ตอนที่ 100-2 สาบานหลอกๆ

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

ซือเหยาอันเหลือบมองท่าทีนาย อืม มีความรู้สึกอึดอัดเพิ่มขึ้นบนใบหน้าจริงๆ แต่อย่างไรเสีย สมุหนายกอวี้ก็ยังคงพึมพำต่อ

 

 

“…สองสามวันนี้นางก็คงฝึกขี่ม้าล่วงหน้าที่สนามม้าสวินหลานข้างวังเหมือนเช่นเคย ครั้งนี้ถ้าฉินอ๋องไปด้วย ถึงตอนนั้นก็ยังช่วยสอนลูกสาวข้าได้ ราชวงศ์ซย่าโหวชนะเลิศเรื่องบนหลังม้า องค์ชายหลายท่านเชี่ยวชาญการขี่ม้ายิงธนู แต่ละคนล้วนไม่เป็นสองรองใคร ฉินอ๋องก็ต้องทำได้ไม่เลวเช่นกัน…”

 

 

สนามม้าสวินหลานเป็นพื้นที่เปิดโล่ง ห่างจากพระราชวังราวห้าลี้ ที่ๆ ผู้สูงศักดิ์ในต้าเซวียนชอบไปขี่ม้ายิงธนูกัน สนามม้าถูกสร้างและซ่อมแซมโดยราชสำนัก เพื่อใช้เป็นสถานที่ฝึกสอนขี่ม้าให้กับเหล่าองค์ชายและคุณชายผู้สูงศักดิ์ ปกติแล้วจะมีขันทีผู้ดูแลคอกม้าในวัง มาคอยจัดการดูแลสนามม้าโดยเฉพาะ

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงยิ้มน้อยๆ น้ำในดวงตาอันลึกล้ำคล้ายแข็งจนกลายเป็นน้ำแข็ง ที่สามารถทำให้ผู้พบเห็นหนาวเหน็บเข้ากระดูก

 

 

“คุณหนูอวี้มิได้ตามเสด็จไปล่าสัตว์ครั้งแรก จึงไม่มีปัญหาด้านทักษะการขี่ม้าขั้นพื้นฐานแน่ ในสนามม้าสวินหลานก็มีขันทีและทหารรักษาการณ์คอยดูแลอยู่ ข้าไหนเลยจำเป็นต้องไปสอนนาง ในทางกลับกัน ข้าเองต่างหากที่อยู่แต่ในจวนมาหลายปี ไม่ค่อยได้ฝึกขี่ม้ายิงธนูอะไรทำนองนี้เลย”

 

 

ว่าแล้วก็ก้มหน้า คล้ายยิ้มแต่ไม่ตลก “ถึงตอนนั้น ถ้าทำให้ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของสมุหนายกอวี้ตกม้าล่ะก็ ข้าคงรับผิดชอบไม่ไหว”

 

 

อวี้เหวินผิงเลิกคิ้วขึ้น ตนเป็นคนชวนคุยก่อนแท้ๆ แต่เขาก็ยังเอาแต่พูดพอเป็นพิธีไม่หยุด ซ้ำยังผลักไสตนครั้งแล้วครั้งเล่า หรือเป็นเพราะเขารู้สึกว่าลูกสาวตนไม่คู่ควร

 

 

อวี้เหวินผิงอย่างไรก็เป็นผู้ใหญ่ที่สุขุมและมีความยับยั้งชั่งใจ จึงถอนหายใจออกมาเบาๆ จ้องมองฉินอ๋องพลางว่า “เฮ้อ…พอพูดถึงลูกสาว หลังกลับจากงานเลี้ยงสังสรรค์ในวันนั้น ก็รู้สึกจะป่วย ไม่ค่อยสบาย บอกแค่ว่าร้อนใน แต่ก็เห็นนางกินข้าวไม่ลงทุกวัน”

 

 

ก็แหงล่ะ ถูกเจี่ยไทเฮาตำหนิต่อหน้าเหล่าผู้สูงศักดิ์ จนอับอายขายหน้าแบบนั้น จะไม่ให้ป่วยได้อย่างไรกัน แล้วเขามาพูดเช่นนี้กับท่านสามทำไม หรือหวังให้ท่านสามไปปลอบโยนนางที่บ้านสักตั้ง แต่ซือเหยาอันกลับได้ยินชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ พูดเสียงเรียบ

 

 

“ถ้าป่วยก็ต้องมีหมอหลวงไปตรวจดูอาการ เพราะเสด็จพ่อรักและเคารพท่านสมุหนายกอวี้มาก จึงไม่มีปัญหาถ้าจะส่งหมอหลวงไปให้ ท่านเองก็ไม่ต้องร้อนใจ วันนี้เข้าวังมาพอดี ก็ทูลขอไปเสียทีเดียวเลย”

 

 

พูดเหมือนไม่ต้องเกรงใจ แต่แฝงนัยยะของการปฏิเสธคนให้ไปไกลๆ อย่างไม่แยแส

 

 

อวี้เหวินผิงไม่อยากพูดจาอ้อมค้อมตามเขาอีก จึงพูดขึ้นมาตรงๆ ให้ชัดเจนกันไปข้างหนึ่ง ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลง “เรื่องการสมรสของโหรวจวงกับฉินอ๋อง ฝ่าบาทน่าจะจัดการให้ในปลายปีนี้”

 

 

ความหมายก็คือ อวี้โหรวจวงกำลังจะเป็นชายาเอกที่เข้าพิธีสมรสตามประเพณีกับเจ้า และเขาอวี้เหวิ

 

 

นผิงก็คือพ่อตาในอนาคตของเจ้า ต่อให้เจ้าไม่สนใจใยดีเขาก็แล้วกันไป แต่จะพูดจากับเขาอย่างเย็นชาเช่นนี้ไม่ได้ จึงต้องขยิบตาเตือนกันหน่อย

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงมองอวี้เหวินผิงนิ่ง ยิ้มในดวงตา แล้วโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย พอเข้าใกล้อวี้เหวินผิง ใบหน้าหล่อเหลาก็มีแววหม่นหมอง พลางพูดเน้นทีละคำ

 

 

“เรื่องนี้มิใช่…ยังมิได้จัดการหรอกหรือ”

 

 

ใบหน้าของอวี้เหวินผิงพลันคล้ายกลืนแมลงวันเข้าไป พูดไม่ออกอีก

 

 

ซือเหยาอันส่ายศีรษะเงียบๆ พลางยิ้มขมขื่นในใจ แต่ไหนแต่ไรมาท่านสามเกลียดคนวางท่าใหญ่โตเป็นที่สุด เพราะท่านสามเองก็เป็นคนหยิ่งทะนงตน เมื่อท่านเบ่งใส่เขา ไม่เท่ากับเอาไข่มากระทบหิน ไม่เท่ากับท่านมี

 

 

แต่ตายกับตายหรอกหรือ!

 

 

และในตอนนี้เอง ขันทีผู้เฝ้าประตูตำหนักหย่อนใจก็เดินเข้ามา

 

 

“ฝ่าบาทเชิญสมุหนายกอวี้เข้าเฝ้า”

 

 

เมื่ออวี้เหวินผิงเห็นว่าเถลไถลไม่ได้อีก จึงว่า “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมไปเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

จากนั้นก็จ้องมองฉินอ๋องนิ่ง ความรู้สึกส่วนใหญ่คือไม่พอใจ ส่วนที่เหลือคือดูแคลน ก่อนสะบัดแขนเสื้อ เดินเข้าไป

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงหนังตากระตุก ขนตางอนยาวกระพริบปริบๆ เกิดเงาดำขึ้นที่ใต้ตา อ่านความคิดความรู้สึกไม่ออก ซือเหยาอันที่อยู่ข้างๆ จึงอดไม่ได้ที่จะพูดเสียงต่ำ

 

 

“คนในบ้านอวี้เหวินผิงเป็นแบบนี้กันทั้งบ้าน ข้าว่า นอกจากฝ่าบาทแล้ว คนสกุลอวี้ไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตาหรอก”

 

 

บรรพบุรุษสกุลอวี้ประสานงานกับขุนพลตามหัวเมืองต่างๆ จนช่วยให้สกุลซย่าโหวยึดครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของต้าเซวียนได้ ขุนนางสกุลอวี้ในตอนนั้นจึงไม่ได้ด้อยไปกว่าขุนนางสกุลซย่าโหวเลย ถ้าพูดถึงความดีความชอบแล้ว ก็ต้องยกให้ทั้งสองสกุลๆ ละครึ่งด้วยซ้ำ พูดให้ถูกก็คือ ฮ่องเต้ต้าเซวียนในยุคบุกเบิก ถ้าไม่ใช่สกุลซย่าโหว ก็มีแต่สกุลอวี้เท่านั้นที่ต้องแบกรับหน้าที่นี้ไว้

 

 

ช่วงแรกของยุคบุกเบิก ยังมีเพลงกล่อมเด็กที่ชาวบ้านร้องต่อๆ กันมาว่า “อวี้ซย่าโหวค้ำจุนใต้หล้า” ความหมายก็คือ จากความดีความชอบของคนสกุลอวี้ สามารถปกครองใต้หล้าร่วมกับคนสกุลซย่าโหวได้

 

 

และเมื่อมีจุดที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมมากมาย คนสกุลอวี้จะชักสีหน้าใส่ลูกหลานของคนสกุลซย่าโหวในรุ่นต่อๆ มาจะนับเป็นอะไรได้

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงมองตามหลังอวี้เหวินผิงไปอย่างไม่ยี่หระ พอหันกลับมา กลับเห็นว่า ตรงกำแพงแดงใต้กระเบื้องหลังคาเขียวที่อยู่ไม่ไกล สนมเอกเฮ่อเหลียนกำลังยืนจ้องมองมาที่ตน โดยมีหลานถิงกับจางเต๋อไห่ขนาบข้างซ้ายและขวา ซึ่งหลานถิงกำลังถือร่มบังแดดในยามบ่ายให้อยู่

 

 

แสดงว่า สนมเอกเฮ่อเหลียนเห็นสิ่งที่โอรสกระทำเมื่อครู่อย่างชัดเจน ดวงตาสวยๆ ที่อ่อนโยนและอ่อนน้อมมาตลอดจึงเย็นชาลง ตรงกันข้ามกับความสดใสที่แสงแดดอบอุ่นสว่างไสวมี เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจและไม่พอใจ ควบด้วยคำตำหนิติเตียน ซึ่งก็คือ นางกำลังโทษโอรสว่า ไม่ควรทำเย็นชากับอวี้เหวินผิง ทำให้อวี้เหวินผิงเสียหน้า

 

 

“ท่านสาม สนมเอก…” ซือเหยาอันตกใจ จึงพูดเสียงต่ำออกมา

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงถูกเสด็จแม่จับได้คาหนังคาเขา จึงค่อยๆ เดินเข้าไปรับหน้า

 

 

“เอ่อ…เสด็จแม่ทำไมถึงเสด็จมาตำหนักหย่อนใจได้ล่ะ”

 

 

ซือเหยาอันทำปากเบี้ยวขณะเดินตามอยู่ด้านหลัง ท่านสามของตนคิดอย่างไรก็แสดงออกมาอย่างนั้น ซึ่งก็เหมาะสมดีแล้ว หรือจะให้ทำลับๆ ล่อๆ แบบโจร

 

 

สนมเอกเฮ่อเหลียนไม่ตอบ เพียงจ้องมองโอรสอย่างไม่ลดละ สักพักก็มีเสียง ‘ฟึ่บ’ สะบัดแขนเสื้อ หัน

 

 

กาย แล้วเดินไปข้างหน้า

 

 

จางเต๋อไห่จึงส่งสายตาบอกฉินอ๋องว่า นายหญิงกำลังโกรธ ให้ฉินอ๋องช่วยเหลือตัวเองและระมัดระวังคำพูดด้วย

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงจึงเดินตามขึ้นไป โดยเดินเงียบๆ อยู่ข้างกายสนมเอก