EP.158****คุกเข่าลงซะ

“เมื่อสักครู่เจิ้งอี้ฝานนำทหารจากค่ายเสินเวยไปที่ตำหนักเจ๋อเทียนและสังหารรองผู้บัญชาการองครักษ์รักษาพระองค์ซ่งฮ๋านหยวนด้วยข้อหาที่เป็นเท็จ เขาฆ่าซ่งฮั่นหยวนต่อหน้าองค์หญิงอินและองค์หญิงถัง” หลินมู่อวี่ตอบ

“ว่าอย่างไรนะ?”

เหล่ยหงขมวดคิ้วและกล่าวว่า “เจิ้งอี้ฝาน บังอาจอวดดีถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?”

“ขอรับ”

หลินมู่อวี่กล่าว “การกระทำของเจิ้งอี้ฝานเป็นการเตือนองครักษ์รักษาพระองค์ว่ามิให้ฉินเหลยและเหล่าองครักษ์เข้ามายุ่งกับกิจของจวนเสินโหว ข้าเกรงว่าพฤติกรรมของเจิ้งอี้ฝานเช่นนี้จะเป็นการต่อต้านองค์จักรพรรดิและองค์หญิงอิน ดังนั้นหวังว่าท่านปู่เหล่ยหงจะสามารถตามหาท่านปู่ชวีฉู่เพื่อมาป้องกันตำหนักเจ๋อเทียน…องค์จักรพรรดิและองค์หญิงทรงมีพระประสงค์ต่อความอนุเคราะห์จากท่านปู่ชวีฉู่”

“ด้วยเหตุนี้เองรึ”

เหล่ยหงสูดลมหายใจเข้าก่อนกล่าวว่า “ชวีฉู่อาจกลับมาที่เมืองหลันเยี่ยนภายในห้าวัน ทว่าอาอวี่…เจ้าเป็นเสี้ยนหนามที่ตำหนักเสินเวยหมายหัวไว้ อีกทั้งเจ้ายังประจำอยู่ที่รังอินทรีซึ่งตั้งอยู่นอกเมือง ดังนั้นเจ้าควรต้องระวังตัวให้ดี ข้ามิได้กังวลเรื่องที่เจิ้งอี้ฝานจะต่อต้านจักรวรรดิหรือไม่ ทว่าข้ากังวลว่าเขาจะทำร้ายเจ้า…”

หลินมู่อวี่กล่าวด้วยท่าทีสงบ “ข้าไม่เป็นไรขอรับ คงเป็นการยากที่เจิ้งอี้ฝานจะสังหารข้า อีกทั้งมีทหารรักษาการณ์และทหารรักษาพระองค์อีกหลายร้อยนายที่รังอินทรี ดังนั้นเขาคงจะลงมือลำบาก”

“งั้นหรือ”

เหล่ยหงกล่าว “พระอาทิตย์ยังไม่ลับขอบฟ้า ดังนั้นเจ้าควรรีบเดินทางกลับ และได้โปรดระวังตัวด้วย”

“ขอรับ!”

จากนั้นเหล่ยหงยืนขึ้นและกล่าวว่า “ท่านเกอหยาง เตรียมม้าให้ข้าด้วย”

“ท่านผู้ดูแลจะไปไหนหรือขอรับ?” เกอหยางเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ

เหล่ยหงเผยรอยยิ้มจางๆ “ก่อนที่สหายชวีฉู่จะกลับมาเมืองหลันเยี่ยน ข้าจำเป็นต้องเข้าตำหนักเจ๋อเทียนเพื่อคุ้มกันองค์จักรพรรดิและองค์หญิงอิน แม้ว่ากระดูกข้ามิได้แข็งเยี่ยงเจิ้งอี้ฝาน ทว่าคงทำให้เขาต้องเสียเลือดเนื้อได้บ้างหากคิดจะฆ่าข้าผู้นี้!”

“ขอรับ ท่านเหล่ยหง!”

หลินมู่อวี่เผยยิ้มขณะที่ออกจากวิหารพร้อมเสี่ยวซี

เมื่อใกล้พลบค่ำ ผู้คนออกมาเดินกันขวักไขว่บนถนนทงเทียน มองจากระยะไกลสมาพันธ์โอสถช่างดูใหญ่โตและงดงามสมกับเป็นอาคารของจักรวรรดิ และเมื่อมีวิหารตั้งอยู่ตรงข้าม ทั้งสองเปรียบเสมือนดั่งเทพเจ้าขนาดใหญ่ปกปักรักษาเมืองหลันเยี่ยน

“เสี่ยวซี ข้าอยากจะ…” หลินมู่อวี่หยุดม้ากะทันหัน

ถังเสี่ยวซีหัวเราะออกมาพร้อมกับแววตาเผยความเจ้าเล่ห์ “เจ้าต้องการไปหาท่านพี่ฉู่เหยาอย่างนั้นหรือ?”

“ใช่…”

หลินมู่อวี่รู้ดีว่าเสี่ยวซีรู้สึกกับเขาอย่างไรจึงถามว่า “เจ้าจะไม่อิจฉาและขุ่นเคืองใช่ไหม?

เสี่ยวซีส่ายศีรษะก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มู่มู่และท่านพี่ฉู่เหยาเสี่ยงชีวิตมาด้วยกันจากเมืองหยินซานเพื่อมาที่เมืองหลันเยี่ยน หากเจ้าเพิกเฉยต่อนาง ข้าคงต้องตั้งคำถามกับเจ้าแล้วว่า เจ้ายังมีจิตใจอยู่หรือไม่?”

อาอวี่อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “แล้วจิตใจของข้าเป็นอย่างไรหรือ?”

“ก็…ค่อนข้างดี…” เสี่ยวซีลงจากม้าและกล่าวว่า “ถ้าเยี่ยงนั้นข้าคงไม่เข้าไปกับเจ้า ไปเร็วสิ จากนั้นเจ้าจะได้ไปส่งข้ากลับจวน”

“อื้อ ได้สิ”

หลินมู่อวี่ผูกม้าไว้ด้านนอกก่อนจะเดินเข้าไปยังสมาพันธ์โอสถ เขาไม่พบใครระหว่างทางเลยจนกระทั่งมาถึงลานกว้างของฉู่เหยา ทันทีที่เปิดประตูพลันได้ยินเสียง ‘เปรี้ยง!’ กระบี่ดอกหลีฮวาพุ่งแหวกอากาศปักลงบนต้นไม้ ฉู่เหยายืนห่างออกไปไม่กี่เมตรและกำลังชี้สองนิ้วซึ่งปกคลุมไปด้วยปราณยุทธ์

“เจ้าฝึกมาดีเลยนี่…” หลินมู่อวี่เผยยิ้ม

ฉู่เหยาประหลาดใจก่อนที่ดวงตาจะเริ่มเป็นริ้วแดง เธอโผเข้าใส่หน้าอกหลินมู่อวี่ในขณะที่ไหล่อันบอบบางก็สั่นสะท้าน “อาอวี่ ข้าได้ยินข่าวร้ายมากมายเกี่ยวกับเจ้า และคิดว่าเกิดเหตุไม่คาดฝันในป่าล่ามังกรนั่น! ข้าต้องฝันร้ายทุกค่ำคืน…ช่างดีเหลือเกินที่เจ้ารอดกลับมา!”

หลินมู่อวี่โอบเอวบางของพี่สาวและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ ข้ารอดกลับมาแล้วเห็นไหม? ท่านพี่ฉู่เหยา…ข้ามีเวลาไม่มาก เนื่องจากต้องกลับรังอินทรีเพื่อรายงานภารกิจ…มาเถิด ให้ข้าสอนวิชาดาบให้สักสองสามท่า ตกลงไหม?”

“อื้อ เอาสิ!” ฉู่เหยาตอบอย่างสุขใจ

จากนั้นอาอวี่ได้สอนกระบวนท่ากระบี่จักรวรรดิทั้งสี่ธาตุให้ฉู่เหยาภายในเวลายี่สิบนาที เขาไม่แน่ใจว่าฉู่เหยาเข้าใจมากน้อยเพียงใด ทว่าด้วยความสามารถของฉู่เหยา นางคงจะต้องเข้าใจวิทยายุทธที่สอนไปได้อย่างแน่นอน หลินมู่อวี่ปลดปล่อยทักษะชีพจรวิญญาณจึงสามารถมองเห็นปราณยุทธ์โคจรอยู่รอบกายฉู่เหยา อาอวี่เห็นว่าเธอได้เข้าสู่ระดับขุนศึกและอยู่ในขอบเขตปฐพีระดับที่สองแล้ว ด้วยพัฒนาการที่รวดเร็วของฉู่เหยา…คงเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตปฐพีระดับที่สามภายในครึ่งปีเป็นแน่!

เมื่อมองไปที่ฉู่เหยา ก็เห็นว่าเธอยังคงตัดผมสั้น ทว่าเขาสังเกตเห็นชุดเกราะเบาภายใต้เสื้อคลุมสมาพันธ์โอสถ เธอดูมีชีวิตชีวาและกล้าหาญขึ้นมากซึ่งทำให้หลินมู่อวี่สบายใจ เขาคงไม่สามารถปกป้องฉู่เหยาไปตลอดชีวิต ดังนั้นการทำให้เธอแข็งแกร่งขึ้นคงเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะปกป้องเธอ

หลินมู่อวี่รีบออกเดินทางก่อนพลบค่ำหลังจากมอบกระบี่จักรวรรดิทั้งสี่ธาตุให้ฉู่เหยา

ด้านนอกสำนักวิจัยโอสถวิญญาณถังเสี่ยวซีเม้มริมฝีปากของเธออย่างร้อนใจ ทว่าเมื่อเห็นอาอวี่เดินออก เธอก็ไม่สามารถตำหนิเขาได้ก่อนที่จะเอ่ยถามว่า “ท่านพี่ฉู่เหยาเป็นอย่างไรบ้าง?”

“นางสบายดี”

หลินมู่อวี่เผยยิ้มออกมาและกล่าวว่า “ข้าสอนวิชาดาบให้แก่นางเล็กน้อยและท่านพี่ฉู่เหยาเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว จริงสิเสี่ยวซี…ตอนนี้การฝึกตนของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”

ถังเสี่ยวซีเลิกคิ้วงามและยืดอกอย่างภูมิใจขณะที่กล่าวว่า “ข้าเข้าสู่ขอบเขตปฐพีระดับที่สามเมื่อเดือนก่อน และขณะนี้คงเทียบได้กับปราชญ์สงครามระดับที่ห้าสิบเจ็ด หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาดข้าควรจะเข้าสู่ขอบเขตนภาภายในหนึ่งเดือน…เป็นอย่างไร? ข้าจะตามทันแล้วนะมู่มู่!”

หลินมู่อวี่แอบหัวเราะ “นี่…แม้ว่าเจ้าจะอยู่ขอบเขตนภา ทว่าก็มิใช่คู่ต่อสู้ของข้าหรอก…”

เสี่ยวซีเม้มริมฝีปากแน่น “มู่มู่ คนนิสัยไม่ดี! หยุดยั่วโมโหข้าได้แล้ว!”

“เอาหล่ะ เจ้าควรกลับจวนได้แล้ว!”

“ก็ได้”

หลังจากมาส่งเสี่ยวซีที่จวน หลินมู่อวี่เดินทางกลับรังอินทรีทันทีโดยใช้เวลาไม่ถึงสามสิบนาที มีองครักษ์รักษาพระองค์หลายนายขึ้นเขาเพื่อนำจิ้งจอกไฟ หมาป่าวาโย กวางมหาเมฆา และสัตว์นานาชนิดขึ้นหลังม้า ซึ่งพวกเขาลำเลียงไปยังตำหนักเจ๋อเทียน มันช่างเป็นภาพที่แตกต่างกับไพร่พลธรรมดาที่ส่งกลิ่นเหม็นและหนาวตายอยู่บนถนน

ถึงกระนั้นเมื่อนึกถึงอีกด้านหนึ่งของตำหนักเจ๋อเทียนซึ่งมีฉินจิ้นและฉินอินปกครองอยู่ มีเหล่าสาวใช้และขุนนางในตำหนักมากมาย เมื่อเทียบกันแล้ว จักรวรรดิจีนโบราณซึ่งประกอบไปด้วยตำหนักสามแห่งและลานกว้างหกแห่งโดยมีผู้อยู่อาศัยมากกว่าหนึ่งหมื่นคนในแต่ละตำหนัก พวกเขามิได้ต้องการกวางมหาเมฆาจำนวนยี่สิบตัวแต่อย่างใด ทว่าควรเป็นมากกว่าสองพันตัว!

เมื่อนึกถึงในแง่นั้นจะเห็นได้ว่าตำหนักเจ๋อเทียนค่อนข้างเรียบง่าย ความเป็นอยู่ของฉินจิ้นและฉินอินห่างไกลจากความหรูหราอย่างมาก

เมื่อมาถึงค่าย…อาอวี่เห็นกลุ่มคนยืนอยู่ในระยะไกลพร้อมเสียงหยิ่งยโสดังออกมา

“ไอ้เวรนี่! ยังมีหน้ามาพูดว่าแกหาศิลาวิญญาณอสูรเกล็ดทองคำอายุหกพันปีได้อีกงั้นเหรอ! ถ้าทำไม่ได้ก็อย่ามากล่าวอ้างเรื่องไร้สาระนี่! ไป! พาพวกมันทั้งหมดไปหาผู้บังคับบัญชาการ!”

เป็นเสียงจากกงฉวนที่คมชัดซึ่งฟังคล้ายกับขันทีในตำหนัก

“แย่แล้ว…”

หลินมู่อวี่หัวใจหล่นวูบขณะที่รีบควบม้าพร้อมตะโกนว่า “ไป!”

เขาปลดปล่อยปราณยุทธ์เพื่อป้องกันตัวรวมทั้งม้าขณะที่พุ่งตัวไป ฝูงชนแตกกระเจิงก่อนที่อาอวี่จะเห็นเว่ยโฉวและคนอื่นๆ อยู่ตรงกลาง หัวใจของเขาเจ็บปวดราวกับถูกมีดแทง

กงฉวนและองครักษ์ขอบเขตนภานายหนึ่งยืนหัวเราะเยาะอยู่ใกล้ๆ หลินมู่อวี่จำองครักษณ์นายนั้นได้ว่าคือสวี่เกิง เขาเป็นผู้บังคับการกองร้อยและมาจากจวนเสินโหว อีกทั้งเป็นผู้ฝึกตนในขอบเขตนภาระดับหกสิบซึ่งแข็งแกร่งมาก กองทหารของหลินมู่อวี่มิใช่คู่ต่อสู้ของผู้ชำนาญการขอบเขตนภาทั้งสองคนนี้เลย!

“นี่มันอะไรกัน?”

หลินมู่อวี่ลงจากหลังม้าก่อนจะชักกระบี่เหลียวหยวนออกมาซึ่งปกคลุมไปด้วยพลังอสนีบาต เขาถือมันไว้ในมือแน่นขณะที่เผยสีหน้าบิดเบี้ยวและกล่าวเสียงแผ่วเบา “เว่ยโฉว เกิดอะไรขึ้น?”

เลือดอาบเต็มใบหน้าของเว่ยโฉว เขากัดฟันและกล่าวว่า “ท่านกงฉวนและท่านสวี่เกิงกล่าวหาว่าพวกเรามิได้ลุล่วงภารกิจ ก่อนจะบอกให้เราเคารพข้อตกลงเมื่อครานั้นและก้มหัวให้เขา…อีกทั้งยังทำร้ายพวกเราอีกด้วยขอรับ!”

กงฉวนรู้ว่าตัวเองมีพรรคพวกจึงเลิกคิ้วขึ้นก่อนกล่าวว่า “หลินมู่อวี่ผู้พูดโอ้อวดมากมายในครานั้น ทว่าตอนนี้คงไม่มีสิ่งใดจะพูดแล้วสินะ? ทหารใต้บังคับบัญชาของเจ้าพูดมากน่ารำคาญ ข้าจึงช่วยสอนบทเรียนให้แก่พวกเขา และนี่คือกฎเกณฑ์ของรังอินทรี!”

“กฎเกณฑ์ของรังอินทรีอย่างนั้นหรือ?!”

หลินมู่อวี่เต็มไปด้วยความโกรธขณะที่กล่าวว่า “ใครเป็นผู้บอกเจ้า…คนจากจวนเสินโหวรึ?”

หลังจากพูดจบ หลินมู่อวี่ล้วงเข้าไปในเสื้อแล้วดึงศิลาวิญญาณของอสูรเกล็ดทางคำออกมา เมื่อไม่มีปราณยุทธ์ปกคลุมมันพลันเปล่งประกายปลดปล่อยพลังงานของศิลาวิญญาณสัตว์อายุหกพันปี

“แล้วตอนนี้ล่ะ?” หลินมู่อวี่เอ่ยเสียงแผ่วเบา “ทีนี้เราก็ทำภารกิจเสร็จแล้วใช่หรือไม่?”

“น…นั่นมันศิลาวิญญาณของอสูรเกล็ดทองคำอายุหกพันปีจริงๆ หรือ?“ สวี่เกิงตกตะลึง

กงฉวนหัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น “จะแน่ใจได้อย่างไรว่าเจ้าไม่ได้ไปรับซื้อจากพ่อค้าในเมืองหลวงมา ได้ยินมาว่าเจ้ากับจินเสี่ยวถังคุ้นเคยกัน ดังนั้นเจ้าอาจซื้อมาจากที่นั่นก็เป็นได้”

“ถ้าแม้จะซื้อมา อย่างไรก็แปลได้ว่าข้ายังคงลุล่วงภารกิจอยู่ดี” ริมฝีปากของหลินมู่อวี่ยกขึ้นขณะที่กล่าวว่า “สำหรับเจ้าสองคนที่บังอาจมาทำร้ายคนของข้า…จะรับผิดชอบเรื่องนี้อย่างไร?”

“รับผิดชอบอะไร?” กงฉวนหัวเราะเยาะและกล่าวว่า “เจ้าคิดว่าจะสามารถสู้พวกเราสองคนได้อย่างนั้นรึ?”

“แล้วเหตุใดจึงไม่ได้?”

ไม่ทันสิ้นเสียง หลินมู่อวี่พลันหายตัวไป ทันใดนั้น! กำปั้นซ้ายซึ่งปกคลุมไปด้วยพลังประทีปพุ่งเข้าใส่กลางลำตัวของสวี่เกิงจนเกิดเสียงระเบิดดังกึกก้อง สวี่เกิงไม่คาดคิดว่าหลินมู่อวี่จะลอบโจมตี เขารวบรวมเกราะพลังอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันตัวเองทันที ทว่าก็ไม่ทันการ…เขาเหลือเกราะพลังเพียงสามสิบเปอร์เซ็นต์ เนื่องจากก่อนหน้าโดนทำลายด้วยประทีปที่สองไปแล้วถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์!

“เปรี้ยง!”

องครักษ์ขอบเขตนภาผู้สง่างามถูกกระแทกลอยออกไป ก่อนจะตกลงบนกองอิฐและแน่นิ่งไป

“เจ้า!”

กงฉวนตกตะลึง เขาพลันรวบรวมปราณยุทธ์บนกระบี่แล้วฟันออกไป

หลินมู่อวี่หัวเราะอย่างบ้าคลั่งขณะที่ยกมือซ้ายขึ้นเรียกปราการเกล็ดมังกรล้อมรอบนิ้ว เพื่อเพิ่มการป้องกันซึ่งทำให้เขาสามารถจับดาบของศัตรูได้ ‘ฉัวะ!’ เขาใช้กระบี่เหลียวหยวนในมือขวาแทงเข้าไปที่หน้าอกกงฉวน ‘เคร้ง!’ มันไม่สามารถแทงทะลุเกราะพลังงานของกงฉวนได้ ทว่าก็ทำให้มันแตกเป็นเสี่ยงๆ ทันใดนั้น! หลินมู่อวี่ทำมือขวาให้เป็นรูปใบดาบซึ่งปกคลุมไปด้วยปราณยุทธ์ จากนั้นรวบรวมพลังสามสิบเปอร์เซ็นต์ของหนึ่งประทีปก่อนที่จะฟาดลงไปที่หลังคอกงฉวนอย่างเต็มแรง!

‘เปรี้ยง!’

ฝ่ามือกระแทกกงฉวนลงไปกองที่พื้นโดยที่ใช้มือทั้งสองพยุงร่างกายไว้ และกระบี่ของกงฉวนกระเด็นหายไป

หลินมู่อวี่เตะไปที่หลังเข่าของกงฉวนและยกฝ่ามือซึ่งเต็มไปด้วยปราณยุทธ์ก่อนจะคว้าเสื้อคลุมของกงฉวนไว้ หลินมู่อวี่ถีบกงฉวนไปในทิศทางที่เว่ยโฉวและคนอื่นๆ อยู่ ก่อนที่จะคำรามเสียงทุ้ม “คุกเข่าลงซะ!”

จากนั้นกงฉวนคุกเข่าลงตรงหน้าเว่ยโฉวด้วยความรู้สึกอัปยศ

………………..………………..