“แม่เจ้าโว้ย…”
การเปลี่ยนแปลงกระบวนท่าสังหารติดๆ นี้ทำเอาหลี่มู่ทำอะไรไม่ถูก
เห็นได้ชัดว่า พลังและความเร็วของนักกระบี่ลึกลับพอๆ กันกับหลี่มู่ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ กับคู่ต่อสู้ที่วิชาสูงส่งจนเกือบจะเป็นศิลปะ ข้อด้อยของหลี่มู่ด้านประสบการณ์การต่อสู้และทักษะก็ยิ่งชัดเจน
ห่ากระบี่ทั่วฟ้าราวดอกไม้ไฟ สาดลงบนพื้นดินดั่งสายน้ำสีเงิน
เวลานั้นหลี่มู่เกิดความรู้สึกว่าหลบไม่ได้ทันที
ยังดี เขายังมีข้อดีอีกข้อหนึ่ง…
หนังหนา!
ในช่วงเวลาสำคัญ เขาก้มหัวลง สองมือกุมศีรษะ ขดตัวเข้าหากัน จากนั้นถอยหลังไปอย่างรวดเร็วเหมือนกระดองเต่า
ฉึก ฉึก ฉึก!
เสียงประหลาดดังระรัวราวกับฝนตกกระทบแผ่นหนัง
เสี้ยวขณะนี้ แขนและหลังของหลี่มู่มีเสียงหนักแน่นดังออกมาไม่ขาดสาย นี่เป็นความรู้สึกที่กระบี่แทงมายังร่าง ทุกกระบี่มีแรงโจมตีประมาณหกเจ็ดพันจิน เหมือนกับค้อนหนักๆ ทุบลงมาไม่หยุดอย่างไรอย่างนั้น ทำให้ร่างของหลี่มู่กระเด็นลอยออกไป
“หยุดๆๆๆ…หยุดก่อน มีอะไรคุยกันดีๆ”
หลี่มู่ผละปกออกมาจากเขตที่ฝนกระบี่คลุม แล้วตะโกนขึ้นอย่างน่าสมเพช
ถึงแม้เขาอยากแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับนักกระบี่ลึกลับคนนี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะชอบโดนทำร้ายนะ
อีกทั้งพรรคพวกคนนี้ก็ไม่รอบคอบเอาเสียเลย ตนแค่มาทำเรื่องดีๆ เท่านั้น มีเป้าหมายเดียวกันกับเขา แต่กลับไม่ถามที่มาที่ไปก็ลอบโจมตีกัน…นี่มันไม่ค่อยมีเหตุผลกระมัง
“เป็นเจ้าเอง? ไต้ซือใสสะอาดหนักแน่น?”
เสียงแปลกใจเช่นกันดังขึ้น
เงากระบี่ที่กระจายทั่วสลายไป
หลี่มู่ฟังออกทันทีว่าผู้ที่พูดเป็นใคร
ช่วยไม่ได้ เสียงที่น่าฟังเช่นนี้แยกแยะได้ง่ายดายยิ่งนัก
เขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นสตรีชุดขาวที่สวมหมวกม่านโปร่งบาง สง่างามดั่งเทพธิดาตามคาด ในโถงใหญ่ที่ข้าวของกระจัดกระจาย แสงไฟสว่างจ้า ชุดนักกระบี่สตรีสีขาวสะอาดดุจหิมะงดงามเหมือนกำลังสะท้อนแสงไฟ แผ่รัศมีสีขาวออกมาชั้นหนึ่ง
“เป็นเจ้าเอง?”
หลี่มู่ก็ส่งเสียงร้องตกใจอย่างให้ความร่วมมือเช่นกัน
จากนั้นเขาก็ก้มลงมองแขนและอกของตน ปราณกระบี่เย็นเยียบที่ถาโถมสะเทือนจนผ้าขาดวิ่น อาภรณ์ขาดทะลุพาดขาดๆ แหว่งๆ อยู่บนร่างของหลี่มู่ เผยให้เห็นกล้ามเนื้อหยกสีขาวข้างใต้ที่ประหนึ่งใช้มีดกรีดแบ่งเป็นร่อง
สำหรับร่างกายและกล้ามเนื้อ หลี่มู่ภูมิใจกับมันมาก
นับจากที่ฝึก ‘หมัดยุทธ์แท้’ กระบวนท่าที่หนึ่งสำเร็จ ร่างของเขาก็เป็นประเภทที่ใส่เสื้อผ้าแล้วดูผอม ถอดเสื้อแล้วล่ำบึ้ก แต่ปัญหาตอนนี้คือ นอกจากกล้ามเนื้อแล้ว หลังและแขนของเขามีรอยบาดเล็กใหญ่เต็มไปหมด เหมือนกับมีคนจงใจใช้มีดกรีดไปทีละนิดๆ มีเลือดไหลซึมออกมาจากรอยแผล
“อามิตตาพุทธ สีกา เจ้าและข้านับว่าบุญพาวาสนาส่ง ตอนนี้เหตุใดเมื่อพบหน้าก็ลงมือฆ่าแกงกันเล่า?”
หลี่มู่กลับมาทำท่าทางโง่ทึ่มของเณรน้อยอีกครั้ง
บุญพาวาสนาส่ง?!
ใบหน้าใต้ผ้าโปร่งบางของสตรีชุดขาวเหยเกทันใด
เมื่อไหร่กันที่กินบะหมี่ผักด้วยกันที่ร้านบะหมี่ก็ถือว่าเป็นบุญพาวาสนาส่งแล้ว คำพูดแบบนี้หากไม่ได้ออกมาจากปากของเณรน้อยสมองทึบ เกรงว่านางคงซัดกระเด็นไปแล้ว
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรือไรกัน? พวกเราเคยร่วมกันช่วยเหลือคน” หลี่มู่พูด
ที่จริงในใจของเขาตะลึงเป็นอย่างมาก
วันนี้ที่ร้านบะมี่ผักของแม่เฒ่าไช่ เขามองออกว่าพลังของสตรีชุดขาวผู้นี้ไม่ธรรมดา แต่คิดไม่ถึงว่าจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้
ต้องรู้ไว้ว่า ความแข็งแกร่งของร่างกายหลี่มู่ในตอนนี้กล่าวได้ว่าถึงขีดสูงสุดของการฝึกฝนกายบนโลกใบนี้แล้ว หอกดาบกระบี่ล้วนฟันแทงไม่เข้า กระบี่ในมือของสตรีชุดขาวเป็นเพียงแค่กระบี่เหล็กยาวธรรมดาเท่านั้น แต่ภายใต้การผลักดันและพัฒนาวิชากระบี่ของนาง กลับสามารถฟันผ่านผิวหนังเนื้อเยื่อและแทงทะลุเข้ากล้ามเนื้อของเขาได้…
อืม เห็นทีจะดูถูกพลังเคล็ดวิชาต่อสู้ของโลกใบนี้ไม่ได้เลย
หลี่มู่พูดพลางสะบัดร่างเล็กน้อย สลัดผ้าขาดวิ่นทั้งหมดออก เผยให้เห็นร่างกายเปล่าเปลือยท่อนบนที่สมบูรณ์แบบงดงาม
“เจ้า…” สตรีชุดขาวร้องเสียงต่ำ น้ำเสียงมีเศษเสี้ยวความลนลานอยู่เพียงชั่วแวบหนึ่ง “เณรน้อยเจ้าทำอะไร ยังไม่รีบสวมเสื้อผ้าอีก” ถึงอย่างไรนางก็เป็นอิสตรี อีกทั้งยังเป็นสตรีที่ฐานะตำแหน่งสูงส่ง เคยมีชายใดเปลือยกายท่อนบนต่อหน้านางเสียเมื่อไหร่กัน
หลี่มู่เอ่ยอย่างโมโหว่า “อามิตตาพุทธ สีกาเจ้าแทงเสื้อของอาตมาจนกลายเป็นเศษผ้า จะให้ใส่อย่างไรเล่า คงจะเอาพาดไว้บนร่างไม่ได้กระมัง” นี่เป็นชุดที่เขาตั้งใจออกแบบเชียวนะ อำเภอขาวพิสุทธิ์รุ่นจำกัดจำนวนทีเดียวเชียว
ในขณะเดียวกัน หลี่มู่รู้สึกว่าบาดแผลบนร่างมีไอเย็นเยียบเส้นบางกำลังไหลวน เหมือนจะทะลุกล้ามเนื้อแทรกซึมเข้าไปในเส้นโลหิตและไขกระดูก
นี่น่าจะเป็นพลังเหมันต์ที่แฝงอยู่ในวิชากระบี่ของสตรีชุดขาว
พวกอันธพาลที่หน้าประตูคฤหาสน์พวกนั้นก็ถูกพลังเหมันต์ชนิดนี้แทรกซึมเข้าร่างกายผ่านบาดแผล จากนั้นก็แช่แข็งพวกมันจนกลายเป็นศพแช่แข็ง จะเห็นได้ถึงความน่ากลัวของพลังเหมันต์ชนิดนี้
“แล้วก็นะ สีกาเจ้าดูให้ละเอียด เจ้าแทงทั่วกายของอาตมาทั้งบนล่างจนจะพรุนเป็นตะแกรงอยู่แล้ว ทั้งยังมีไอเย็นวาบมุดไปมุดมาตามบาดแผล…ฮัดชิ่ว หนาวจะตายอยู่แล้ว” หลี่มู่มองรอยกระบี่ทั่วร่าง จงใจทำเป็นตัวสั่น พลางพูดด้วยท่าทางน้อยอกน้อยใจ
สามารถจินตนาการได้ว่า ใบหน้าใต้ผ้าโปร่งบางของสตรีชุดขาวตอนนี้น่าจะฉายแววกระอักกระอ่วนบ้างแล้ว
นางพูดแก้ตัวไปตามสัญชาตญาณ “ข้าคิดว่าเจ้าเป็นกำลังเสริมที่หม่าซานว่า”
ก่อนตายหม่าซานพูดว่ากำลังเสริมของตนมาถึงแล้ว พอดีกับที่ตอนนั้นหลี่มู่มาถึงอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าฟาด ซ้ำไม่มีคลื่นกำลังภายในเหมือนกับอันธพาลที่ตายไปพวกนั้น ดังนั้นนางจึงลงมือทันที ความเข้าใจผิดเช่นนี้จึงบังเกิดขึ้น
“อามิตตาพุทธ เช่นนั้นสีกาอย่างน้อยก็น่าจะดูให้ดีสิ” หลี่มู่ยังคงทำท่าทางน้อยอกน้อยใจ กล่าวขึ้นว่า “หากพลังของข้าไม่พอ มิกลายเป็นวิญญาณใต้คมกระบี่ไปแล้วหรอกรึ? อามิตตาพุทธ สีกาลงมือรีบร้อนวู่วามเช่นนี้ ต้องเป็นเพราะยังจิตฝึกมาไม่มากพอ เกือบทำผิดพลาดครั้งใหญ่ อามิตตาพุทธ สีกา คนตายไปแล้วไม่อาจฟื้นกลับคืนมาได้ วันหลังต้องเพิ่มความระมัดระวังหน่อยล่ะ”
สตรีชุดขาวไร้คำพูด
นางคิดไม่ถึงว่า ด้วยฐานะตำแหน่งอย่างตนจะถูกเณรน้อยโง่ทึ่มรูปหนึ่งสั่งสอนเอาได้
แต่เณรน้อยรูปนี้ก็พูดได้ถูกต้องยิ่งนัก
“ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้?” สตรีชุดขาวเบี่ยงหัวข้อสนทนาด้วยทักษะที่ย่ำแย่ยิ่ง
หลี่มู่กล่าว “อามิตาพุทธ พูดถึงเรื่องนี้หรือ จะว่าไปแล้วเรื่องมันยาว คืออย่างนี้ หม่าซานส่งคนไปทำร้ายแม่เฒ่าไช่สองย่าหลาน อาตมาเห็นเข้าพอดีจึงลงมือลงโทษ จากนั้นก็ให้เจ้าอันธพาลหวงหย่งนำคำมาบอกว่าคืนนี้อาตมาจะมาส่งหม่าซานไปแดนสุขาวดี…”
เขาเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่สลัมริมแม่น้ำโดยละเอียด
สตรีชุดขาวฟังแล้ว ในใจอดนึกกลัวขึ้นมาไม่ได้
อันธพาลพวกนี้ทำอะไรจนถึงขั้นกำเริบเสิบสานสติฟั่นเฟือนขนาดนี้
คืนนี้ นางมีเรื่องบางอย่างทำให้เสียเวลาไปเล็กน้อย หลังจากนั้นจึงได้มาขุดรากถอนโคนหม่าซานพวกอันธพาลกลุ่มนี้ คิดไม่ถึงว่าเบื้องหลังจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นด้วย นั่นไม่ได้หมายความว่าตนมอบทองให้โดยไม่ไตร่ตรอง เกือบทำให้แม่เฒ่าไช่สองคนย่าหลานต้องตายหรอกหรือ หากเณรน้อยไม่ได้ไปเจอเข้าพอดีละก็…
อืม ไม่ถูกต้อง มีเรื่องประจวบเหมาะมากมายขนาดนั้นเสียที่ไหน
สตรีชุดขาวเดิมก็เป็นคนที่ฉลาดหลักแหลมอยู่แล้ว นางพลันตั้งตัวกลับมาได้ เณรน้อยฉายาทางธรรมบ้าบอรูปนี้ เกรงว่าคงไม่ได้ไปปรากฏที่สลัมโดยบังเอิญ แต่แอบมาคุ้มกันที่นั่นและเฝ้ารอโอกาส
หรือก็คือ ที่จริงเณรน้อยรูปนี้คาดการณ์ทุกสิ่งเอาไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว
วันนี้หากไม่มีนางปรากฏตัวขึ้นกำจัดพวกหม่าซาน เณรน้อยก็จะมาลงมือโดยใช้วิธีการที่เด็ดขาดเอง ดูจากพลังที่เณรน้อยปะทุออกมาเมื่อครู่ เขาทำมันได้จริงๆ
เณรน้อยไม่ได้ทึ่มทื่อเหมือนอย่างที่ภายนอกแสดงออกมา
“เณรน้อยฆ่าคน?” สตรีชุดขาวเอ่ย “เจ้าเป็นนักบวชไม่ใช่หรือ? ห่วงหาอาทรแมลงเม่ายังครอบตะเกียง กวาดพื้นก็ถนอมชีวิตมด แต่กลับลงมือสังหารคนอย่างนั้นรึ?” เมื่อคิดเชื่อมโยงกับท่าทางโง่งมของเณรน้อยยามอยู่ที่ร้านบะหมี่ นางไม่ค่อยอยากเชื่อว่าเณรน้อยผู้โง่เขลาจะฆ่าอันธพาลไปหลายคนจริงๆ
“อามิตตาพุทธ สีกากล่าวเช่นนั้นไม่ถูก อาตมาไม่ได้ฆ่าคน” หลี่มู่เอ่ยนามพุทธองค์
สตรีชุดขาวไม่ใช่คนพูดมาก ความอยากรู้อยากเห็นก็ไม่มากนัก แต่พริบตานี้ ทั้งๆ ที่รู้อยู่กับอกว่าเณรน้อยกำลังพูดจาเหลวไหล แต่นางก็ยังเอ่ยปาก “ไม่ได้ฆ่าคน เช่นนั้นกำลังช่วยคนหรืออย่างไร?”
“สาธุ สาธุ สีกาเรียนรู้ได้ไม่ธรรมดาจริงๆ ใช่แล้ว อาตมากำลังช่วยคน อาจารย์ของอาตมาไต้ซือจิวหมอจื้อคือผู้ทรงปัญญาของวัดต้าหลุนแห่งภูเขาหิมะ ราชครูแห่งอาณาจักรตูโป[1]…ท่านอาจารย์เคยสั่งสอนไว้ว่า เมื่อเหลืออดเหลือทนก็ไม่ต้องทน พุทธองค์ทรงเมตตาแต่ก็ลงโทษ พุทธองค์มีจิตใจเมตตาแต่ก็เด็ดขาด กล่าวว่ากำจัดสิ่งชั่วร้ายมิใช่กำจัดคน สังหารเพื่อปกป้อง…” หลี่มู่พูดจาเหลวไหล หลังจากพูดข้างๆ คูๆ ก็เอ่ยขึ้นอย่างสมเหตุสมผล “ดังนั้นอาตมาไม่ได้สังหารคน แต่กำลังช่วยคน กำลังขจัดสิ่งชั่วร้ายในตัวของพวกเขา ล้างกรรมของพวกเขา ให้พวกเขามุ่งหน้าไปแดนสุขาวดี นั่นคือการกระทำที่มีเมตตากรุณา”
สตรีชุดขาวมองท่าทางซื่อสัตย์จริงใจของหลี่มู่ นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ย “ข้ารู้แล้ว”
“สีกา เจ้ารู้อะไร?”
“ในที่สุดข้าก็รู้ว่าที่แท้ฉายาทางธรรมแรกของเจ้าคือวาจาเหลวไหล ไม่ใช่ใสสะอาดหนักแน่น” น้ำเสียงของนางดูกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ต้องเป็นผู้ทรงปัญญาแบบไหนถึงจะได้ตั้งฉายาทางธรรม ‘วาจาเหลวไหล’ และ ‘บ้าบอ’ ก่อนหลังให้ลูกศิษย์อย่างนี้ หรือว่าเณรน้อยจริงๆ แล้วก็เป็นพวกพูดจาเหลวไหล?
“อามิตตาพุทธ ฉายาทางธรรมของอาตมาฉายาแรกก็คือวาจาเหลวไหล เพราะอาจารย์ของอาตมารู้สึกว่าข้าพูดมาก มักจะพูดจาไร้สาระไม่มีประโยชน์อยู่เสมอ” หลี่มู่เริ่มแสดงละครอีกแล้ว พูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด “แต่อาตมาไม่รู้สึกอย่างนั้น ทุกประโยคที่พูดออกมาย่อมต้องมีความหมายของมัน หลายคนเวลาพูดมักพูดไม่ชัดเจน หากทำความเข้าใจให้ดี ก็จะพบว่ามีความหมายกำกวมมากมาย ยกตัวอย่างเช่นในพุทธคัมภีร์ทั้งหลาย พระสูตรที่พุทธองค์ทรงกล่าวไว้ อาตมาว่าหลักธรรมต่างๆ ที่แฝงอยู่ในธรรมเทศนาจะต้องมีเพียงแค่ความหมายเดียว ทว่าภิกษุแต่ละรูปกลับตีความหมายหลักธรรมจากธรรมเทศนาของพุทธองค์ต่างกันไปมากมาย นี่ก็เป็นเพราะหลักธรรมที่พุทธองค์ทรงเทศนาไม่ชัดพอ ไม่ละเอียดพอ บรรยายมากเกินไป จึงทำให้เกิดความหมายกำกวมมากมาย…”
“หยุด!” สตรีชุดขาวร้องห้ามทันที
เณรน้อยรูปนี้ช่างพูดจาเหลวไหวได้จริงๆ
นางรู้สึกหงุดหงิดเหมือนมีแมลงวันหลายสิบตัวบินตอมไปมาอยู่ข้างหู
“อันธพาลตายหมด เรื่องนี้จบลงแล้ว เณรน้อย โอกาสหน้าคงได้พบกันอีก” นางไม่อยากจะอยู่กับเณรน้อยอีกต่อไป จิตของนางนับว่าฝึกฝนได้ดีเยี่ยมแล้ว แต่เมื่ออยู่กับเจ้าโง่จอมพูดมากคนนี้ นางมักมีความรู้สึกชั่ววูบว่าอยากจะอาละวาดเสียกิริยาขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“เดี๋ยวก่อน สีกา เจ้าลืมเรื่องสำคัญมากไปเรื่องหนึ่ง” หลี่มู่รีบโบกมือ
สตรีชุดขาวหยุดฝีเท้า แล้วถามว่า “เรื่องอะไร?”
……………………………………………………
[1] ตูโป เป็นชื่อเรียกของอาณาจักรที่มีชาวทิเบตเป็นผู้ปกครอง