ภาค 2 ไร้เทียมทานเย้ยยุทธจักร บทที่ 122 นักกระบี่ผู้ลึกลับ

จอมศาสตราพลิกดารา

“อ๊าก…”

“ไว้ชีวิตด้วย”

เวลากลางดึก ในเขตคฤหาสน์มีเสียงร้องน่าอนาถดังขึ้น

หม่าซานที่ประจำการอยู่ที่โถงใหญ่สีหน้าเปลี่ยนไปทันใด

“ไอ้โล้นเวรนี่มาถึงเร็วขนาดนี้เชียว?” ใบหน้าของเขาฉายแววเหี้ยมโหด พูดขึ้นว่า “มือปราบของทางการยังไม่มา ตรึงกำลังมันเอาไว้ กลวิธีอะไรใช้ออกมาให้หมด ไม่ต้องสนใจคนของทางการแล้ว ฆ่ามันซะ”

ยังพูดไม่ทันจบ หวงหย่งก็พุ่งตัวโซเซเข้ามาจากด้านนอก

“ท่านหม่า แย่แล้ว…ไม่ใช่…ไม่ใช่เจ้าโล้นนั่น เป็น…เป็น…”

เขายังพูดไม่จบ ปราณกระบี่วาววับสายหนึ่งก็พลันพุ่งเข้ามาจากด้านนอก แทงทะลุกลางหลังของเขาไป

หวงหย่งกระอักเลือด ตัวอ่อนปวกเปียกล้มลงไปบนพื้น ร่างกายเกร็งกระตุก ไม่นานก็ตายสนิท

หม่าซานเหงื่อซึมชื้นทั่วกายทันที

ตอนนี้เอง เขาถึงได้พบว่าเสียงร้องโหยหวนข้างนอกเงียบหายไปโดยสิ้นเชิงแล้ว

ไม่ใช่เพียงแค่เสียงร้องคร่ำครวญ ความเคลื่อนไหวอื่นๆ ทั้งหมดก็หายไปเช่นกัน

และข้างกายของเขาก็เหลือองครักษ์เพียงยี่สิบกว่าคนเท่านั้น อันธพาลที่คุ้มกันกลไกต่างๆ ข้างนอกหลายร้อยคนก็ราวถูกราตรีมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุดกลืนกินหายไปโดยสิ้นเชิง ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ อีก

เกิดอะไรขึ้น?

หรือว่า…

ในใจของหม่าซานเกิดความรู้สึกไม่สู้ดีขึ้น

จากนั้นก็เห็นร่างอ้อนแอ้นอรชรในชุดขาวราวกับเซียนราตรีโบยบินมา

เงาร่างนี้ชุดขาวปลิวพลิ้ว ดุจเซียนลงมาเยือนโลกมนุษย์ เพียงแค่กะพริบวูบก็หายไปจากภูเขาจำลองมืดมิดข้างนอกซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปหลายร้อยจั้ง แล้วมายังประตูโถงใหญ่ มือถือกระบี่ยาวเย็นเยียบพลางเดินเข้ามาทีละก้าวๆ

“เป็นเจ้า?”

หม่าซานตะลึงเป็นอย่างยิ่ง

เณรน้อยยังไม่มา ผู้ที่มากลับเป็นสตรีชุดขาวที่ร้านบะหมี่ผักของแม่เฒ่าไช่วันนี้

สตรีชุดขาวเป็นยอดฝีมือที่น่ากลัวถึงเพียงนี้เชียวหรือ

อาการเย็นวาบที่ยากจะควบคุมได้แผ่ลามมาจากแผ่นหลังของหม่าซาน

ภาษิตกล่าวไว้ว่า เดินยามค่ำคืนบ่อยเข้า สุดท้ายก็เจอผีจนได้[1] ก่อนหน้านี้เขาก็แค่วางอำนาจบาตรใหญ่ กำเริบเสิบสานไปในตำบลสุขสงบเท่านั้น ไม่ได้ไปหาเรื่องบุคคลชั้นยอดที่แท้จริงเข้า จึงจัดการทุกอย่างได้อย่างราบรื่น แต่ตอนนี้เขาตระหนักได้ว่า ในที่สุดตนก็ไปหาเรื่องบุคคลที่ไม่ควรไปยุแหย่ด้วยเข้าให้เสียแล้ว

“จอม…จอมยุทธ์หญิง มีอะไรพูดจากันดีๆ ข้า…” หม่าซานเข่าอ่อนบ้างแล้ว

สตรีชุดขาวปรากฏตัวอย่างสุขุม ส่วนพี่น้องที่ดักซุ่มอยู่ข้างนอกหลายร้อยคนก็ไร้ความเคลื่อนไหว ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวคือ…โดนสังหารเรียบแล้ว นับจากเสียงร้องน่าอนาถดังขึ้นจนถึงตอนนี้ ก็เป็นเวลาแค่หนึ่งถ้วยชาเท่านั้น แต่กลับโดนฆ่าตายจนสิ้น คิดดูแล้วก็ทำให้หม่าซานตัวสั่นเทิ้ม รู้สึกว่าน่ากลัวนัก

อย่าว่าแต่ผู้ชายตัวใหญ่กำยำหลายร้อยคนที่ติดอาวุธครบครัน ทั้งยังมีอาวุธสงคราม กับดัก และยาสลบ ลูกเล่นต่างๆ ต่อให้เป็นหมูร้อยตัวบุกฝ่ามาทีละตัวๆ ก็ต้องเสียเวลาไปไม่น้อยกระมัง ต่อหน้าสตรีชุดขาวผู้นี้ พี่น้องพวกนั้นของเขาเปรียบกับหมูก็ยังไม่ได้อย่างนั้นรึ?

ฝีมือของสตรีชุดขาวคนนี้ต้องน่ากลัวถึงเพียงใดกัน

“พวกเรา…อาจจะเข้าใจอะไรผิดกันเล็กน้อย ข้า…” หม่าซานกายสั่นเทิ้ม ถอยไปข้างหลังช้าๆ

สตรีชุดขาวเงียบไม่ปริปาก สายลมยามราตรีพัดผ้าคลุมหน้าโปร่งบางสีขาว ราวกับแสงจันทร์เย็นเยียบทอแสง

กระบี่ในมือของนางราวน้ำยามฤดูใบไม้ร่วงที่หนาวเหน็บไหลเอื่อย

นางก้าวเข้ามาในโถงใหญ่ทีละก้าวๆ ประหนึ่งเทพธิดาสังหารองค์หนึ่ง

จู่ๆ มุมปากของหม่าซานก็ยิ้มเหี้ยมเกรียม มือของเขากดลงบนหัวมังกรแกะสลักของที่วางแขนเก้าอี้ข้างหลัง

แกร๊ก

เสียงกลไกดังขึ้น

กรงเหล็กร่วงลงมาจากหลังคาทันใด ครอบสตรีชุดขาวเอาไว้ข้างในได้พอดิบพอดี

ตึง!

เสียงกรงเล็กกระแทกเข้ากับพื้นดังสนั่นหวั่นไหว

กรงนี้ทุกซี่กรงสร้างขึ้นโดยใช้เหล็กชั้นยอดหนาขนาดแขนของเด็กอ่อน ช่องว่างระหว่างกันห่างไม่เกินหนึ่งชุ่น ต่อให้เป็นเด็กทารกแรกเกิดก็ไม่มีทางมุดออกมาจากร่องตรงกลางได้ ด้านบนเป็นเหล็กแผ่นหนาปิดตายโดยสมบูรณ์

“ฮ่าๆๆ นังเด็กซน เจ้าติดกับแล้ว”

สีหน้าตื่นตระหนกของหม่าซานหายไป ก่อนหัวเราะขึ้นอย่างได้ใจ

“ในคฤหาสน์ของข้าแห่งนี้ ทุกที่ล้วนมีกับดักกลไก ในโถงใหญ่นี่ยิ่งเต็มไปด้วยกลไกต่างๆ นานา ดังนั้นข้าถึงได้รอเจ้าอยู่ที่นี่ วรยุทธ์สูงส่งแล้วอย่างไร? พลังแข็งแกร่งแล้วอย่างไร? ตอนนี้ก็เป็นนกกระจอกในกรงมิใช่รึ ฮี่ๆ นังแพศยา เจ้าฆ่าพี่น้องของข้าไปมากมายขนาดนั้น ข้าไม่มีทางปล่อยเจ้าไปง่ายๆ แน่ ข้าจะทำให้เจ้าได้รู้ บนโลกนี้มีเรื่องอะไรที่น่ากลัวยิ่งกว่าความตาย ฮ่าๆๆ!”

ระหว่างพูด อันธพาลทั้งหลายคนอื่นๆ ที่เหลืออยู่ในโถงใหญ่ก็ยกหน้าไม้เจาะเกราะขึ้นมา ลูกธนูเจาะเกราะสามแฉกแต่ละดอกวาววับเย็นเยียบ เล็งไปยังสตรีชุดขาวที่อยู่ในกรงเหล็ก

……

“เอ๋?”

หลี่มู่มาถึงหน้าประตูคฤหาสน์ พบว่าประตูใหญ่ของคฤหาสน์พังเสียหายไปแล้วก

กลิ่นคาวเลือดจางๆ โชยมาจากข้างใน

“น่าจะมาไม่ผิด เป็นที่นี่แหละ”

หม่าซานพวกอันธพาลกลุ่มนี้มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ในตำบลสุขสงบ ถามหาที่อยู่ของพวกมันไม่ยาก อีกทั้งคฤหาสน์ใหญ่ขนาดนี้ที่ตำบลสุขสงบก็มีไม่กี่แห่ง ไม่มีทางมาผิดที่หรือหาผิดที่แน่นอน

แต่ว่าที่นี่เหมือนจะเกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่ขึ้น?

หลี่มู่ตกใจเล็กน้อย

เขาเดินเข้าไปในประตูใหญ่ของคฤหาสน์ เงยหน้าขึ้นมองเห็นเงาร่างสิบกว่าร่างยืนแข็งทื่ออยู่บนเส้นทางหลัก ยังรักษาท่าทางพุ่งโจมตีเอาไว้ แต่ไม่เหลือพลังชีวิตเลยแม้แต่น้อย ราวกับรูปแกะสลักก็ไม่ปาน

ดูจากเสื้อผ้าและรูปร่าง คนพวกนี้คือพวกอันธพาลที่ตายไปแล้ว

“เป็นกระบี่ที่เร็วมาก”

ดูรอยแผลของพวกอันธพาล หลี่มู่อดตกตะลึงไม่ได้

อันธพาลทุกคนล้วนโดนกระบี่เชือดคอ อีกทั้งรอยแผลยังเล็กมาก เป็นเพียงแค่จุดแดงประมาณเม็ดข้าวเท่านั้น

ที่ยิ่งแปลกก็คือ รอยแผลทุกรอยมีน้ำค้างแข็งบางๆ ชั้นหนึ่งผนึกปากแผลเอาไว้ เลือดจึงไหลออกมาจากบาดแผลไม่ได้ น้ำค้างแข็งชั้นนี้ดูเหมือนบางมาก แต่แท้ที่จริงกลับแทรกซึมเข้าไปถึงอวัยวะภายในของศพ ร่างของอันธพาลทุกคนจึงถูกแช่แข็งอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นต่อให้ตายไปแล้วก็ยังคงยืนท่าเดิมเอาไว้ ไม่ล้มลงไป

กระบี่เหมันต์?

กระบี่น้ำค้างแข็ง?

หลี่มู่เริ่มอยากรู้อยากเห็นเล็กน้อย

ผู้ที่ลงมือสังหารอันธพาลพวกนี้มีพลังแข็งแกร่งมาก วิชากระบี่เร็วจนถึงขีดสูงสุด

‘ตัดอสุนี’ และ ‘ชักดาบสะบั้น’ ใน ‘หกดาบวายุเมฆา’ ที่สำเร็จแล้วของหลี่มู่ก็เป็นดาบเร็วหาใครเปรียบ แต่ให้ความสำคัญกับพลังสังหารรุนแรงระหว่างการฟาดฟัน เมื่อออกดาบร่างแหลกลาญ คิดจะทำให้เหลือไว้เพียงร่องรอยเล็กๆ เหมือนกระบี่นี้กลับไม่อาจทำได้

เพราะต้องควบคุมพลังและความเร็วได้อย่างชำนาญและเป็นเลิศ หลี่มู่ในตอนนี้ยังทำไม่ได้

‘นักกระบี่คนนี้จะต้องแข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เราเคยพบเจอมาแน่นอน ‘หนึ่งกระบี่มังกรฟ้า’ ตงฟางเจี้ยนพวกสี่กระบี่เร็วอะไรพวกนั้น ตอนอยู่ต่อหน้านักกระบี่ลึกลับคนนี้ก็เป็นแค่พวกกากเท่านั้น’

หลี่มู่วิเคราะห์คร่าวๆ ในใจ

ยอดฝีมือในหมู่ยอดฝีมือเช่นนี้ ไยจึงมาปรากฏตัวอยู่ที่คฤหาสน์แล้วลงมือกับอันธพาลพวกนี้ได้?

นี่ทำให้เขายิ่งอยากรู้อยากเห็นกว่าเดิม

เขาเพิ่มความเร็วฝีเท้า เดินตามทางหลักมา มุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของคฤหาสน์

ตลอดทางก็พบศพอีกไม่น้อย และยังมีกลไกต่างๆ ที่ถูกทำลายไปอีก

กลยุทธ์และลูกเล่นการป้องกันของคฤหาสน์หลังนี้แข็งแกร่งกว่าในความคิดของหลี่มู่ ราวกับปราสาทอย่างไรอย่างนั้น ในอากาศตลบคลุ้งไปด้วยกลิ่นของควันสลบจางๆ บางแห่งยังมีผงปูนขาวกระจายเป็นวงกว้าง บางแห่งเปลวเพลิงยังคงลุกไหม้ กลิ่นน้ำมันแสบจมูกตลบกระจาย…

ทุกที่ล้วนเป็นศพของพวกอันธพาล บางคนถูกภูเขาจำลองและสิ่งก่อสร้างที่พังทลายทับตาย เลือดไหลกองรวมกันเป็นแอ่งเลือด กลิ่นคาวเลือดที่หลี่มู่ได้กลิ่นก็คือกลิ่นเลือดจากพื้นที่บริเวณนี้

‘เลือดยังไม่แห้ง การต่อสู้จบไปได้ไม่นาน’

หลี่มู่สังเกตเล็กน้อย ในใจได้ข้อสรุปนี้มา

เขาเพิ่มความเร็วขึ้นอีก

ที่กล่าวกันว่าเห็นการล่าสัตว์จิตใจเบิกบาน[2] ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้เจอผู้แข็งแกร่งลึกลับเช่นนี้ หลี่มู่หวังว่าจะได้เจอเสียหน่อย

การต่อสู้มีประโยชน์ต่อพลังฝึกวิถียุทธ์ของเขาอย่างมหาศาล

ก่อนหน้านี้ในถ้ำน้ำตกเก้ามังกร พี่กัวอวี่ชิงก็เคยบอกเขาไว้ คิดว่าในสภาวะที่พลังและความเร็วเยี่ยมยอดแต่การเปลี่ยนท่าไม่เชี่ยวชาญ อีกทั้งพื้นฐานเคล็ดวิชาอ่อนด้อยตื้นเขินอย่างเขา สามารถหายอดฝีมือบางคนท้าสู้ได้ เพื่อบรรลุเคล็ดวิชาจากการต่อสู้และยกระดับตัวเอง

แต่น่าเสียดาย ก่อนหน้านี้คู่ต่อสู้แข็งแกร่งที่สุดที่ได้เจอก็มีแค่เว่ยชงผู้อาวุโสสำนักดับนิวรณ์ ซึ่งเขาฆ่าตายด้วยมือเดียวในสภาวะที่โกรธจัด ไม่มีผลขัดเกลาตนเองอะไรเลย

นักกระบี่ลึกลับเป็นโอกาสที่ดีในคืนนี้

หลี่มู่สำแดงวิชาตัวเบาทันที มุ่งหน้าไล่ตามไปยังจุดลึกของคฤหาสน์

ไม่นานนักอาคารโถงหลักก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้า ไฟสว่าง ทั้งยังได้ยินเสียงชวนสังเวชดังมาอยู่เลาๆ

“อ๊าก นังแพศยา เจ้า เจ้าหนีไม่รอดหรอก กองกำลังเสริมของข้าใกล้จะมาถึงแล้ว…” เสียงคำรามน่าสังเวชดังขึ้น เป็นเสียงของหัวหน้าอันธพาลหม่าซานนั่นเอง

เยี่ยม ยังทันอยู่

หลี่มู่ลิงโลด ร่างพุ่งเข้ามาในโถงใหญ่ในชั่วพริบตาราวกับพายุคลั่ง

ฟิ้ว!

แสงกระบี่สายหนึ่งพุ่งแทงมา

หลี่มู่ไม่ทันตั้งตัว คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะเข้ามาก็โดนโจมตีแล้ว

แสงกระบี่ดุจสายฟ้า พลังของมันดั่งอัสนีแห่งสรวงสวรรค์ แฝงไว้ด้วยพลังเหมันต์กลุ่มหนึ่ง

‘เป็นนักกระบี่ลึกลับคนนั้น’

ความคิดนี้ผุดขึ้นในหัวของหลี่มู่

และในขณะเดียวกัน มือทั้งสองของเขาก็ตั้งรับไปโดยไม่ทันได้คิด รับกระบี่นั้นไว้กลางสองฝ่ามือด้วยท่าทางราวกับสาวกไหว้พุทธองค์

ความแข็งแกร่งของกายเนื้อหลี่มู่น่ากลัวถึงเพียงใดกัน เมื่อกระบี่นี้อยู่กลางฝ่ามือทั้งสอง พลังกระบี่ทั้งหมดก็หายไปในชั่วพริบตา

คนที่ออกกระบี่ดึงเล็กน้อย ครั้นพบว่าไม่อาจชักออกได้ก็ทิ้งกระบี่ยาวทันที และเปลี่ยนไปใช้นิ้วแทนกระบี่แทงไปยังดวงตาทั้งสองข้างของหลี่มู่

ถึงแม้จะใช้นิ้วแทนกระบี่ แต่ก็มีเสียงดุจกระบี่

ปราณกระบี่แผ่ซ่านจากปลายนิ้วของนักกระบี่ลึกลับคนนี้ พลานุภาพแข็งแกร่งยิ่งกว่ากระบี่ยาว

หลี่มู่ตื่นตะลึง

ความเร็วของปฏิกิริยาตอบโต้ของคนคนนี้สูงยิ่งนัก

เขาแยกฝ่ามือออก กระบี่ที่อยู่กลางฝ่ามือร่วงลงไปข้างล่าง มือขวาออกท่าโคจร ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ ทันที จากนั้นปลายนิ้วกลายเป็นประกายแสงโลหะจางๆ พุ่งเฉียดไปยังนิ้วกระบี่ของคู่ต่อสู้และสกัดกั้นไว้ ส่วนมือซ้ายตวัดจะคว้ากระบี่ยาวเล่มนั้นมาไว้ในมือ

เคร้ง!

เสียงสอดประสานของโลหะดังขึ้นเบาๆ

หลี่มู่รู้สึกแค่ว่าพลังมหาศาลของไอเย็นเยียบแผ่ลามมา ปลายนิ้วถูกสะเทือน พลังของ ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ สลายไปในทันที

ในขณะเดียวกัน มือซ้ายของเขาก็ว่างเปล่า คว้ากระบี่ยาวที่ร่วงลงมาไม่ได้

ที่แท้นักกระบี่ลึกลับคนนั้นชิงเอาไปได้ก่อน คว้าด้ามกระบี่เอาไว้ได้อีกครั้ง

เมื่อกระบี่อยู่ในมือ นักกระบี่ลึกลับคนนั้นแค่นเสียงเบาๆ กลางฝ่ามือพลันสาดแสงเปล่งประกาย แสงกระบี่ขาวสะอาดโปรยปรายลงมาไม่ขาดสายราวดอกสาลี่นับพันนับหมื่นต้นบานสะพรั่ง ปราณกระบี่คมกริบไร้เทียมทานปกคลุมมายังหลี่มู่ดุจพายุฝนโหมกระหน่ำ

……………………………………………………

[1] เดินยามค่ำคืนบ่อยเข้า สุดท้ายก็เจอผีจนได้ หมายถึง ทำเรื่องชั่วร้ายไว้มาก สุดท้ายก็ได้รับผลกรรม

[2] เห็นการล่าสัตว์จิตใจเบิกบาน หมายถึง นิสัยและความเคยชินเดิมนั้นยากที่จะลืม เมื่อพบแรงกระตุ้นเดิมๆ ก็มักอดใจไม่ไหว