บทที่ 53.2 ผู้อำนวยการหญิงผู้งดงาม (2)

Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา

“องค์หญิงตี้ฝูหยา ท่านพูดถึงเขาเช่นนี้ได้อย่างไร? ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังเป็นคู่หมั้นของท่านอยู่นะ!” น้ำเสียงของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ค่อนข้างเย็นชา

อนิจจา เมื่อองค์หญิงตี้ฝูหยาได้ยินคำว่าคู่หมั้น เธอก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาจนลืมแม้กระทั่งสังเกตสีหน้าที่เปลี่ยนไปของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ อย่างไรตอนนี้เธอก็กำลังอยู่ต่อหน้าหมิงฮัว! เจ้าชายขี่ม้าขาวในความคิดของเธอคือพี่ชายของคนผู้นี้ต่างหาก! ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดถึงเรื่องการหมั้นของพวกเขาต่อหน้าหมิงฮัวเช่นนี้ ตี้ฝูหยาจะไม่กังวลได้อย่างไร

“น้องปิงเอ๋อร์ เจ้าอย่าได้พูดเรื่องเหลวไหลพวกนั้นอีกเลย…ใครคือคู่หมั้นของเขา? นั่นเป็นเพียงการหมั้นหมายทางการเมืองที่เสด็จพ่อของข้าจัดการให้ต่างหาก ข้าออกจากบ้านมาครั้งนี้ก็ไม่ได้วางแผนจะกลับไปอยู่แล้ว ข้าไม่ต้องการคู่หมั้นอย่างเจ้านั่น แม้ว่าจะต้องแต่งงานกับหมูหรือหมา ข้าก็จะไม่แต่งงานกับเขาเด็ดขาด!”

ใบหน้าของซ่างกวนปิงเอ๋อร์แข็งกระด้างขึ้น “ตี้ฝูหยา เจ้าจะมากเกินไปแล้วนะ! อ้วนน้อยทำอะไรผิด? เหตุใดเจ้าต้องปฏิบัติต่อเขาเช่นนั้นด้วย?”

“เขาทำอะไรผิดงั้นรึ…?” ตี้ฝูหยาชะงักไปเล็กน้อย เธอได้แต่พูดเสียงแข็งว่า “มะ…ไม่ว่ายังไงข้าก็มีคนที่ชอบอยู่แล้ว! แม้ไม่นับเรื่องที่เขาเป็นตัวไร้ประโยชน์ตั้งแต่ต้น  หากตอนนี้เขาเป็นอัจฉริยะอันดับต้นๆ ของโลก ข้าก็ยังไม่ชอบเขาอยู่ดีนั่นแหละ!…”

หมิงฮัวพูดอย่างหมดความอดทน “พอแล้ว เจ้าเลิกพยายามป่าวประกาศความรักอะไรทำนองนั้นต่อหน้าข้าได้แล้ว รู้ไว้เสียว่ามันไร้ประโยชน์ ข้ารู้จักพี่ชายของข้าดีที่สุด เมื่อเขาตัดสินใจอะไรบางอย่างแล้วเขาย่อมไม่มีวันเปลี่ยนใจ เอาเถอะ ไม่ว่าจะยังไงตอนนี้ข้าก็รู้แล้วว่าทำไมเขาถึงไม่ต้องการเจ้า…เพราะเจ้าเป็นคนโง่เง่าจริงๆ นั่นแหละ ต่อหน้าคนรักของโจวเหว่ยชิงเจ้ากลับเอาแต่พูดดูถูกเขา ข้าไม่รู้จะอธิบายให้คนโง่อย่างเจ้าฟังยังไงแล้ว นอกจากนี้ยังมีสิ่งหนึ่งที่เจ้าต้องรู้เอาไว้ อันที่จริงข้าไม่เคยเห็นอัจฉริยะคนใดมีพรสวรรค์ยิ่งใหญ่ไปกว่าโจวเหว่ยชิงแล้ว เด็กน้อยคนนั้นน่ะ ขนาดพี่ชายของข้าก็ยังสู้ไม่ได้ด้วยซ้ำ”

หลังจากพูดเช่นนั้น หมิงฮัวก็หยิบกระดาษข้อสอบของเธอ และเดินออกจากห้องไป เธอไม่มีอารมณ์จะคุยกับผู้หญิงโง่เขลาอย่างตี้ฝูหยาอีกแล้ว

เมื่อได้ยินคำพูดของหมิงฮัว ตี้ฝูหยาก็ตกตะลึงไป เมื่อหันไปเห็นสีหน้าเย็นชาของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เธอก็เอ่ยออกมาอย่างคาดไม่ถึงว่า “ปิงเอ๋อร์ เจ้า…เจ้ากลายเป็นคนรักของเขาจริงเหรอ? นั่นเป็นเรื่องจริง?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวอย่างขึงขัง “ทำไมจะเป็นเรื่องจริงไม่ได้? ข้าอยู่ด้วยกันกับอ้วนน้อยมาเป็นเวลา 2 ปีแล้ว ตี้ฝูหยา เจ้าอาจไม่ชอบเขา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะไม่ชอบเขา”

“อ้วนน้อยอาจไร้ประโยชน์ในสายตาของเจ้า แต่เขาเป็นผู้ชายที่แสนพิเศษในสายตาของข้า ข้าจะไม่คุยเรื่องนี้กับเจ้าอีกแล้ว ข้าต้องไปรอเขาที่โรงอาหาร” พูดจบเธอก็เดินออกไปทันที

“ข้าเข้าใจแล้ว” ตี้ฝูหยาพึมพำกับตัวเองคล้ายเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด “คงเป็นเพราะแม่ทัพโจวใช่หรือไม่?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หยุดฝีเท้าทันที เธอหันกลับไปหาตี้ฝูหยาและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ฝ่าบาท โปรดอย่าดูถูกข้าและดูถูกตัวเองเลย ตั้งแต่วันนี้พวกเราไม่ใช่เพื่อนกันอีกต่อไป นอกจากนี้ ข้ายังหวังว่าท่านจะจดจำทุกคำพูดของท่านในวันนี้ไว้ให้ดี ข้าจะไม่ปล่อยให้ท่านแย่งอ้วนน้อยไปภายหลังแน่…” แม้ว่าตอนแรกเธอจะรู้สึกละอายและรู้สึกผิดต่อคู่หมั้นอย่างเป็นทางการของโจวเหว่ยชิง แต่ตอนนี้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กลับไม่รู้สึกเช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว ในความเป็นจริงเธอรู้สึกว่าการพยายามยุติการหมั้นหมายของทั้งคู่นั้นไม่มีประโยชน์อีกต่อไปเพราะเธอรู้ว่าโจวเหว่ยชิงจะไม่มีทางชอบคนเช่นนี้แน่นอน

ด้านโจวเหว่ยชิงย่อมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องเรียนหลังจากที่เขาเดินออกมาพร้อมกับท่านคณบดีเสี่ยว ในขณะที่พวกเขากำลังเดินเคียงคู่ไปด้วยกันนั้น โจวเหว่ยชิงก็พูดขึ้นมาอย่างจริงใจ “ท่านคณบดีเสี่ยว ข้าต้องขอบคุณท่านมากสำหรับทุกอย่างที่ท่านทำเพื่อข้าเมื่อวานนี้”

เสี่ยวฉือยิ้มจางๆ พลางกล่าวว่า “เจ้าเด็กเหลือขอนี่ เจ้าช่างรู้ดีจริงๆ! ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้าหรอก นั่นคือความสามารถของเจ้าเอง หากเจ้าไม่ได้มีพรสวรรค์ที่โดดเด่น ข้าก็คงจะไม่สังเกตเห็นเจ้าและปกป้องเจ้าเช่นนี้… ”

โจวเหว่ยชิงค่อนข้างประหลาดใจกับความตรงไปตรงมาของเสี่ยวฉือ ตอนนี้เขาจึงพบว่าตันเองชอบคณบดีคนนี้มากขึ้นเรื่อยๆ

โจวเหว่ยชิงถามต่อ “ท่านคณบดีเสี่ยว ทำไมท่านถึงตามหาข้า?”

เสี่ยวฉือหัวเราะและพูดว่า “ไม่ใช่ข้าที่ตามหาเจ้า แต่เป็นผู้อำนวยการของเราที่ต้องการพบอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่โดดเด่นและมีความสามารถเช่นเจ้า”

เมื่อได้ยินคำว่าอัจฉริยะ โจวเหว่ยชิงก็หวนคิดไปถึงแบบทดสอบทีเขาเพิ่งทำไปและความรู้ในหัวที่ตนไม่มีอยู่เลย ไม่นานโจวเหว่ยชิงก็แสดงท่าทีที่ไม่ค่อยมีใครได้พบเห็นออกมา เขาหน้าแดงด้วยความลำบากใจก่อนจะพูดว่า “ข้ายังห่างไกลจากการเป็นอัจฉริยะนัก คงจะต้องพึ่งพาคณบดีเสี่ยวในอนาคตให้ช่วยดูแลข้าอีกมาก”

เสี่ยวฉือกล่าวว่า “ถ้าเจ้าไม่ได้ถูกเรียกขานว่าเป็นอัจฉริยะ ก็คงไม่มีใครในโลกนี้เป็นอัจฉริยะแล้ว ตามที่เจ้าเขียนในใบสมัครเข้าเรียน เจ้ายังอายุไม่ถึง 17 ปีแต่กลับเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลางแล้ว ไม่เพียงแต่เจ้าจะเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์คนแรกในโรงเรียนของเรา เจ้ายังเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลางที่อายุน้อยที่สุดที่ข้าเคยได้ยินมาด้วย แม้แต่ผู้สืบทอดของอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ที่มีชื่อเสียง พวกเขาก็ยังคงเป็นแค่อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับพื้นฐานตอนอายุเท่าเจ้า พวกเราคาดหวังกับเจ้าไว้สูงมากทีเดียว”

ขณะที่พวกเขาพูดคุยกัน เสี่ยวฉือก็พาเขาเดินขึ้นบันไดไปข้างบน ห้องทำงานของผู้อำนวยการอยู่ที่ชั้นที่ 5 ของอาคารเรียนหลักซึ่งเป็นชั้นบนสุดของอาคาร

อืม…ผู้อำนวยการ? ในสมองของโจวเหว่ยชิงเต็มไปด้วยภาพหญิงงามผู้แสนโดดเด่นและสง่างามที่ตนเคยเห็นเมื่อวันก่อน อีกฝ่ายได้ประทับอยู่ในความทรงจำของเขาอย่างแน่นหนา

ไม่ช้าพวกเขาก็มาถึงชั้น 5 ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเงียบสงบกว่าบริเวณอื่นๆ มาก ชั้นนี้เป็นที่ตั้งของห้องทำงานเหล่าสมาชิกระดับสูงของโรงเรียนทั้งหมด

เสี่ยวฉือเดินนำโจวเหว่ยชิงไปยังห้องที่อยู่ลึกที่สุดของทางเดิน สุดท้ายพวกเขาก็มาหยุดอยู่ที่ประตูบานหนึ่งซึ่งมีป้ายกำกับว่าเป็นห้องทำงานของผู้อำนวยการ เสี่ยวฉือเคาะประตูเบาๆ 2 ครั้งด้วยสีหน้าแสดงความเคารพ

น้ำเสียงที่ทั้งสงบนิ่งและสง่างามดังออกมามาจากภายใน “เข้ามาได้”

ได้ยินดังนั้นเสี่ยวฉือก็ผลักประตูเข้าไปพร้อมกับโจวเหว่ยชิง

ห้องทำงานนี้มีขนาดค่อนข้างใหญ่ กะดูแล้วอาจจะมีขนาดราวๆ เกือบ 300 ตารางเมตรได้ ข้างในได้รับการตกแต่งเป็นสีเหลืองอ่อนทั้งหมด ให้ความรู้สึกสงบร่มรื่นแต่ก็งดงามประณีต การตกแต่งภายในห้องทั้งหมดได้รับการออกแบบมาอย่างพิถีพิถันเป็นอย่างดี  ด้านหลังโต๊ะครึ่งวงกลมขนาดใหญ่มีไช่ไช่ซึ่งเป็นผู้อำนวยการหญิงผู้งดงามนั่งอยู่

เช่นเดียวกับเมื่อวาน วันนี้เธอสวมเสื้อคลุมสีดำที่เป็นเอกลักษณ์ของเหล่าอาจารย์ทั้งหลาย ผมยาวสลวยถูกรวบไว้บนศีรษะ เธอมีรอยยิ้มน้อยๆ ที่ดูสบายตา สีหน้าและท่าท่างดูสงบนิ่งไร้กลิ่นอายหยิ่งผยองอย่างที่ใครหลายคนอาจคาดหวังจะได้เห็นจากคนตำแหน่งเช่นเธอ

“ท่านผู้อำนวยการ ข้าพาโจวเหว่ยชิงมาหาท่านแล้วขอรับ” เสี่ยวฉือกล่าวพร้อมกับโค้งคำนับเล็กน้อย

ไช่ไช่ยิ้มและพยักหน้าตอบรับ “ขอบคุณท่านคณบดี ข้ารบกวนท่านแล้ว”

เสี่ยวฉือยิ้มตอบและพูดว่า “ไม่เป็นไรขอรับท่านผู้อำนวยการ เช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวก่อน ท่านจะได้พูดคุยกับเขาได้สะดวก” เขาโค้งคำนับอีกครั้งก่อนจะเดินออกจากห้องไป ขณะทำเช่นนั้น เขาก็หันมามองโจวเหว่ยชิงอย่างให้กำลังใจ

ขณะที่เสี่ยวฉือออกไป เขาก็ปิดประตูตามหลังด้วย ตอนนี้จึงมีเพียง 2 คนเหลืออยู่ในห้อง ก่อนหน้านี้ขณะโจว เหว่ยชิงได้เห็นไช่ไช่จากระยะไกลๆ เขาก็รู้สึกตกตะลึงกับความงามของเธอมากอยู่แล้ว ดังนั้นการได้เห็นเธอในระยะใกล้ๆเช่นนี้จึงทำให้เขาทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย

ผู้อำนวยการไช่ไช่ให้ความรู้สึกเหมือนเทพธิดาที่ไม่สมควรมีใครทำให้แปดเปื้อน ราวกับภาพฝันที่ไม่สามารถแตะต้องได้ จู่ๆ ความตึงเครียดที่มองไม่เห็นก็พลันปรากฏขึ้นในห้องนั้น ความสง่างามอันสูงส่งของเธอดูเหมือนจะฝังรากลึกอยู่ในสายเลือดของอีกฝ่ายจนทำให้คนอื่นรู้สึกว่าตนเองมีปมด้อยอย่างน่าแปลกประหลาดแม้ว่าเธอจะไม่ได้แสดงท่าทางหยิ่งยโสออกมาก็ตาม

ตามข้อมูลของโข่วรุ่ย ผู้อำนวยการหญิงที่งดงามคนนี้มีอายุ 35 ปีแล้ว อย่างไรก็ตาม รูปลักษณ์ภายนอกเธอกลับดูเหมือนเด็กสาวอายุยังไม่ถึง 20 ปีด้วยซ้ำ แต่ถึงกระนั้นกลิ่นอายของเธอก็ดูเหมือนคนที่มีอายุ 50-60 ปี การผสมผสานที่เป็นเอกลักษณ์เช่นนี้จึงเกินพอที่จะดึงดูดสายตาของใครต่อใครได้

“นักเรียนโจวเหว่ยชิง โปรดนั่งลงเถิด” ไช่ไช่ชี้ไปยังเก้าอี้สูงที่มีพนักพิงหน้าโต๊ะทำงานของเธอ

โจวเหว่ยชิงไม่กล้าชักช้า เขารีบดึงเก้าอี้มานั่งโดยไม่สนใจมารยาทอันสูงส่งใดๆ อย่างไรเขาก็เป็นนักเรียนสามัญชน…นอกจากนี้หากจะเปรียบเทียบมารยาทของเขากับกิริยาสูงส่งกับผู้หญิงคนนี้  ทำตัวมีมารยาทไปก็คงไร้ประโยชน์อยู่ดี

ต่อหน้าหญิงงาม หากจะดึงดูดความสนใจของเธอ คนผู้นั้นต้องแข็งแกร่งกว่าเธอ ไม่เช่นนั้นก็คงต้องใช้หนทาง อื่นๆ ที่พิเศษหรือแตกต่างจากคนอื่นมากๆ นั่นคือสิ่งที่มู่เอินเคยสอนโจวเหว่ยชิงเอาไว้

“ยินดีที่ได้พบขอรับท่านผู้อำนวยการไช่ไช่” โจวเหว่ยชิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ไช่ไช่ชะงักไปเล็กน้อย แม้แต่อาจารย์ในโรงเรียนคนอื่นๆ ก็ไม่เคยเรียกเธอด้วยชื่อเต็มด้วยซ้ำ นอกจากนี้…โจว  เหว่ยชิง เด็กคนนี้ยังดูเป็นผู้ใหญ่กว่าที่เธอคาดเอาไว้มากทีเดียว

แน่นอนว่าสิ่งที่โจวเหว่ยชิงทำในพิธีเปิดเมื่อวานนี้ย่อมมาถึงหูเธอแล้ว ในความเป็นจริงทุกรายละเอียดของเหตุการณ์ถูกรายงานให้เธอทราบทั้งหมดเพราะในโรงเรียนแห่งนี้เธอเป็นผู้กุมอำนาจสูงสุดอย่างไม่มีใครกล้าสงสัย

“โจวเหว่ยชิง เจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าขอให้ท่านคณบดีเสี่ยวเรียกเจ้ามาที่นี่?” เธอเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

โจวเหว่ยชิงส่ายหัวและพูดว่า “ไม่ขอรับ ข้าไม่รู้”

ไช่ไช่กล่าวว่า “ข้าได้เห็นคำตอบตอนสอบเข้าของเจ้าแล้วและได้ยินว่าแม่ทัพหมิงหยูเป็นผู้รับเจ้าเข้ามาใช่ไหม?”

โจวเหว่ยชิงพยักหน้าและกล่าวว่า “ใช่แล้วขอรับ อาจารย์ผู้ตรวจข้อสอบไม่พอใจคำตอบของข้า ทว่าแม่ทัพหมิงหยูบังเอิญเดินผ่านมาเห็นพอดีและเขาคิดว่าคำตอบของข้าใช้ได้ เขาจึงให้คะแนนข้าค่อนข้างดี”

“ใช้ได้? แต่ในมุมมองของข้า คำตอบของเจ้าสมควรได้ 0 คะแนน” ทันใดนั้นเสียงของไช่ไช่ก็เยือกเย็นขึ้นจนโจวเหว่ยชิงรู้สึกราวกับว่าอุณหภูมิในห้องกำลังลดลงหลายองศา

โจวเหว่ยชิงชะงักไปเล็กน้อย ดูเหมือนว่าผู้อำนวยการคนนี้จะไม่เป็นมิตรกับเขาแล้ว

ไช่ไช่กล่าวอย่างเคร่งขรึม “ ในคำตอบของเจ้า ข้าเห็นแต่การนองเลือด ความตายและความทุกข์ทรมานของประชาชนนับไม่ถ้วน บางทีกลยุทธ์ของเจ้าอาจประสบความสำเร็จและนำมาซึ่งชัยชนะ แต่พวกเราจะต้องสูญเสียอะไรไปบ้าง? จะมีคนต้องตายเพราะคำสั่งของเจ้ากี่คน? ทุกคนย่อมมีโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่ต่อและไม่มีใครควรถูกตัดสิทธิ์นี้ออกไป เมื่อมีคนเสียชีวิต นั่นย่อมนำความทุกข์มาสู่ครอบครัวของพวกเขาด้วยเช่นกัน บางทีเจ้าอาจคิดว่านี่เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่สิ่งที่ข้าอยากจะบอกเจ้าก็คือผู้บัญชาการที่ไม่สนใจชีวิตของประชาชนจะไม่มีวันได้เป็นผู้นำที่แท้จริงและไม่มีวันที่กองทัพของเขาจะได้รับการยอมรับจากคนอื่น”

……………………………