตเดินเข้ามาทักทาย
มาเรีย แพทโทรนย่อเข่าลงด้วยความนอบน้อม ก่อนจะเอ่ยแนะนำตัว
“มาเรียจากตระกูลแพทโทรนซึ่งอยู่ใต้การปกครองของเขตแดนชูลส์ค่ะ ท่านเจ้าตระกูล เคยแต่ได้ยินชื่อเสียงของท่านมามาก ได้พบด้วยตัวเองเช่นนี้ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งค่ะ”
“อา อย่างนั้นนี่เอง”
ท่านปู่พยักหน้า แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงรู้สึกสงสัยว่าเพราะเหตุใด มาเรีย แพทโทรนคนนี้ถึงได้เข้ามากล่าวทักทายแนะนำตัวกับท่านเช่นนี้กัน
ในอาณาจักรแห่งนี้ไม่มีใครไม่รู้จักท่านปู่
แต่มีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่มีสิทธิ์มากพอที่จะเข้ามาทักทายท่านโดยตรงแบบนี้
ไม่ใช่เจ้าตระกูลชูลส์ผู้มีศักดิ์เป็นบิดาของบุตรเขยด้วยซ้ำ แต่นี่เป็นแค่คุณหนูจากตระกูลเล็กๆ ภายใต้การปกครองของเขตแดนนั้น กลับกล้าเดินเข้ามาขวางหน้าท่านปู่ แล้วเอ่ยทักทายเช่นนี้ ช่างเป็นพฤติกรรมที่จองหองอวดดีเสียจริง
ท่านปู่กวาดสายตามองมาเรีย แพทโทรนอย่างเชื่องช้า ก่อนจะชี้ไปยังเวสติน แล้วเอ่ยถามขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นก็คงจะรู้จักกับเวสตินบุตรเขยของข้าสินะ”
“ค่ะ ข้าโตมาด้วยกันกับท่านเวสตินตั้งแต่เด็กแล้วละค่ะ ไม่ได้พบกันเสียนานนะคะ ท่านเวสติน”
“ครับ ไม่ได้พบกันเสียนาน”
เวสตินเองก็เอ่ยทักทายตอบมาเรียกลับไป
ท่าทางของทั้งคู่ยามทักทายกันมันดูเป็นธรรมชาติมาก ทั้งยังดูมีมารยาทอีกด้วย
หรือเธอจะคาดการณ์ผิดไป…
แต่ก็นะ การที่ชู้รักจะกล้าเสนอหน้าทักทายครอบครัวของภริยาอีกฝ่ายอย่างมั่นอกมั่นใจขนาดนี้ มันก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วด้วย
ใบหน้าที่ซีดเผือดจนถึงเมื่อครู่เองก็กลับมาเป็นปกติเหมือนเดิมแล้ว
ถึงจะรู้สึกผิดหวัง แต่ก็รู้สึกโล่งใจอยู่เหมือนกัน
ฟีเรนเทียรู้อยู่แล้วว่าเขาแอบร่วมมือกับพวกอังเกนัส สร้างเรื่องลับหลังพวกเรา แต่อย่างน้อยชีวิตแต่งงานของชานาเนสก็ไม่ได้ถูกลอบแทงข้างหลัง
“ท่านชานาเนสใช่มั้ยคะ ในเขตแดนชูลส์ต่างก็สรรเสริญเยินยอท่านชานาเนสมากทีเดียว ทำให้รู้สึกสงสัยมาตลอดเลยค่ะ ว่าเป็นคนแบบไหน…”
มาเรีย แพทโทรนเป็นฝ่ายชวนชานาเนสสนทนาอย่างสนิทสนม
“งดงามเหมือนอย่างในข่าวลือเลยนะคะเนี่ย”
“เหรอคะ ขอบคุณที่ชมนะคะ”
ชานาเนสรู้สึกกระอักกระอ่วนใจอยู่เหมือนกัน แต่นางก็ยังยกยิ้มตามมารยาทในขณะที่เอ่ยพูดตอบกลับไป
“…ไม่หรอกค่ะ”
แต่สายตาของมาเรีย แพทโทรนที่เหลือบมองชานาเนสเป็นครั้งสุดท้ายนั่น มันกลับดูไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย
ท่าทางแตกต่างจากคำพูดที่พูดออกจากปากอย่างสิ้นเชิง
มีอะไรแปลกๆ
มาเรีย แพทโทรนกับเวสตินต่างก็ทำท่าราวกับเพื่อนที่บังเอิญพบหน้ากัน หลังจากที่ไม่ได้พบหน้ากันเสียนาน
แต่มันมีอะไรบางอย่างแปลกๆ
ลางสังหรณ์ของฟีเรนเทียเริ่มทำงานอีกครั้ง