EP.157 ก้าวร้าว

“จ…เจ้า!”

เมื่อเห็นร่างของซ่งฮั่นหยวนล้มลงกับพื้น ทันใดนั้นพระพักตร์อันงดงามของฉินอินเริ่มบิดเบี้ยวไปด้วยโทสะ นางชี้นิ้วไปที่เจิ้งอี้ฝานก่อนตรัสว่า “เจ้าบังอาจประหารคนต่อหน้าข้าเชียวหรือ!? เจิ้งอีฝาน…เจ้าทะนงตัวเกินไปแล้ว!!”

เจิ้งอี้ฝานยื่นศีรษะของซ่งฮั่นหยวนให้นายกองค่ายเสินเวยก่อนจะประสานมือพร้อมกล่าวว่า “ขุนนางอาวุโสผู้นี้ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ ซ่งฮั่นหยวนเป็นปลิงดูดเลือดของกองทัพ ดังนั้นเขาสมควรจะถูกประหารชีวิต แล้วขุนนางอาวุโสผู้นี้จะขอประทานอภัยกับองค์จักรพรรดิเป็นการส่วนพระองค์เอง”

‘ฟู่ ฟู่…’

ความรู้สึกของหลินมู่อวี่เต็มไปด้วยความโกรธขณะที่กำปั้นปกคลุมไปด้วยเพลิงปราณยุทธ์ และกระบี่เหลียวหยวนเริ่มสั่นเนื่องจากความพิโรธของเจ้านายราวกับว่าพร้อมจะออกจากฝักเพื่อสังหารศัตรูทุกเมื่อ ทว่าหลินมู่อวี่มิได้ขยับ เขาไม่มั่นใจแม้แต่สิบเปอร์เซ็นต์ว่าจะสามารถต่อกรกับขอบเขตปราชญ์อย่างเจิ้งอี้ฝานได้ อีกทั้งหากเขาเริ่มก่อน…คงเป็นการดึงเสี่ยวซีและฉินอินมาพัวพันด้วยแน่ อาอวี่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากระงับความโกรธเอาไว้

หลินมู่อวี่เกลียดตัวเองที่ไม่สามารถหยุดการกระทำอันองอาจของเจิ้งอี้ฝานได้ หากเขาตัดสินใจขัดขวางซ่งฮั่นหยวนคงไม่ถูกตัดศีรษะอย่างอนาถ…องครักษ์ผ่านศึกผู้นี้เป็นผู้อาวุโสสำหรับอาอวี่ เช่นเดียวกับฉินเหลย ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน และคนอื่นๆ พวกเขามิควรตายอย่างไร้เกียรติเยี่ยงนี้

จากนั้นเสียงฝีเท้าม้าดังมาแต่ไกล ขณะที่ฉินเหลยและองครักษ์รักษาพระองค์เดินเข้ามา…เมื่อเห็นร่างไร้ศีรษะของซ่งฮั่นหยวนบนพื้นพระพักตร์ฉินเหลยพลันซีดเซียว เขาลงจากม้าก่อนจะชักดาบอัสนีทลายทันที ทั้งร่างกายปกคลุมไปด้วยปราณยุทธ์ และพันธะเทวาโคจรรอบดาบก่อนที่ฉินเหลยกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “มันคือผู้ใด? ไอ้สารเลวคนไหนที่ฆ่าซ่งฮั่นหยวน!?”

“องค์ชาย…เป็นอาวุโสผู้นี้พ่ะย่ะค่ะ”

เสินโหวเจิ้งอี้ฝานกล่าวด้วยท่าทีเคารพ “ซ่งฮั่นหยวนแอบเก็บที่ดินหนึ่งพันตารางวาซึ่งเป็นการจงใจฝ่าฝืนกฏ เมื่อข้าพยายามจับกุมซ่งฮั่นหยวนก็เริ่มก่อการกบฏ จึงไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากสังหารเขาพ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้า!”

พระพักตร์ของฉินเหลยเต็มไปด้วยโทสะ ดาบอัสนีทลายปกคลุมไปด้วยพลังสายฟ้า เขาแทบจะบดฟันตัวเองจากการขบฟันอย่างรุนแรงขณะที่ตะโกนว่า “ไอ้หมาแก่เจิ้ง! เจ้าบังอาจเกินไปแล้ว! ข้า…ฉินเหลยมิสามารถทนอยู่ร่วมแผ่นดินเดียวกับเจ้าได้!”

“ท่านอ๋องน้อย!”

เจิ้งอี้ฝานตะโกนออกมาพร้อมปลดปล่อยพลังขอบเขตปราชญ์กดทับทุกคน ฉินเหลยแบกรับแรงกดทับนั้นไว้ ขณะที่ใช้พลังงานทั้งหมดถักทอเป็นตาข่ายล่องหนล้อมรอบร่างกาย เขาพลันปลดปล่อยปราณยุทธ์ที่มี ทันใดนั้น! เส้นเลือดสีฟ้าผุดขึ้นบนหน้าผากฉินเหลยขณะที่เลือดสีแดงซึมออกจากผิวหนัง

อีกด้านหนึ่งของการต่อสู้ หลินมู่อวี่ตกตะลึงจนพูดสิ่งใดไม่ออก เมื่อเห็นเลือดไหลออกจากมุมปากของฉินเหลยเขาก็ถูกโทสะเข้าครอบงำและปลดปล่อยปราณยุทธ์ทั้งหมดในร่างกาย มันลุกโชนก่อนจะเปลี่ยนเป็นพลังเจ็ดประทีป ทันใดนั้น! ร่างราชาปีศาจก็ปรากฏขึ้นรอบตัวเขา

“ปลดปล่อย!”

หลินมู่อวี่คำรามพร้อมปลดปล่อยพลังสี่ประทีปเทพมารโศกาปกคลุมร่างกาย มันทำลายแรงกดทับจากพลังของเจิ้งอี้ฝานจนหมดสิ้น ราวกับว่าพลังของเจิ้งอี้ฝานนั้นมีช่องโหว่ เจิ้งอี้ฝานไม่คาดคิดว่าพลังที่แข็งแกร่งที่สุดจะมาจากหลินมู่อวี่ซึ่งมันทรงพลังมากจนสามารถทำลายเขตแดนของเขาได้

ร่างกายเจิ้งอี้ฝานสั่นสะท้านและเริ่มทรงตัวไม่อยู่ อีกทั้งเลือดและปราณยุทธ์พองตัวขึ้นจนทำให้เขารู้สึกไม่ดี เจิ้งอี้ฝานขมวดคิ้วด้วยความกังขาว่าหลินมู่อวี่ได้พลังแปลกประหลาดนี้มาได้อย่างไร…

ฉินเหลยพุ่งตัวทันทีเมื่อหลุดจากแรงกดทับ ทันใดนั้น! ดาบพุ่งตกลงตรงหน้าเจิ้งอี้ฝาน วิญญาณยุทธ์ปะทุขึ้นทำลายทุกอย่างรอบบริเวณ มันคือท่าโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของดาบอัสนีทลาย…พงไพรทลายสี่ทิศ!

“ท่านพ่อ!”

เจิ้งฟางพุ่งตัวออกจากเหล่าทหารค่ายเสินเวยพร้อมกวัดแกว่งดาบ จากนั้นปราณยุทธ์ก่อตัวขึ้นหนาแน่นบนใบดาบ ขณะที่พยายามขัดขวางการโจมตีของฉินเหลยและปกป้องเจิ้งอี้ฝานขณะที่ถอยหนี

ทว่าไม่มีใครคาดคิดว่าการโจมตีของฉินเหลยจะรุนแรงขึ้น ทันใดนั้น! ดาบอัสนีทลายถูกดึงออกจากพื้นก่อนที่ฉินเหลยจะตะโกนกึกก้อง “อัสนีทลายผ่าอรุณ!”

‘เปรี้ยง!’

เจิ้งฟางไม่สามารถต้านทานการโจมตีนี้ได้ แม้ว่าเขาและฉินเหลยจะอยู่ในขอบเขตนภาระดับที่หนึ่งเหมือนกัน ทว่าเจิ้งฟางมิอาจเทียบปราณยุทธ์และความแข็งแกร่งกับฉินเหลยได้เลย เขาถูกพลังกระแทกลอยออกไปพร้อมดาบก่อนจะตกลงพื้นหิมะอย่างแรง

“องค์ชายฉินเหลย!”

เสียงร้องเจิ้งอี้ฝานดังกึกก้องราวกับฟ้าผ่า ท่ามกลางความโกลาหลที่เกิดขึ้นใบหน้าเจิ้งอี้ฝานเริ่มซีดเซียวก่อนจะกล่าวว่า “ท่านอาวุโสผู้นี้จะกราบเรียนเรื่องซ่งฮั่นหยวนกับองค์จักรพรรดิเป็นการส่วนพระองค์เอง…ฉะนั้นได้โปรดอย่าทรงแสดงกิริยาเยี่ยงนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ”

ฉินเหลยขบฟันแน่น พระพักตร์ซีดเซียวเนื่องจากยังคงส่งเลือดไปเลี้ยงที่ดาบอัสนีทลาย ถึงกระนั้นระดับพลังของเขาแตกต่างจากเจิ้งอี้ฝานถึงสามระดับ จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ฉินเหลยจะสามารถเอาชนะเจิ้งอี้ฝานได้

หลินมู่อวี่เดินมาอย่างช้าๆ ก่อนจะวางมือบนไหล่ฉินเหลยและกล่าวว่า “บุรุษที่แท้จริงจะไม่ปล่อยให้ความแค้นเข้าครอบงำ…ท่านพี่ฉินเหลยปล่อยวางเสียเถิด…”

ฉินเหลยค่อยๆ ก้มพระพักตร์ลงขณะที่น้ำตาและเลือดไหลออกมาผสมรวมกัน ไหล่ของเขาสั่นเล็กน้อยขณะที่พยายามจะฝืนระงับความโกรธในใจ เจิ้งอี้ฝานได้ประหารซ่งฮว่านหยวนต่อหน้าเหล่าทหารรักษาพระองค์ซึ่งสร้างความน่าอดสูให้แก่พวกเขาเป็นอย่างมาก ซ่งฮั่นหยวนติดตามฉินเหลยมานานหลายปีและปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ ทว่ากลับมีชะตากรรมที่เลวร้าย…แล้วจะให้ฉินเหลยยอมรับได้เยี่ยงไร?

“อาอวี่…”

มือที่ถือดาบของฉินเหลยเริ่มสั่นเทาก่อนจะกล่าวเสียงทุ้มพร้อมดวงตาแดงก่ำ “ตราบใดที่ยังฆ่าเจิ้งอี้ฝานไม่ได้…อย่าได้เรียกข้าว่าบุรุษเลย!”

หลินมู่อวี่พยักหน้าก่อนกล่าวว่า “อืม…ข้าเข้าใจท่านดี…”

เจิ้งอี้ฝานพ่นลมออกจมูกก่อนจะไปช่วยเจิ้งฟางและนำทหารของค่ายเสินโหวออกไป

ฉินเหลยขบฟันแน่นก่อนจะเดินไปยกศีรษะซ่งฮั่นหยวนขึ้นมาจากพื้น เขากล่าวด้วยพระพักตร์ที่ซีดเผือด “เย็บศีรษะท่านซ่งเข้ากับลำตัวที และจัดพิธีฌาปนกิจศพให้สมเกียรติ”

“ขอรับ!”

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนรับศีรษะของซ่งฮั่นหยวนมา คิ้วคมพลันขมวดเข้าหากัน เขามิได้สนใจชุดรบที่ชุ่มเลือดตัวนั้นก่อนจะหันหลังเดินออกไป

ฉินเหลยดูมีอายุมากขึ้นจากการใช้พลังขณะที่มองหลินมู่อวี่พร้อมกล่าวว่า “อาอวี่ เจ้ากลับมาแล้วหรือ?”

“ขอรับ” หลินมู่อวี่ไม่รู้จะปลอบใจฉินเหลยอย่างไร เขาไม่ทราบว่าความสัมพันธ์ระหว่างฉินเหลยและซ่งฮั่นหยวนนั้นลึกซึ้งเพียงใด ดังนั้นคงไม่เป็นการดีหากพูดอะไรออกไป

ฉินเหลยจับไหล่อาอวี่และกล่าวว่า “หากไม่ใช่เพราะเจ้าอยู่ที่นี่ ข้าก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เจ้าหมาแก่นั่นคงเต็มไปด้วยความทะนงตัว และหากปล่อยให้เขากระทำการเช่นนี้ต่อไป คงเป็นภัยต่อตระกูลฉินในสักวัน!”

จากนั้นฉินเหลยมองไปที่ฉินอิน “องค์หญิงอิน ต้องการเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิด้วยกันหรือไม่? เราจำเป็นต้องทูลเรื่องความทะนงตัวของเจิ้งอี้ฝานซึ่งบังอาจเข้าตำหนักและทำการสังหารแม่ทัพนายหนึ่ง…วันรุ่งขึ้นเขาอาจบุกเข้าตำหนักเจ๋อเทียนแล้วก่อปัญหาแก่องค์จักรพรรดิอีกก็เป็นได้”

ฉินอินทรงพยักพระพักตร์รับ “เยี่ยงนั้นไปหาเสด็จพ่อกัน!”

ขณะเดียวกันร่างกายของหลินมู่อวี่สั่นเล็กน้อยซึ่งเป็นผลจากการปลดปล่อยพลังเจ็ดประทีป จิตวิญญาณของเขาอ่อนแอเกินกว่าจะใช้สี่ประทีปขัดขวางเขตแดนของเจิ้งอี้ฝานได้ แม้ว่าเจิ้งอี้ฝานจะดูไม่เป็นอะไร ทว่าเขาก็ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย

เมื่อเสี่ยวซีสังเกตเห็นความผิดปกติจึงรีบมาสมทบก่อนจะเอ่ยถามว่า “มู่มู่ เจ้าเป็นอะไรไหม?”

“ข้าสบายดี…”

หลินมู่อวี่โบกมือปรามพลังเจ็ดประทีปด้วยปราณยุทธ์ และภายในร่างกายรู้สึกเหมือนมีคลื่นซัดปั่นป่วน ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลยที่อาอวี่จะฟื้นฟูพลังได้ในเวลาสั้นๆ ราวกับว่าพลังงานกว่าครึ่งถูกเจ็ดประทีปกลืนกินจนหมด อีกทั้งพลังเจ็ดประทีปแข็งแกร่งขึ้นมากจนเกือบก้าวข้ามระดับ ทว่าพลังอันแข็งแกร่งนี้จะต้องแลกมาด้วยบางสิ่ง…นั่นก็คือร่างกายของเขาเอง!

“ท่านพี่ฉินเหลย องค์หญิงอิน และเสี่ยวซี”

หลินมู่อวี่มองทั้งสามและกล่าวว่า “ข้าได้ปะทะกับเจิ้งอี้ฝานเมื่อครู่และได้รับบาดเจ็บภายในร่างกาย…ข้าเกรงว่าจะไม่สามารถปกป้องทุกคนได้จึงอยากขออนุญาตกลับก่อน…”

ฉินอินมองไปที่อาอวี่อย่างกังวล “อาอวี่…เจ้าต้องการให้ข้าพาไปพบหมอหลวงหรือไม่?”

“ไม่จำเป็น…ขอบพระทัยเสี่ยวอิน”

เสี่ยวซีพยักหน้าและกล่าวว่า “เยี่ยงนั้นท่านพี่ฉินเหลยและเสี่ยวอินไปเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ ส่วนข้าจะกลับพร้อมอาอวี่”

“ทุกคนระวังตัวด้วย!”

“อื้อ!”

หลินมู่อวี่ออกจากตำหนักเจ๋อเทียนอย่างช้าๆ ด้วยใบหน้าซีดเซียว ทว่าหลังจากโคจรกระดูกมังกรไปหลายรอบจึงสามารถหยุดพลังเจ็ดประทีปได้ จากนั้นอาอวี่ฟื้นฟูพลังงานเล็กน้อย และเมื่อมาถึงถนนเทียนเขาก็เลี้ยวขวาไป

“มู่มู่ เจ้าไม่กลับไปรังอินทรีหรือ?” เสี่ยวซีถามด้วยความประหลาดใจ

“ข้าจะไปที่วิหารก่อน”

“อย่างนั้นหรือ”

เสี่ยวซีไม่ได้ถามหาเหตุผล เนื่องจากนางรู้ดีว่าหลินมู่อวี่คงมีเหตุผลบางอย่าง

เมื่อมาถึงวิหารศักดิ์สิทธิ์ ทหารรักษาการณ์กล่าวทักทายด้วยความเคารพ “ท่านหลินมู่อวี่ ท่านกลับมาแล้วหรือขอรับ?”

หลินมู่อวี่พยักหน้ารับ เนื่องจากสีหน้าเขาไม่สู้ดีนักทหารรักษาการณ์จึงไม่ได้พูดอะไรต่อ พวกเขาเพียงคำนับองค์หญิงซีที่ด้านหลังอาอวี่เท่านั้น ทว่าเสี่ยวซีโบกมือบอกเหล่าทหารว่าไม่ต้องมากพิธี

ภายในวิหารสงบเงียบ ทว่าไม่ไกลออกไปมีเสียงการต่อสู้ดังขึ้น พวกเขาเห็นฉินเหยียนถูกปกคลุมไปด้วยวิญญาณยุทธ์เกล็ดมังกรซึ่งกำลังป้องกันการโจมตีของครูฝึกระดับดาวสีเงิน และไม่ว่าครูฝึกจะโจมตีอย่างไรก็ไม่สามารถฝ่าแนวป้องกันของฉินเหลยไปได้ วิญญาณยุทธ์เกล็ดมังกรสมควรอย่างยิ่งที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นวิญญาณยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี

หลินมู่อวี่ไม่อยากรบกวนการฝึกตนของฉินเหยียนก่อนจะค่อยๆ เดินเข้าห้องโถง ภายในห้องโถงยาวอาอวี่พบเกอหยางที่กำลังอ่านม้วนหนังสือ เขาพลันเงยหน้ามองหลินมู่อวี่และกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม “อาอวี่ ในที่สุดเจ้าก็กลับมาจากการฝึกแล้วหรือ? ทุกอย่างราบรื่นดีหรือไม่?”

“ขอรับ”

หลินมู่อวี่พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ทุกอย่างราบรื่นดีและข้าก็ทำภารกิจสำเร็จ ท่านปู่เกอหยาง…ข้าต้องการเข้าพบท่านปู่เหล่ยหง ท่านปู่อยู่ด้านในหรือไม่ขอรับ?”

“อยู่สิ ข้าจะนำทางเจ้าไปเอง”

“ขอรับ!”

เหล่ยหงนั่งไขว่ห้างภายในห้องโถงหลักและร่างกายปกคลุมไปด้วยปราณยุทธ์…เขากำลังฝึกตนอยู่

เมื่อหลินมู่อวี่ ถังเสี่ยวซี และเกอหยางเข้ามา พวกเขาเพียงรออย่างเงียบๆ ไม่นานเหล่ยหงก็หมุนตัวกลับก่อนที่จะลืมตา เขาเผยยิ้มพร้อมกล่าวว่า “อาอวี่ องค์หญิงซี มาแล้วหรือ?”

“เจ้าค่ะ” เสี่ยวซีตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

เหล่ยหงกล่าว “จากการที่เจ้ามาที่แห่งนี้ คงมีบางสิ่งเกิดขึ้นใช่หรือไม่?”

หลินมู่อวี่เอ่ยถาม “ท่านปู่เหล่ยหง ข้ามีข้อสงสัยบางประการจะถามขอรับ และหวังว่าท่านปู่จะตอบข้าอย่างจริงใจ”

“อืม…ว่ามาสิอาอวี่”

“ระหว่างท่านปู่เหล่ยหงและเจิ้งอี้ฟาน…ใครเป็นผู้ที่แข็งแกร่งกว่ากันขอรับ?” หลินมู่อวี่เอ่ยถามอย่างเถรตรง

เหล่ยหงตกตะลึงก่อนจะลูบเคราขาวและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจิ้งอี้ฝานเป็นผู้ที่แข็งแกร่งกว่า”

“แล้วระหว่างท่านปู่ชวีฉู่และเจิ้งอี้ฝานล่ะขอรับ?” หลินมู่อวี่ถามต่อ

เหล่ยหงเผยยิ้มจางๆ “ชวีฉู่บรรลุวิชาขั้นสูงสุดของปราณยุทธ์ไฟ ไม่มีใครสามารถต้านทานฝ่ามือเพลิงของเขาได้ ทว่าเจิ้งอี้ฝานปกปิดพลังที่แท้จริง…ดังนั้นจากมุมมองของปู่ ชวีฉู่และเจิ้งอี้ฝานคงจะมีพลังพอๆ กัน”

“ข้าเข้าใจแล้วขอรับ…”

หลินมู่อวี่ถอนหายใจอย่างโล่งอก “ท่านปู่เหล่ยหงควรจะส่งสารถึงท่านปู่ชวีฉู่เพื่อขอให้ท่านกลับมาที่เมืองหลันเยี่ยนนะขอรับ!”

“ด้วยเหตุอันใดกัน?”

เหล่ยหงตกตะลึงไปชั่วขณะ…

………………..………………..