งานเลี้ยงของร้านค้าเพลเลสจัดขึ้นอย่างประสบความสำเร็จ

 

งานปาร์ตี้รูปแบบใหม่ที่มีแค่เฉพาะคนที่อยู่ในรายชื่อและนำบัตรเชิญมาแสดงเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์เข้าร่วมงานก็มากพอแล้วที่จะทำให้ไหล่ของคนที่มาร่วมงานยืดได้

 

ทั้งยังมากพอที่จะกระตุ้นสายสัมพันธ์แปลกๆ ระหว่างคนที่ประสบความสำเร็จในการเข้าร่วมงานเลี้ยงอีกด้วย

 

บรรยากาศของงานเลี้ยงจึงยิ่งดูเป็นกันเองมากขึ้น

 

หลังจากที่ผู้คนทั้งหลายมารวมตัวกันพร้อมหน้า เครย์ลีบันก็เดินขึ้นไปบนตำแหน่งที่จัดเตรียมไว้เหนือบันได

 

ท่าทางแตกต่างจากงานอื่นทั่วไป ที่เจ้าภาพผู้จัดงานเลี้ยงจะขึ้นไปพูดบนแท่นพิธี

 

บรรดาชนชั้นสูงสวมเสื้อผ้าหรูหราต่างก็เงยหน้าขึ้นมองเครย์ลีบันด้วยใบหน้ารื่นเริง วันนี้ชายหนุ่มหวีผมอย่างประณีตเสยไปข้างหลัง เผยให้เห็นใบหน้างดงามหล่อเหลา

 

“ขอบพระคุณทุกท่านที่มารวมตัวกันที่นี่ เพื่อแสดงความยินดีกับร้านค้าเพลเลสนะครับ”

 

ราวกับมีแสงเปล่งประกายระยิบระยับออกมาจากใบหน้าหล่อเหลาเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ

 

“ข้าได้จัดเตรียมของขวัญเอาไว้เพื่อขอบคุณทุกท่าน ถึงแม้มันจะเป็นเพียงแค่ของขวัญชิ้นเล็กๆ ก็ตาม หลังเลิกงานเลี้ยงก่อนเดินทางกลับกัน ยังไงก็เชิญแสดงบัตรเชิญให้แก่พนักงานของทางเราที่ทางเข้าออกเพื่อรับของนะครับ และสิ่งนั้นก็คือ”

 

เครย์ลีบันชูสร้อยเพชรที่ถือไว้ในมือขึ้น เพื่อให้ทุกคนได้เห็นกันถ้วนหน้า

 

มันเป็นแค่สร้อยทองเรียบๆ ห้อยจี้เพชรเม็ดเล็กเท่านั้น แต่อัญมณีที่กำลังส่องประกายแวววาวอยู่นั่น ช่างเหมือนกับดวงดาวบนท้องฟ้าเหลือเกิน

 

“ทางเราจะมอบสร้อยคอให้เป็นของขวัญครับ”

 

กระแสตอบรับครื้นเครงเป็นอย่างยิ่ง

 

“ว้าว!”

 

“สุดยอด!”

 

เสียงโห่ร้องเชียร์ดังขึ้นจากเหล่าชนชั้นสูง

 

“เตรียมอาหารอร่อยๆ เพลงบรรเลงไพเราะไว้แล้ว เชิญร่วมสนุกกันได้เลยครับ”

 

เครย์ลีบันกล่าวเปิดงาน งานเลี้ยงจึงเริ่มขึ้นอย่างเต็มรูปแบบ

 

คนแรกที่เครย์ลีบันเดินเข้าไปหาหลังจากเดินลงมาจากบันไดคือ เจ้าตระกูลไอบันจากทางเหนือ

 

เขาเป็นคนหนึ่งที่ได้รับผลประโยชน์มากมายมหาศาล แลกกับการยอมให้เครย์ลีบันว่าจ้างช่างเจียระไนอัญมณีที่อยู่ภายใต้การปกครองของตระกูลไอบัน

 

“มาแล้วหรือครับ ท่านเจ้าตระกูล!”

 

เจ้าตระกูลไอบันคนนี้ เป็นบุคคลที่บริหารงานและควบคุมบ้านเมืองอยู่เหนือชนชั้นสูงทั้งหลายทางทิศเหนือที่หนาวเหน็บ

 

เขาเป็นชายร่างสูงใหญ่ดุดัน มีเสน่ห์เหลือล้น แต่พอเครย์ลีบันกล่าวทักทายด้วยความนอบน้อม ทั่วใบหน้าก็มีแต่รอยยิ้มกว้างและเสียงหัวเราะดังสนั่น

 

“เครย์ลีบัน! ได้ยินว่าคราวนี้ก็ยอมรับขนเฟอร์ที่ข้าส่งไปให้แค่ส่วนเดียวเท่านั้นหรือ! น่าเสียใจจริงๆ ทำไมชอบทำแบบนั้นอยู่เรื่อย! หากเป็นเจ้าละก็ ต่อให้ส่งไปมากกว่านั้นข้าก็ไม่เสียดายหรอกนะ!”

 

“ของมีค่ามากมายพวกนั้น ข้าขอรับไว้ด้วยใจก็พอครับ”

 

“ฮ่าฮ่า จริงๆ เลยเจ้านี่นะ! เอาเป็นว่าไว้ต่อไปถ้ามีสิ่งใดที่เจ้าต้องการ ก็บอกข้าได้ตลอด!”

 

“ได้ครับ ท่านเจ้าตระกูลไอบัน”

 

คนถัดไปหลังจากนั้น แน่นอนว่าย่อมเป็นตระกูลลอมบาร์เดีย

 

เครย์ลีบันมองออกไปเห็นรูลลักกำลังรวมกลุ่มอยู่กับชนชั้นสูงคนอื่นๆ ที่ริมระเบียง เขาจึงเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาก่อน

 

“ขอบคุณที่มานะครับ”

 

“งานเลี้ยงยินดีกับความสำเร็จในกิจการของเจ้า ข้าจะพลาดได้ยังไงล่ะ น่าภูมิใจจริงๆ ยินดีด้วยนะ!”

 

หลังจากที่เครย์ลีบันแยกตัวออกไปและนำพาร้านค้าเพลเลสให้รุ่งเรืองได้สำเร็จ รูลลักเองก็เปลี่ยนวิธีการพูดจาและการปฏิบัติตัวต่อเครย์ลีบันเช่นกัน

 

เป็นการปฏิบัติตัวด้วยความเคารพในฐานะเจ้าของกิจการคนหนึ่ง ไม่ใช่คนภายใต้บังคับบัญชาของตัวเองอีกต่อไป

 

“ยินดีด้วยครับ”

 

เบเจอร์กับลอเรนซ์เพียงแค่พูดแสดงความยินดีสั้นๆ เท่านั้น

 

ในฐานะคนที่ได้รับเชิญให้มาร่วมงานเลี้ยง นั่นถือเป็นมารยาทที่แย่มาก แต่เครย์ลีบันก็เพียงแค่ยิ้มรับ ปล่อยผ่านไปเฉยๆ

 

เขารู้ดีว่าถึงจะไม่พูดจาดูถูกดูแคลนกันต่อหน้าต่อตา แต่สองคนนี่กำลังอยู่ในอาการไม่พอใจที่โดนเขาแซงหน้าจนได้ดิบได้ดีกว่าทั้งคู่

 

“ยินดีด้วยนะคะ คุณเครย์ลีบัน”

 

ชานาเนสที่ยืนอยู่ข้างรูลลักเอ่ยพูดในขณะที่ยิ้มอย่างเป็นมิตร

 

“น่าเสียดายจริงๆ นะคะ ที่ไม่ทันได้ทราบตั้งแต่ก่อนหน้านี้ว่าเป็นคนที่มีความสามารถขนาดนี้น่ะค่ะ”

 

ที่ตระกูลลอมบาร์เดีย เครย์ลีบันไม่มีโอกาสให้ได้สยายปีกแสดงความสามารถของตัวเองออกไปอย่างเหมาะสม เขาได้แต่คอยดูแลช่วยเหลืองานภายในคฤหาสน์เท่านั้น

 

พอเห็นว่าหลังจากที่เขาแยกตัวออกไปก็ประสบความสำเร็จเหมือนดั่งปลาที่ถูกปล่อยลงน้ำ ชานาเนสก็ได้แต่รู้สึกเสียดายหากรู้ว่าเป็นคนมีความสามารถมากขนาดนั้น และฝากฝังให้เขาได้ดูแลงานสำคัญในกลุ่มการค้าลอมบาร์เดีย คงจะดีน่าดู

 

“อย่างไรข้าก็เติบโตขึ้นมาด้วยพระคุณของลอมบาร์เดียตั้งแต่เด็กไม่ใช่หรือครับ หากมีเรื่องใดที่ข้าช่วยได้ ก็บอกข้าได้เสมอเลยนะครับ”

 

คำพูดนั้นทำให้รูลลักหัวเราะด้วยความพึงพอใจ เจ้าตระกูลลอมบาร์เดียตบไหล่ของเครย์ลีบัน ก่อนจะเอ่ยพูด

 

“แต่ยังไงก็โล่งอกไปทีที่พวกเจ้าเป็นคนครอบครองเหมืองนั่น ได้ยินว่าอังเกนัสโลภอยากได้มันมากทีเดียว…”

 

“แค่โชคดีประมูลมาได้อย่างเฉียดฉิวน่ะครับ”

 

“ใช่แล้วละโชคดีจริงๆ”

 

รูลลักหันไปมองเวสตินด้วยสายตาไม่พอใจ

 

ไม่ยอมมาอยู่รวมตัวกับครอบครัวลอมบาร์เดียด้วยกันตรงนี้ มัวแต่ไปทักทายกับคนอื่นๆ ที่อยู่ห่างออกไปเสียได้ ภาพนั้นทำให้รูลลักเดาะลิ้นเสียงดังจิ๊จ๊ะในลำคอด้วยความไม่พอใจ

 

“ท่านพ่อ”

 

พอโดนชานาเนสตำหนิเสียงค่อย รูลลักถึงได้ยอมถอนสายตากลับมา แต่บนใบหน้ายังคงเหลือความไม่พอใจแฝงไว้อยู่

 

เวสตินมาขอโทษ บอกว่าที่ไม่อาจประมูลเหมืองลีลาร์มาได้นั้นเกิดจากความผิดพลาด แต่รูลลักก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี

 

อีกอย่าง คำพูดของโรมาเชียที่ไปร่วมการประมูลพร้อมกับเวสตินก็ยังคงเหลือค้างอยู่ในหัวสมองของเขา

 

“น่าแปลกครับ หัวหน้ากลุ่มการค้าเห็นพวกข้าแล้ว แต่กลับไม่ตกใจเลยแม้แต่นิดเดียว”

 

การเข้าร่วมการประมูลครั้งนั้นของตระกูลลอมบาร์เดียถูกเก็บไว้เป็นความลับสุดยอด

 

เหมืองที่ฝังแร่เหล็กเอาไว้ ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ลอมบาร์เดียจะต้องกว้านซื้อมันมาไว้ในครอบครองให้ได้ทั้งหมด นี่คือวิธีการของลอมบาร์เดีย

 

ดังนั้นคนที่รู้ว่าลอมบาร์เดียจะเข้าร่วมการประมูลในวันนั้น จึงมีอยู่เพียงแค่หยิบมือ

 

แต่อังเกนัสกลับไม่ตกใจในการปรากฏตัวของลอมบาร์เดียเนี่ยนะ

 

ไหนจะเรื่องที่พวกนั้นเขียนราคาประมูลสูงกว่าลอมบาร์เดียอีก เรื่องนี้มันมีจุดที่น่าสงสัยมากเกินไป

 

พูดถึงเสือ เสือก็มา

 

เวสตินพูดคุยกับเหล่าชนชั้นสูงจนพอใจแล้ว ถึงได้เดินกลับมาด้วยใบหน้าแดงก่ำ โดยที่ในมือข้างหนึ่งยังถือแก้วเหล้าที่ไม่รู้ว่าหยิบมาตอนไหนอีกด้วย

 

“ทางด้านนั้นเตรียมโต๊ะกับอาหารไว้ด้วย ไปกันเถอะครับ ท่านพ่อ”

 

รูลลักได้แต่กลืนความไม่พอใจกลับลงไปเมื่อเห็นสภาพของเวสตินที่ยังคงหน้าหนาเหมือนเดิม

 

ถึงยังไงก็เป็นคนที่ชานาเนสบุตรสาวของเขารักใคร่ เขาถึงได้ต้องยอมแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นข้อบกพร่องในหลายๆ เรื่องของอีกฝ่าย

 

“เดี๋ยวไปนั่งที่โต๊ะแล้ว ข้าจะนำไวน์ดีๆ นี่มาให้ชิมสักแก้วนะครับ กลิ่นมันหอมมากเลยทีเดียว!”

 

ในขณะที่เดินย้ายที่ไปยังโต๊ะ เวสตินก็ยังคงเอาแต่คุยโวด้วยเสียงดังไม่หยุด

 

ท่าทางจะสนุกกับงานเลี้ยงมากกว่าเครย์ลีบันที่เป็นเจ้าภาพเสียอีก

 

“ไว้ต้องบอกชื่อไวน์นี่ให้ข้ารู้ด้วย…”

 

แต่แล้วคำพูดของเวสตินก็หยุดชะงักไปในทันทีหลังจากที่เขาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ไกลๆ