หลังจากอวิ๋นเสวียนฉั่งเรียกประชุมรวมคนในครอบครัว วันรุ่งขึ้น สำนักพระราชวังก็ส่งสารมา บอกอวิ๋นเสวียนฉั่งถึงพระราชประสงค์ว่า ถ้าพี่น้องสกุลอวิ๋นมีเวลาว่าง ก็สามารถไปที่สนามม้าสวินหลานฝึกขี่ม้าแบบเดียวกันกับลูกท่านหลานเธอได้
อวิ๋นเสวียนฉั่งจึงปลื้มปิติยิ่ง รีบโขกศีรษะขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณ
ขณะเดียวกัน อวิ๋นจิ่นจ้งก็สืบข่าวบางอย่างเกี่ยวกับการตามเสด็จไปล่าสัตว์จากปากเพื่อนร่วมชั้นเรียนเดียวกันมาได้ จึงรีบกลับมาบอกพี่สาวที่บ้าน
ซึ่งอวิ๋นหว่านชิ่นรู้จากปากของน้องชายว่า จำนวนคนในขบวนรถม้าที่ตามเสด็จออกล่าสัตว์ในปีนี้ ใหญ่โตพอๆ กันกับปีก่อน
โดยผู้นำขบวนคือฝ่าบาท ตามด้วยขบวนของเจี่ยงฮองเฮาและมเหสีรองเหวย ถัดมาจึงเป็นขบวนของขุนนางฝ่ายบู๊และบุ๋น ฝ่ายละสามสิบกว่าคน จากนั้นก็เป็นขบวนขององค์ชายหกท่าน องค์หญิงสามท่าน และคนในเชื้อพระวงศ์ อาทิ จวิ้นอ๋อง ท่านหญิง เป็นต้น รวมกันอีกราวไม่ต่ำก่ว่ายี่สิบคน สุดท้ายค่อยเป็นลูกหลานขุนนาง อย่างตนกับจิ่นจ้ง คร่าวๆ ก็น่าจะราวห้าหกสิบคน
บวกกับคนในวังที่คอยรับใช้ขณะเดินทาง บ่าวและองครักษ์ ก็ยิ่งมากเข้าไปอีก
ตามตารางกิจกรรมเมื่อปีก่อน พอไปถึงป่าฮู่หลง ช่วงกลางวันก็จะทำการล่าสัตว์และรับประทานอาหารในป่าที่ล้อมรั้วไว้
พอตกกลางคืน ฮ่องเต้กับฮองเฮาก็จะประทับอยู่ในตำหนักไคหยวน ที่อยู่ข้างๆ ป่า ส่วนจ้าวและขุนนางก็จะแยกย้ายกันพักอยู่ในกระโจมรอบๆ พระตำหนักลดหลั่นกันไปตามลำดับชั้นสูงต่ำ
ส่วนราชกิจในเมืองหลวง รัชทายาทซย่าโหวซื่อถิงเป็นผู้กำกับดูแลแทนชั่วคราว
บ่ายวันเดียวกัน พ่อบ้านม่อก็จัดเตรียมบ่าวและรถม้าไว้พร้อมสำหรับส่งคุณชายและคุณหนูไปยังสนามม้าสวินหลาน
สนามม้าสวินหลานมีพื้นที่ราวหนึ่งพันไร่ นับเป็นพื้นที่ๆ กว้างใหญ่ไพศาล ซึ่งหาได้ยากยิ่งในยุคที่ที่ดินเป็นเงินเป็นทองเช่นนี้ เมื่อกวาดตามองไป ก็เห็นสนามหญ้าเขียวขจีที่ได้รับการตัดแต่งเรียบร้อย คอกม้าถูกสร้างเรียงรายเป็นแถวยาวราวหนึ่งลี้เห็นจะได้ ภายในรั้วไม้มีม้าที่ถูกเลี้ยงและผสมพันธุ์ขึ้นเอง แต่ละตัวล้วนมีรูปร่างอ้วนพี แข็งแรง ขนเรียบเนียนเงางาม
พอลงจากรถม้า สายลมอ่อนๆ ก็โชยพัดใบหน้า อากาศสะอาดบริสุทธิ์ ได้ยินเสียงกุบๆ กับๆ ดังมาจากด้านใน เหมือนมีคนกำลังฝึกขี่ม้าอยู่ อวิ๋นหว่านชิ่นได้กลิ่นสดชื่นแบบทุ่งหญ้า ทั้งๆ กำลังยืนอยู่ในเขตเมืองที่มีคนอาศัยอย่างหนาแน่น คลับคล้ายอยู่ในชานเมืองอย่างไรอย่างนั้น
หน้าประตูสนามม้ามีชายอายุราวยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดยืนอยู่ เขาสวมชุดเครื่องแบบสีเขียว สวมหมวกผ้า
แพร เป็นขันทีที่กองกิจการภายในสำนักพระราชวังจัดส่งมาดูแลสนามม้า พอเห็นสองพี่น้องสกุลอวิ๋น หรือบุตร
เจ้ากรมกลาโหมคนใหม่ ที่ต้องตามเสด็จไปล่าสัตว์ในอีกสองวันข้างหน้า ก็ก้าวเข้ามาต้อนรับ
“ข้าน้อย ซ่งลุ่ย หัวหน้าขันทีดูแลคอกม้าในวัง และได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการดูแลสนามม้าสวินหลานพ่อบ้านของนายท่านได้แจ้งให้ข้าน้อยทราบล่วงหน้าแล้ว เชิญคุณชายอวิ๋นและคุณหนูอวิ๋นตามข้าน้อยเข้าไปด้านใน อีกสักครู่จะมีบ่าวคอยดูแล จูงม้ามาให้นายน้อยทั้งสองฝึกขี่”
อวิ๋นหว่านชิ่นแย้มยิ้ม “รบกวนใต้เท้าซ่งแล้ว”
อวิ๋นจิ่นจ้งก็พูดและแสดงกิริยามารยาทตามพี่สาว “รบกวนใต้เท้าซ่งแล้ว”
ซ่งลุ่ยเห็นสองพี่น้องสกุลอวิ๋นมีท่าทีเกรงใจตน ก็ประทับใจยิ่ง ขณะจะยื่นมือออกไปนำทาง ก็เห็นคุณหนูอวิ๋นแอบสอดอะไรแข็งๆ ลื่นๆ เย็นๆ เข้ามาในแขนเสื้อตน
“ลำบากใต้เท้าซ่งแล้ว”
ซ่งลุ่ยสัมผัสปุ๊บ ก็รู้ว่าเป็นหนึ่งตำลึงทองโดยไม่ต้องดู จึงยิ้มหน้าบาน
“ไม่ลำบากๆ คุณหนูอวิ๋น คุณชายอวิ๋น เชิญทางนี้ ตามข้อน้อยไปเลือกม้าที่คอกม้าก่อน”
พี่น้องสกุลอวิ๋นดูไปแล้วอายุก็ไม่มาก มาสนามม้าเป็นครั้งแรกด้วย คิดไม่ถึงว่าจะรู้กาลเทศะเช่นนี้!
เนื่องจากได้รับค่าน้ำร้อนน้ำชาจากอวิ๋นหว่านชิ่น ซ่งลุ่ยจึงดูแลเอาใจใส่สองพี่น้องเป็นพิเศษ พอมาถึงคอกม้า ก็ถามอย่างละเอียดว่า ทั้งสองเคยขี่ม้ามาก่อนไหม
อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มพลางว่า
“น้องข้าเคยฝึกมาบ้าง การขี่ม้าขั้นพื้นฐานจึงไม่มีปัญหา ส่วนข้านั้นโง่งม ตอนเป็นเด็กถูกท่านลุงอุ้มขี่ลูกม้าเพียงสองรอบเท่านั้น อย่างมากก็แค่คุมบังเ**ยนได้”
ซ่งลุ่ยฟังแล้วก็เดินเข้าไปด้วยตัวเอง เลือกม้าเจริญวัยที่ตอนแล้วมาให้สองตัว ตัวหนึ่งสีขาว อีกตัวหนึ่งสีแดงเข้ม ทั้งสองตัวขนเรียบ กีบเท้ากลม ขาแข็งแรง บั้นท้ายสมบูรณ์ คนไม่รู้เรื่องม้าก็ยังดูออกว่าเป็นม้าดี ม้าที่ตอนแล้วโดยทั่วไปจะมีนิสัยอ่อนโยน ไม่พยศ ไม่ทำร้ายคน ต่อให้ขี่เป็นครั้งแรกก็เชื่อง
พอเลือกม้าเสร็จ ซ่งลุ่ยก็ประสานมือพลางยิ้ม
“นายน้อยทั้งสองตามบ่าวรับใช้ไปฝึกขี่ม้าที่สนามหญ้าด้านนั้นก่อน ถ้ากระหายน้ำและเหนื่อย หรือมีเรื่องอะไร ก็เรียกหาข้าน้อยได้ทุกเมื่อ”
แล้วบ่าวรับใช้ประจำสนามม้าก็จูงม้าทั้งสองตัวลงไปในสนามหญ้า
อวิ๋นจิ่นจ้งเดินตามอยู่ด้านหลังพลางพึมพำเบาๆ “พี่ ข้าได้ยินพวกหยางจิ่นว่า เจ้าหน้าที่ในสนามม้าแต่ละคนหัวสูงกันทั้งนั้น คิดไม่ถึงว่าหยางจิ่นจะโป้ปด อย่างซ่งลุ่ย ข้าก็เห็นว่าเขามีอัธยาศัยดีเอามากๆ ยังเลือกม้าให้เราด้วยตัวเองอีก”
อวิ๋นหว่านชิ่นเหลือบมองน้องชาย “ก็แค่เงินถึงน่ะ”
ผู้ดูแลสนามม้า จะว่าตำแหน่งใหญ่ก็ไม่เชิง แต่ถ้าเขาคิดกลั่นแกล้ง แอบเลือกม้าพยศหรือม้าที่เชื่องช้าให้ตนกับน้องแล้วล่ะก็ ถึงตนกับน้องจะร้องแรกแหกกระเชอก็ไร้ประโยชน์
พอทั้งสองเดินมาถึงข้างสนามหญ้า บ่าวประจำสนามม้าก็ปล่อยเชือกลง แล้วถอยไปยืนด้านข้าง
อวิ๋นจิ่นจ้งก้าวขึ้นไปนั่งบนหลังม้าได้ไม่เลว เขาสวมกางเกงและเสื้อแขนสอบ ดูรัดกุมมาก พอดึงบังเ**ยน เหยียบโกลน ก็กระชับพอดีกับอาน จึงขยับข้อมือ บังคับม้าให้เดินวนอยู่กับที่สองรอบก่อน ให้รู้สึกว่าก้าวย่างได้มั่นคงแล้ว ค่อยกวักมือเรียกอย่างอารมณ์ดี
“พี่ ยังไม่ขึ้นม้าอีก!”
อวิ๋นหว่านชิ่นก้าวเข้ามายืนข้างๆ ม้าสีขาวราวหิมะ ใช้มือลูบขนที่หลังของมันเบาๆ ต้องผูกมิตรกับมันก่อน ขณะจับบังเ**ยนให้แน่น เตรียมจะขึ้นม้า ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกชื่อตนในระยะห่างออกไปไม่ไกล