ตอนที่ 100-1 สาบานหลอกๆ

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

ตำหนักหย่อนใจ

 

 

แสงแดดยามบ่ายส่องต้องกระเบื้องหลังคาสีเขียว สะท้อนประตูใหญ่สีแดงห่วงทองสัมฤทธิ์ ท่ามกลางแสงทองกะพริบ อบอวลไปด้วยบรรยากาศของการพักผ่อนหย่อนใจ

 

 

หลังการประชุมท้องพระโรง หนิงซีฮ่องเต้ก็เสด็จมาประทับอยู่บนเก้าอี้ไม้ประดู่ฝังมุกและหินโมราสลักลายมัจฉาเริงร่าในสระปทุม ทรงเปลี่ยนฉลองพระองค์เป็นชุดผ้าแพรธรรมดา เปลี่ยนจากท่าทีสูงส่งสง่างามในท้องพระโรง มาเป็นท่าทีผ่อนคลายสบายๆ แต่ยังคงความสง่างามหรูหราอย่างไม่เป็นทางการอยู่

 

 

หนิงซีฮ่องเต้กำลังฟังคำพูดทุกถ้อยทุกคำจากฉินอ๋อง พลางกระดิกนิ้วขึ้นลงกับโต๊ะ ก่อนเลิกคิ้วงาม

 

 

“เจ้าสาม การที่เจ้าอยากออกจากบ้านนี่ นับเป็นประวัติการณ์เลยทีเดียว เพียงแต่การล้อมป่าล่าสัตว์ในครั้งนี้ ทั้งไปและกลับต้องใช้เวลาร่วมสิบกว่าวัน หรือครึ่งเดือนเห็นจะได้ อากาศเย็นลงเรื่อยๆ ป่าก็อยู่ทางทิศเหนือ ร่างกายเจ้าจะรับไหวหรือ”

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงยืนอยู่ด้านล่าง สวมชุดยาวสีม่วงปักลายมังกรห้าเล็บและผ้าคาดเอวลายงูใหญ่ แสงจากช่องแสงบนหลังคาสาดผ่านแประแนงไม้ต้องร่าง เกิดรัศมีสีทองจางๆ รอบตัว เวลายืนหลังตรง รูปร่างจึงดูสูงใหญ่อย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าที่ปกติซีดขาว ดูมีเลือดฝาดขึ้นมาบ้าง ริมฝีปากที่บางเป็นกระจับพูดอย่างเป็นกันเอง

 

 

“ทูลเสด็จพ่อ ที่ผ่านมาลูกสุขภาพแข็งแรงดี หมออิงที่จวนตรวจดูอาการให้แล้ว บอกว่าลูกเดินทางไกลได้ไม่มีปัญหา ไปครั้งนี้หมออิงก็ไปด้วย”

 

 

หนิงซีฮ่องเต้รู้ว่าหมออิงก็คือหมอประจำจวนฉินอ๋อง ผู้รักษาอาการป่วยให้ฉินอ๋องโดยเฉพาะมานานหลายปี จึงวางใจลง ไม่พูดอะไรมากอีก เพียงตอบกลับอย่างเป็นกันเอง

 

 

“ก็ดีเหมือนกัน ลูกสาวของอวี้เหวินผิงก็ไปด้วย”

 

 

พอเหยาฝูโซ่วมองสีหน้าฝ่าบาทก็รู้ว่า ทรงเห็นจังหวะที่จะให้องค์ชายสามได้ใช้เวลาอยู่กับคุณหนูอวี้พอดี ซึ่งไม่แน่ว่า อาจทรงฉวยโอกาสฉลองเทศกาลล่าสัตว์ ด้วยการพระราชทานสมรสก็เป็นได้ ซึ่งก็ทรงยิ้มรับในทันที

 

 

“อีกไม่กี่วันก็ถึงเทศกาลล่าสัตว์แล้ว เจ้ารีบกลับไปจัดการเรื่องผู้ติดตามจะดีกว่า”

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงรับคำ พูดอีกเล็กน้อยก็ขอตัวกลับ พอออกจากประตูตำหนักหย่อนใจ เพิ่งก้าวลงเดินบนระเบียงทางเดิน ก็เห็นชายวัยกลางคนๆ หนึ่งกำลังเดินมา พร้อมคนในวังและผู้ติดตามล้อมรอบ

 

 

เขาอายุราวห้าสิบเศษ สวมชุดโบราณ ห้อยถุงผ้าทรงปลาทองไว้ที่เอว ใบหน้าอันเคร่งขรึมไม่มีรอยย่น เนื่องจากได้รับการดูแลเป็นอย่างดี หนวดเคราก็ดกดำมันวาว มองปราดเดียวก็รู้ว่ามีสถานะสูงส่ง ท่าทีที่เย่อหยิ่ง และดวงตาฉลาดเฉลียวมีความลุ่มลึกอยู่บ้าง ทำให้คนมองความรู้สึกนึกคิดไม่ออก

 

 

ซือเหยาอัน ผู้เข้าวังมาเป็นเพื่อนซย่าโหวซื่อถิงพูดเสียงต่ำ “ท่านสาม เป็นท่านสมุหนายก”

 

 

วันนี้อวี้เหวินผิงมาเข้าเฝ้าที่ตำหนักหย่อนใจ เพราะต้องการหารือกับฝ่าบาทเกี่ยวกับการเสด็จออกล่า

 

 

สัตว์ โดยคิดไม่ถึงว่าจะได้พบกับฉินอ๋องซื่อถิงที่เผอิญเดินออกมาจากทางเข้า จึงหยุดฝีเท้าลง แล้วค่อยๆ ยกมือ

 

 

ขึ้นส่งสัญญาณให้ผู้ติดตามหยุดเดิน

 

 

แล้วตัวเขาเองก็ก้าวเข้ามาเพียงลำพัง ประสานมือ “คารวะฉินอ๋อง”

 

 

ปากแม้บอกคารวะ แต่มิได้โค้งตัว น้ำเสียงไม่อ่อนน้อม แต่ก็ไม่ยโส มีท่าทีแบบคนใหญ่คนโต

 

 

พอซือเหยาอันเห็นท่าทีหยิ่งผยองของอวี้เหวินผิง ก็ไม่แปลกใจ คนสกุลอวี้หยั่งรากลึกในต้าเซวียนมานาน ช่วงแรกที่สร้างชาติ บรรพบุรุษสกุลอวี้ซึ่งเป็นขุนนางได้ช่วยสกุลซย่าโหวกอบกู้บ้านเมือง สร้างผลงานไว้มากมาย จึงไม่ต้องพูดถึงเรื่องมิตรภาพของพวกเขากับบรรพบุรุษของฮ่องเต้ว่ามีความลึกซึ้งเพียงใด ลูกหลานในรุ่นหลังถึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์กันถ้วนหน้า และเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ พอมาถึงรุ่นของอวี้เหวินผิง ก็แทบจะมาถึงจุดสูงสุด เมื่อเทียบกับขุนนางสกุลอื่นๆ แล้ว ก็ไม่เห็นมีใครโดดเด่นไปกว่าเขาอีก

 

 

สมุหนายกท่านนี้ ปกติแล้วเวลาเข้าเฝ้าหนิงซีฮ่องเต้เป็นการส่วนตัว จะได้รับพระบรมราชานุญาติให้นั่ง และสำหรับตัวเขาเองนั้น นอกจากเกรงใจรัชทายาทอยู่บ้าง ก็ไม่เคยเห็นองค์ชายท่านอื่นๆ อยู่ในสายตามาแต่ไหนแต่ไร อย่าว่าแต่นายของตนที่ปกติแล้วจะอยู่อย่างเงียบๆ ไม่สนใจเรื่องในราชสำนักเลย อย่างตอนนี้ ที่สมุหนายกอวี้แค่ทักทายออกมาคำหนึ่ง ก็นับว่าพบเห็นได้ยากมาก นายของตนจึงเพียงตอบรับเบาๆ

 

 

อวี้เหวินผิงสำรวจมองฉินอ๋องอย่างเงียบๆ ตอนที่รู้ว่าฝ่าบาทมีเจตนาที่จะจับคู่โหรวจวงกับองค์ชายสามนั้น เขากับลูกสาวก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจเหมือนกัน แต่ในเมื่อฝ่าบาทตัดสินพระทัยเช่นนี้ เขาก็พูดอะไรไม่ได้ คิดไปคิดมา ก็ได้แต่ฝืนใจยอมรับองค์ชายเลือดผสมท่านนี้ แต่ตอนนี้เขากลับพบว่า ต่อให้เขายอมรับ ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่แน่ว่าจะยอมรับ ด้วยองค์ชายสามท่านนี้ ไม่เคยมาประจบประแจงพ่อตาในอนาคตอย่างเขา เช่นวันนี้ พอทั้งสองพบปะกัน ก็ไม่ได้พูดจาสนิทสนมอะไรกัน เหมือนพูดพอเป็นพิธีด้วยซ้ำ

 

 

ลูกสาวคนโตของบ้านแต่งให้กับลูกชายคนเดียวของราชบุตรเขยกับลูกสาวคนโตของหนิงซีฮ่องเต้ องค์หญิงอันเชิง ลูกสาวคนที่สองก็แต่งให้กับหลานชายของเจี่ยไทเฮา ซึ่งลูกเขยทั้งสองล้วนมีสถานะสูงส่ง และมีผู้หนุนหลังไม่ด้อยไปกว่าองค์ชายสาม แต่ทั้งสองก็ล้วนเข้ามาประจบประแจงตนอย่างไม่กล้าละเลยแม้แต่น้อย เพราะพวกเขาล้วนรู้ดีว่า การสนิทสนมกับสกุลอวี้ ประหนึ่งได้พึ่งพิงต้นไม้ใหญ่ที่สูงตระหง่าน

 

 

แต่พอมาถึงองค์ชายสาม กลับไม่เห็นตนอยู่ในสายตาแต่อย่างใด

 

 

พอซย่าโหวซื่อถิงเห็นสมุหนายกอวี้ยืนนิ่งไม่พูดจาอยู่ครึ่งค่อนวัน ก็คล้ายเอะใจ กระพริบตาแล้วยิ้ม พลางว่า “สมุหนายกอวี้ยังมีเรื่องอะไรอีกไหม ถ้าไม่มี ข้าก็ขอตัว”

 

 

อวี้เหวินผิงกระพริบตา รู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง จึงสะบัดแขนเสื้อเบาๆ ก่อนหาเรื่องคุย

 

 

“ฉินอ๋องเพิ่งเข้าเฝ้าฝ่าบาทหรือ”

 

 

“อืม” น้ำเสียงไม่เบาและไม่ดัง

 

 

บรรยากาศนิ่งค้างเล็กน้อย จนแทบจะได้ยินเสียงอากาศลอยผ่าน ท่าทางของคนถามคำตอบคำ ทำให้ผู้ที่ปกติรู้สึกว่าตนเองสูงศักดิ์อย่างอวี้เหวินผิงไม่อยากจะเชื่อสายตา จึงหรี่ตาลง แล้วว่า

 

 

“ไม่ค่อยได้เห็นฉินอ๋องเข้าวังมาเข้าเฝ้า ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรหรือเปล่า”

 

 

“เทศกาลล้อมป่าฮู่หลงล่าสัตว์ ท่านสามก็ไปด้วย” ซือเหยาอันเห็นสีหน้าอดรนทนไม่ไหวและเหนื่อย

 

 

หน่ายของท่านสาม จึงตอบแทนนาย

 

 

ดวงตาอวี้เหวินผิงทอประกายทันที ลูบเคราที่ดูแลรักษาได้อย่างเงางามและชุ่มชื้นไปมา พลางว่า

 

 

“อ้อ โหรวจวงลูกสาวข้าก็ได้รับแจ้งจากสำนักพระราชวังให้ตามเสด็จไปเหมือนกัน พอไปถึงก็น่าจะได้ปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายฮองเฮา”

 

 

ครั้งนี้เจี่ยงฮองเฮาก็ตามเสด็จหนิงซีฮ่องเต้ไปล้อมป่าฮู่หลงด้วย ส่วนราชกิจในเมืองหลวง ก็ให้รัชทายาทซื่อถิง อวี้เหวินผิงและขุนนางใหญ่อีกเจ็ดท่านกำกับดูแลชั่วคราว