EP.159 รังอินทรีที่น่าสมเพช

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา

EP.รังอินทรีที่น่าสมเพช

จิตใจของกงฉวนนั้นว่างเปล่าขณะที่คุกเข่าอยู่บนพื้น แม้หลินมู่อวี่จะใช้หนึ่งประทีปเพียงสามสิบเปอร์เซ็นต์ของพลังทั้งหมด ทว่ากงฉวนก็ไม่สามารถต้านมันได้ เขาส่ายหัวอย่างสิ้นหวังและใช้เวลาอย่างน้อยสิบวินาทีก่อนจะสามารถดึงสติ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบว่าตัวเองคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเว่ยโฉวและองครักษ์นายอื่นๆ โดยมีเท้าเหยียบอยู่บนหลังทำให้ไม่สามารถขยับตัวได้

“ขอโทษซะ” หลินมู่อวี่พยายามกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติ แม้จะดูเหมือนว่าเขากำลังระงับความโกรธอยู่

กงฉวนกัดฟันแน่นและพยายามลุกขึ้น เขาคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว “จะให้คนอย่างกงฉวนขอขมาเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างนั้นเหรอ…ฝันไปเถอะ! ถ้ามีปัญญาก็ฆ่าข้าเลยสิ!”

หลินมู่อวี่ไม่ได้พูดสิ่งใด เขาเพียงยกกระบี่เหลียวหยวนขึ้นมาและปลดปล่อยปราณยุทธ์ จากนั้นเปลวเพลิงลุกโชนบนใบดาบก่อนที่จะวางกระบี่ไว้บนคอของกงฉวน มันร้อนมากจนทำให้ผิวของกงฉวนไหม้ และทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดมากขนาดที่คนธรรมดาไม่สามารถอดทนได้

แม้ว่ากงฉวนจะสง่างาม ทว่าความจริงแล้วตัวเขามีเพียงความจองหองเท่านั้น…กงฉวนไม่สามารถอดทนความเจ็บปวดนี้ได้ขณะที่ส่งเสียงโอดครวญราวกับหมูถูกเฉือด “หลินมู่อวี่ ไอ้สารเลว! แกต้องการอะไร!?”

“ขอโทษเว่ยโฉวเดี๋ยวนี้” หลินมู่อวี่กล่าวอย่างใจเย็น “บอกเว่ยโฉวว่าเจ้าเป็นคนผิด”

“ท่านหลินมู่อวี่…”

เมื่อเว่ยโฉวเห็นกงฉวนคุกเข่าต่อหน้าพลันรู้สึกเกรงกลัวเล็กน้อย เนื่องจากพละกำลังและสายเลือดของกงฉวนนั้นสูงส่งกว่าเขามาก อีกทั้งกงฉวนเป็นถึงผู้บัญชาการซึ่งมียศสูงกว่า

“ขอโทษซะ!” หลินมู่อวี่คำรามกึกก้อง ปราณยุทธ์ในมือแข็งแกร่งขึ้นและเปลวไฟเริ่มเผาไหม้อย่างรุนแรง หากเป็นเช่นนี้ต่อไปกงฉวนคงสิ้นใจในไม่ช้า

กงฉวนดิ้นพล่านบนพื้นด้วยความเจ็บปวดก่อนจะพยายามใช้มือพยุงตัวเองช้าๆ “เว่ยโฉว…ข้าขอโทษ! กงฉวนทำสิ่งที่ผิดพลาดและปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไม่เป็นธรรม ฉะนั้นข้าจึงขอขมา!”

‘ฟู่!’

เปลวเพลิงบนกระบี่ดับลงทันทีขณะที่หลินมู่อวี่เก็บเข้าฝัก เขายกเท้าออกจากแผ่นหลังของกงฉวนและกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ข้าหวังว่าเจ้าจะสำนึกและไม่กระทำผิดอีก เว่ยโฉวเป็นคนของข้า ดังนั้นเจ้าไม่มีสิทธิ์มาแตะต้องเขา!”

“ข…ขอรับ…” กงฉวนไม่แสดงท่าทีหยิ่งผยองเหมือนแต่ก่อน เขาไออย่างรุนแรงสองถึงสามครั้งจนเลือดสาดกระเซ็นเต็มพื้น

อีกด้านหนึ่ง…สวี่เกิงเริ่มไอก่อนจะพยายามลุกขึ้นยืนพร้อมใบหน้าที่อาบไปด้วยเลือด เขาได้รับพลังทำลายล้างของสองประทีปจนร่างกายแทบทนไม่ไหว สวี่เกิงรู้สึกโชคดีที่ยังรอดมาได้

องครักษ์ที่อยู่รอบๆ ต่างมีสีหน้าตกตะลึง เนื่องจากไม่คาดคิดว่าหลินมู่อวี่จะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ สวี่เกิงและกงฉวนต่างก็อยู่ขอบเขตนภา ทว่าก็มิอาจสู้หลินมู่อวี่ได้ ไม่มีใครทราบว่าเขาแข็งแกร่งเพียงใด ถึงกระนั้นการต่อสู้ก็จบลงอย่างรวดเร็ว ด้วยประการแรกคือหลินมู่อวี่จู่โจมอย่างกะทันหันโดยที่ศัตรูไม่ทันตั้งตัว และประการที่สองคือพลังเจ็ดประทีปนั้นแข็งแกร่งมาก กงฉวนและสวี่เกิงมีปราณยุทธ์เทียบเท่าหลินมู่อวี่ อีกทั้งยังรู้ศิลปะการต่อสู้มากกว่า

และแม้ว่ากงฉวนและสวี่เกิงรู้ศิลปะการต่อสู้มากมาย ทว่าก็เป็นเพียงระดับจิตวิญญาณเท่านั้น พลังเจ็ดประทีปของหลินมู่อวี่เป็นพลังในตำนาน แทบไม่ต้องพูดถึงระดับนิลหรือระดับปราชญ์เลย แม้แต่ระดับเทวาก็ไม่สามารถอธิบายพลังเจ็ดประทีปได้ เนื่องจากราชาปีศาจเจ็ดประทีปใช้พลังนี้สังหารผู้ชำนาญการทั้งขอบเขตปราชญ์และขอบเขตเทวามามากมายนับไม่ถ้วน และหลินมู่อวี่เห็นมากับตา ความแข็งแกร่งของพลังเจ็ดประทีปยิ่งใหญ่มากเกินกว่าที่คนทั่วไปจะสามารถทำความเข้าใจได้

“เว่ยโฉวไปรายงานตัวกับข้าไหม?” หลินมู่อวี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม

เว่ยโฉวยิ้มรับขณะที่เช็ดเลือดออกจากมุมปากก่อนจะกล่าวว่า “ขอรับ!”

จากนั้นหลินมู่อวี่นำองครักษ์สิบนายไปยังกระโจมหลัก ความจริงการต่อสู้ที่เกิดขึ้นห่างจากกระโจมหลักไม่ถึงร้อยเมตร ทว่าเมิ่งฟางกลับเพิกเฉย หลินมู่อวี่ไม่แปลกใจกับเรื่องพรรนี้อีกต่อไปเนื่องจากโลกนี้เชิดชูเฉพาะผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้น เมิ่งฟางเพียงต้องการคนทำงานทุกอย่างให้ และจะไม่รับผิดชอบใดๆ หากมีคนถูกฆ่าตาย

“เฮ!”

เมื่อเดินเข้ากระโจม หลินมู่อวี่เห็นเมิ่งฟางนั่งอยู่ด้านในขณะที่ถือจอกสุรา และผู้บัญชาการอีกสองนายซึ่งมียศเท่าหลินมู่อวี่

“เจ้าสั่งสอนกงฉวนเสร็จแล้วหรือ?” เมิ่งฟางยิ้มจางๆ “กงฉวนคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่านหลินมู่อวี่สินะ การที่รอดชีวิตจากเจดีย์ทงเทียนมาได้ก็คงไม่ใช่คนธรรมดาเป็นแน่”

หลินมู่อวี่ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรขณะที่เดินเข้าไป จากนั้นเขาหยิบถุงใบหนึ่งออกมาเขย่าก่อนที่ศิลาวิญญาณจะหล่นลงมาพร้อมกล่าวว่า “ท่านผู้บัญชาการ นี่เป็นผลผลิตจากการเดินทางของพวกเรา ศิลาวิญญาณอัคนีพยัคฆ์กระหายเลือดอายุห้าพันเจ็ดร้อยปี ศิลาวิญญาณอัคนีหมีเหล็กทมิฬอายุสี่พันสองร้อยปี ศิลาวิญญาณบรรพตหมาป่าศิลามลทินอายุห้าพันสองร้อยปี ศิลาวิญญาณอรุณอสูรเกล็ดทองคำอายุหกพันสองร้อยปีและอายุสี่พันแปดร้อยปี ได้โปรดตรวจสอบทีละก้อนได้เลยขอรับ”

ดวงตาเมิ่งฟางเป็นประกายขณะที่เห็นศิลาวิญญาณหลายก้อนเปล่งแสงแวววาวอยู่บนโต๊ะ เขาหัวเราะเบาๆ และกล่าวว่า “ท่านแม่ทัพหลิน ข้ามีข้อสงสัยอยากจะถาม ท่านได้ศิลาวิญญาณอายุกว่าห้าพันปีทั้งหมดนี้มาได้เยี่ยงไร…พูดกันตามตรง แม้ว่าท่านจะอยู่ขอบเขตนภาระดับที่หนึ่ง ทว่า…การฆ่าสัตว์วิญญาณอายุหกพันสองร้อยปีคงไม่ง่ายถึงเพียงนั้นใช่หรือไม่?”

หลินมู่อวี่ชี้ไปที่แขนก่อนจะกล่าวว่า “เพื่อที่จะฆ่าอสูรเกล็ดทองคำ…ข้าต้องแลกด้วยแขนที่หัก ส่วนทหารคนอื่นๆ ได้รับบาดเจ็บสาหัส กว่าจะได้ศิลาวิญญาณทั้งหมดมาไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่ท่านคิดขอรับ…”

“เป็นเช่นนั้นเองหรือ…”

เมิ่งฟางมองหลินมู่อวี่ด้วยสายตาชื่นชมและกล่าวว่า “รังอินทรีช่างโชคดีที่มีผู้ที่แข็งแกร่งอย่างท่านหลินมู่อวี่ ข้าขอพูดตามสัตย์จริง…หากท่านไม่ได้ถูกส่งมาที่นี่…เราคงไม่สามารถลุล่วงภารกิจสำหรับพิธีเหมันตฤดูเป็นแน่ แม้จะส่งทหารทั้งหมดออกไปผลลัพธ์ก็คงไม่ต่างกัน”

หลินมู่อวี่หัวเราะขณะที่ประสานมือขึ้นพร้อมกล่าวอย่างถ่อมตนว่า “ตั้งแต่ที่ข้าเข้าร่วมองครักษ์อินทรี แน่นอนว่าข้าได้กลายเป็นสมาชิกคนหนึ่งของหน่วย ชื่อเสียงของรังอินทรีก็เหมือนชื่อเสียงของข้า ดังนั้นจึงมิอาจละเลยต่อภารกิจนี้ได้ขอรับ”

เมิ่งฟางพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ท่านต้องผ่านอุปสรรคมามากมาย ดังนั้นมาดื่มกันเถิด”

“เป็นเกียรติมากขอรับท่านแม่ทัพ”

หลินมู่อวี่สะบัดชุดรบก่อนจะนั่งลงอีกมุมของโต๊ะ จากนั้นมีทหารเข้ามารินสุราให้เขา รวมทั้งเว่ยโฉวและองครักษ์นายอื่นๆ ที่ยืนอยู่ด้านหลัง

ห่างออกไป…ผู้บัญชาการนายหนึ่งฉีกขากระต่ายในชามทองแดงก่อนจะกัดลงไปคำใหญ่ น้ำมันย้อยลงมาจนเปื้อนเคราก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “ข้าทราบมาว่าท่านหลินมู่อวี่สนิทสนมกับท่านผู้บัญชาการเฟิงจี้สิงและฉินเหลย อีกทั้งเป็นที่โปรดปรานขององค์หญิงอินและองค์หญิงซี เมื่อครั้งที่ท่านถูกเนรเทศไปยังหอคอยทงเทียน ทั้งสองพระองค์ทรงวิงวอนขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่ท่าน เนื่องด้วยความสัมพันธ์เช่นนี้…เหตุใดกันท่านจึงมาเข้าร่วมรังอินทรี?”

เขาเช็ดปากก่อนจะกล่าวต่อด้วยรอยยิ้ม “การเข้าร่วมองครักษ์มังกรอาจไม่เกินความสามารถของท่าน อีกทั้งการรับใช้สาวงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวงและรัชทายาทองค์หญิงอิน…คงจะดีกว่าการมาอยู่ที่รังอินทรีซึ่งเต็มไปด้วยคนโง่เขลามิใช่หรือ?”

หลินมู่อวี่ขมวดคิ้วอย่างจนปัญญา ภายหลังจากครุ่นคิดเล็กน้อยเขากล่าวขึ้น “ข้าเพียงคิดว่า…การมาอยู่ที่รังอินทรีนั้นผ่อนคลายมากกว่า?”

เมิ่งฟางหัวเราะ “ใช่แล้ว รังอินทรีของเราเป็นหน่วยองครักษ์ที่อยู่ห่างไกลจากตำหนักเจ๋อเทียนและองค์จักรพรรดิมากที่สุด แม้ว่าเราจะต้องลาดตระเวน รวบรวมข่าวสาร และทำภารกิจเสี่ยงอันตรายมากมาย ทว่าก็เป็นหน่วยที่มีอิสระมากที่สุด”

หลินมู่อวี่พยักหน้า “ท่านผู้บัญชาการพูดถูกขอรับ”

เมื่อนายพลผู้มีหนวดเคราครึ้มพยายามพูดต่อ เมิ่งฟางก็พูดขัดจังหวะ “ท่านเซี้ยโหวซาง…ท่านหลินมู่อวี่พึ่งกลับจากการลาดตระเวนและได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นควรหยุดถามเรื่องไร้สาระได้แล้ว หากต้องการถามสิ่งใดควรทำในภายหลัง”

เซี้ยโหวซางตกตะลึงก่อนจะกำหมัดแน่นขณะที่กล่าวว่า “ขอรับท่านผู้บังคับบัญชา!”

ไม่นานหลังจากเมิ่งฟางออกคำสั่ง กงฉวนและสวี่เกิงก็เข้ามาในกระโจมหลัก กงฉวนมีผ้าพันแผลพันรอบคอ ส่วนแขนของสวี่เกิงดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีที่รุนแรง

เซี้ยโหวเซิงหัวเราะออกมาทันทีเมื่อเห็นสภาพของกงฉวนและสวี่เกิง เขาถือจอกสุราขณะเผยยิ้มล้อเลียนก่อนจะกล่าวว่า “ว่าไง…เหตุใดนายพลทั้งสองจากจวนเสินโหวถึงตกอยู่ในสภาพนี้? อืม…ท่านคงได้พบกับผู้ชำนาญการขอบเขตปราชญ์อย่างท่านชวีฉู่สินะ? มิเช่นนั้นจะมีใครแข็งแกร่งมากพอในรังอินทรีที่จะเอาชนะท่านกงฉวนได้”

ใบหน้ากงฉวนเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำพร้อมกล่าวว่า “เซี้ยโหวซาง…ดื่มสุราของเจ้าแล้วหุบปากไปซะ!”

จากนั้นเซี้ยโหวซางระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

หลินมู่อวี่มองและแอบคิดว่า…เซี้ยโหวซางค่อนข้างปากเสีย ทว่าเมื่อได้ยินเขาล้อเลียนกงฉวนและสวี่เกิงก็ทำให้อาอวี่พึงพอใจมาก นี่คือชะตากรรมที่พวกเขาควรได้รับ!

หลังจากดื่มกินจนอิ่มหนำ หลินมู่อวี่ก็พาเว่ยโฉวและองครักษ์นายอื่นๆ ออกจากกระโจมหลัก

“ท่านหลินมู่อวี่ ที่พักของเราอยู่ทางด้านใต้ของรังอินทรีขอรับ” เว่ยโฉวกล่าวอย่างสุภาพ

“อืม”

“ทว่าพวกเขาเพิ่งตั้งกระโจมให้วันนี้” เว่ยโฉวกล่าวเสริมด้วยความระแวงกลัวว่าหลินมู่อวี่จะโกรธ ถึงอย่างไรหลินมู่อวี่ก็เป็นถึงวีรบุรุษของรังอินทรี ทุกคนต่างเป็นกังวลหากเขาไม่พอใจกับกระโจมเก่าซอมซ่อ

ทว่าหลินมู่อวี่ไม่ได้สนใจเรื่องนี้ เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร ตราบใดที่มันสามารถกันฝนและลมได้”

“ขอรับ!”

เมื่อมาถึงที่พักก็พบว่ากระโจมเหล่านั้นเรียบง่ายมาก กระโจมของหลินมู่อวี่เป็นสีขาวล้วน แม้จะเพียงพอสำหรับกันฝน ทว่าคงยากที่จะกันลม และมีฟูกซึ่งภายในยัดด้วยหญ้าแห้ง

หลินมู่อวี่ตกตะลึงเมื่อเห็นสภาพที่พัก พระเจ้าช่วย! รังอินทรีช่างน่าอนาถใจเกินไปแล้ว…มันน่าสมเพชจนดูเกินจริงไปมาก!

“ท่านหลินมู่อวี่ ท…ท่านพอใจหรือไม่ขอรับ?” เว่ยโฉวรู้สึกว่านี่คงเกินกว่าจะทนไหว

เมื่อหลินมู่อวี่มองออกไปรอบบริเวณก็เห็นว่ากระโจมของเว่ยโฉวและคนอื่นๆ เพียงทำขึ้นจากหญ้าแห้งและอิงแอบต้นไม้ใหญ่อย่างง่ายๆ เท่านั้น ซึ่งมีลมหนาวพัดเข้ามาจากทุกทิศทำให้การใช้ชีวิตในยามค่ำคืนคงลำบากน่าดู

หลินมู่อวี่ขมวดคิ้วก่อนกล่าวว่า “ขอเพียงแค่ให้ผ่านค่ำคืนนี้ไป…วันรุ่งขึ้นเราจะเข้าเมืองไปซื้อวัสดุมาปรับปรุงค่ายพักของเรากัน!”

“ขอรับ!”

เว่ยโฉวเผยท่าทางมีความสุข…

………………..………………..