สองแม่ลูกเดินไปตามกำแพงแดงสูงตระหง่าน บนทางเดินแผ่นหินสีขาวสะอาดสะอ้านไร้ผู้คน พอเดินไปได้สักระยะ สนมเอกค่อยถอนหายใจออกมา เหลือบมองโอรส แล้วว่า
“ตอนข้ายืนอยู่นอกตำหนัก ยังคิดว่าทำไมเจ้าถึงได้อยากเข้าร่วมการล่าสัตว์ในครั้งนี้นักหนา แล้วพอมาเห็นท่าทีที่เจ้าพูดกับสมุหนายกอวี้เมื่อครู่ ไม่ต้องบอก ข้าก็เดาออก ทำไม ได้กลิ่นล่ะสิ ถึงได้วิ่งโร่ไปหาลูกสาวบ้านสกุลอวิ๋นนั่นน่ะ?”
ตอนฉินอ๋องเข้าทำงานที่สำนักพระราชวังใหม่ๆ สนมเอกเฮ่อเหลียนรู้สึกไม่ไว้วางใจ จึงซื้อตัวข้าราชการในนั้นไว้คนหนึ่ง ให้ช่วยจับตาดูโอรสตน และแล้ว พอรายชื่อผู้ตามเสด็จออกล่าสัตว์ถูกส่งมาเมื่อสองวันก่อน ตนถึงได้รู้ว่ามีชื่ออวิ๋นหว่านชิ่นอยู่ในนั้นด้วย
ซือเหยาอันชักอดรนทนไม่ไหวกับนิสัยหัวโบราณและคำพูดด่าว่าโอรสสุดที่รักอย่างไม่บันยะบันยังของสนมเอกเฮ่อเหลียน ที่จู่ๆ ก็เอาโอรสไปเปรียบกับสุนัข แต่พอมองดูท่านสาม ก็เห็นว่าจมูกค่อยๆ แดงขึ้นมาจริงๆ ด้วย แล้วท่านสามก็ขยับลูกกระเดือก
“ก็ลูกไม่ชอบอวี้เหวินผิงจริงๆ ไม่เกี่ยวกับใครสักหน่อย”
สนมเอกเฮ่อเหลียนหันมาค้อนโอรส
“ไม่ชอบ? ถึงไม่ชอบอย่างไร เขาก็เป็นพ่อตาในอนาคตของเจ้า หรือต่อให้ไม่ใช่ อย่างไรเขาก็เป็นสมุหนายกผู้มากบารมี ขนาดฝ่าบาทยังเห็นเขาเป็นคนสำคัญ แต่เจ้ากลับเย็นชาและพูดพอเป็นพิธีกับเขา ทำเช่นนี้มีประโยชน์รึ”
“เสด็จแม่ ลูกเป็นองค์ชาย ถึงเขามีตำแหน่งสูงแค่ไหน ก็เป็นแค่ทาสของราชวงศ์ซย่าโหว” ซย่าโหวซื่อถิงแก้ต่าง
แก้มหยกของสนมเอกเฮ่อเหลียนพลันตึง โกรธขึ้นมาทันที พลันหยุดฝีเท้า
“องค์ชาย? โอรสของฝ่าบาทมีมากจนเกินไป ล่วงเกินขุนนางใหญ่แล้วคุ้มค่าหรือ ซื่อถิง เราสองแม่ลูกไม่ง่ายเลยที่จะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ เจ้าถูกคนวางยาจนบัดนี้ก็ยังรักษาไม่หาย ลืมแล้วหรือไร พ่อแม่ของยินหลัวเสียชีวิตอย่างคลุมเครือ เจ้าก็ลืมแล้วรึ ล้วนเป็นเพราะเราไม่มีที่พึ่ง สกุลอวี้มีอำนาจ ถ้าสามารถพึ่งพาสกุลอวี้ได้ เจ้าก็มีแต่ได้ ไม่มีเสีย! ซื่อถิงเอ๋ย เจ้าเป็นบุรษเพศ ใจอ่อนไม่ได้เป็นอันขาด อย่าปล่อยให้ผู้หญิงคนเดียวมาทำให้ปวดเศียรเวียนเกล้า ข้ามิใช่คนไร้เหตุผล ถ้าเจ้าพบเจอคนที่ชอบ ทำไมข้าจะไม่ดีใจ แต่คนผู้นั้นต้องไม่ทำร้ายเจ้า…ถ้าเจ้าต้องทำลายอนาคตตัวเอง เพื่อคนที่เจ้าชอบแล้วล่ะก็ แม่ก็จะทำให้คนที่เจ้าชอบ…ไม่มีตัวตนทันที!”
ไม่มีตัวตน? ซือเหยาอันเสียวสันหลังวาบขึ้นมา ทรงนำชีวิตของคุณหนูอวิ๋นมาข่มขู่ท่านสามหรือ ที่ผ่านมาตนก็เห็นว่าทรงประทับใจในตัวคุณหนูอวิ๋นไม่น้อยนี่นา ถือว่าชอบพอเลยล่ะ แต่อย่างไรก็ทรงรักลูกตัวเองมากกว่า ถ้าเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์และเส้นสายของลูกแล้วล่ะก็ ต่อให้ชอบพอมากขนาดไหน ก็พร้อมจะขจัดให้พ้นทาง
กระทั่งจางเต๋อไห่กับหลานถิงก็ยังตกใจ หันมาสบตากัน นี่ ทรงกำลังยื่นคำขาดกับฉินอ๋อง
“…ตำแหน่งชายาฉินอ๋อง ต้องเป็นคุณหนูสกุลอวี้! ตอนนี้ข้าต้องการให้เจ้าสาบานกับข้า รับรองกับข้า!”
พอเห็นโอรสไม่พูดจา สนมเอกก็ร้อนใจ จึงฉวยโอกาสตีเหล็กเมื่อยังร้อน บีบกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง
ไม่บ่อยนักที่จะเห็นสนมเอกแสดงอารมณ์โกรธออกมา การสั่งสอนในครั้งนี้ เสียงแม้ไม่ดัง แต่คล้ายหยกตกกระทบจาน ส่งเสียงเกรียวกราวไม่หยุด ไม่ง่ายที่จะพูดแทรก ทำให้คนทั้งสามอย่างจางเต๋อไห่ หลานถิง และซือเหยาอัน ล้วนอดไม่ได้ที่จะก้มหน้าลง ไม่กล้าหายใจ
ลูกห่างจากแม่แต่เด็ก สนมเอกไม่ค่อยได้มีโอกาสสั่งสอนโอรส เมื่อสบโอกาสที่ยากพานพบ จึงทรงเล่นใหญ่ บีบให้ท่านสามสาบาน และเนื่องจากท่านสามเป็นคนกตัญญู จะไม่ทำตามได้อย่างไรกัน แต่ท่านสามมีหญิงในดวงใจแต่แรกแล้ว ไหนเลยจะยอมขออวี้โหรวจวงมาเป็นชายาเอกจริงๆ…ทั้งสองทางนี้ล้วนเลือกยากทั้งสิ้น จนซือเหยาอันถึงกับปาดเหงื่อ
แต่ซย่าโหวซื่อถิงกลับไม่คิดอะไรมาก เสียงตอบของเขาสะท้อนไปมาบนทางน้อยแคบยาวที่ปูด้วยแผ่นหินสีขาว “ต่อไปลูกจะเกรงใจสมุหนายกอวี้หน่อยก็แล้วกัน”
“สาบาน!” สนมเอกเฮ่อเหลียนไล่ไม่ยั้ง ไม่หยุดแม้ถูกลูกขัดจังหวะ และไม่รู้ว่านางหยั่งเชิงหรือเอาจริงที่รีบพูดจนสำลัก ไอออกมาสองคำ หลานถิงจึงกุลีกุจอเข้าลูบหลังให้นายหญิง
ซย่าโหวซื่อถิงชูสองนิ้วขึ้น ข้างใบหน้าอันหล่อเหลา ยังคงทำในสิ่งที่ควรทำอย่างใจเย็น
“ลูกสาบานว่า จะเชื่อฟังเสด็จแม่ทุกอย่าง มิเช่นนั้นขอให้ถูกสายฟ้าฟาด ไม่ตายดี…”
น้ำเสียงทะเล้น ไม่เหมือนคนกำลังสาบาน เหมือนกำลังตอบว่าวันนี้ไปกินอะไรมามากกว่า
คำสาบานนี้…หลอกกันชัดๆ ซือเหยาอันกลืนน้ำลาย ขนลุกซู่
พอสนมเอกเฮ่อเหลียนเห็นโอรสสาบานรุนแรงขนาดนี้ ก็สะดุ้งตกใจ ไม่รอให้เขาพูดจบ ก็รีบยื่นมือออกไปปิดปากเขาไว้ จับมือเขาลง แต่เมื่อสาบานรุนแรงเช่นนี้ ก็ย่อมตัดสินใจแล้วว่าจะเปลี่ยนความคิด ไฉนนางยังไม่ไว้ใจเขาอีก
พอสนมเอกหายโกรธ สีหน้าก็คืนสู่ปกติ อารมณ์ดีขึ้นมาก
“หนอย! สายฟ้าฟาดอะไรของเจ้า! พูดยังกับเด็กๆ! ข้ารู้อยู่แล้วว่าซื่อถิงน่ะกตัญญู พอเถอะๆ เจ้าพูดมาแบบนี้ แม่ก็วางใจแล้ว จะไม่ถามมากอีก เจ้าชอบใครก็ชอบไป แม่ไม่ใช่คนไร้เหตุผลแบบนั้น”
ขอเพียงไม่กระทบงานใหญ่ ที่เหลือก็แล้วแต่ความสุขของลูกชายก็แล้วกัน
พอซย่าโหวซื่อถิงได้รับคำชม ก็ไม่พูดมากอีกเช่นกัน
สองแม่ลูกเดินไปด้วยกันอีกสักระยะ ก็สุดทางเดิน จึงแยกย้ายกันไป
หลังจากใช้สายตาส่งสนมเอกเฮ่อเหลียนที่มีสีหน้าชื่นมื่นกลับตำหนัก ซือเหยาอันก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น
“ท่านสามพูดจริงหรือ ที่ว่าต่อไปจะญาติดีกับอวี้เหวินผิง จะยอมรับสมรสพระราชทานแต่โดยดี”
เสียงยิ้มเยาะพลันลอยเข้าหู
“ยอมก้มหัวให้อวี้เหวินผิงนี่สิ ถึงจะเรียกว่าใจอ่อน”
ซือเหยาอันอึ้ง “เช่นนั้น เมื่อครู่ท่านก็สาบานหลอกๆ กับสนมเอก…” อะไรต่อมิอะไรให้สายฟ้าฟาดตาย เสียงนี้ยังคงก้องไปมาอยู่ข้างหู!
ชายหนุ่มไพล่มือทั้งสองข้างไว้ด้านหลัง เหล่ตามองเขา แล้วพูดจาสบายๆ
“คนที่ชอบสบถสาบานมีมากอยู่ ต้องดูว่าสวรรค์จะมีสายฟ้ามากพอที่จะฟาดลงมาหรือไม่”
สาบาน? เขาไม่เคยเชื่อคำสาบาน ถ้าสาบานแล้วเห็นผลจริง จะมีศาลมีราชสำนักไว้ทำไมกัน! แค่ให้อาชญากรทุกคนกล่าวคำสาบานก็สิ้นเรื่อง!
แต่มันทำให้เสด็จแม่สบายใจ ขอเพียงเสด็จแม่ไม่ระบายอารมณ์โกรธใส่ผู้ที่อยู่นอกวังหรือฝ่าบาทเท่านี้ก็พอ ว่าแล้วก็สะบัดแขนเสื้อ เดินไปยังประตูเจิ้งหยาง
ท่านสามนี่ โหดกับตัวเองจริงๆ
ซือเหยาอันคิด แต่พอได้สติ ก็รีบก้าวเดินตาม