บทที่ 53.3 ผู้อำนวยการหญิงผู้งดงาม (3)

Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา

“ในการต่อสู้ อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุด? โอกาส ภูมิประเทศที่เอื้ออำนวย ผู้คน? สำหรับ 2 ข้อแรกเจ้ายังสามารถใช้ประสบการณ์และความรู้ของเจ้าตัดสินได้ แต่ข้อสุดท้ายย่อมเป็นไปไม่ได้ ผู้ที่ครองใจประชาชนย่อมครองแผ่นดิน ข้าจะบอกเจ้าไว้อย่าง แม้ว่าหมิงหยูจะเป็นแม่ทัพที่มีชื่อเสียง แต่เขาจะไม่ได้รับรางวัลเกียรติยศระดับสูงสุดและจะไม่มีวันได้ขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่แน่นอน นั่นเป็นเพราะสำหรับเขาในตอนนี้ ไม่ว่าจะไปที่ไหน ชื่อของเขาก็จะนำแต่ความหวาดกลัวมาให้ ไม่ใช่แค่ศัตรู แต่รวมถึงเพื่อนร่วมชาติของเราด้วย คนที่จำชัยชนะของเขาได้มีน้อยเหลือเกิน แต่หลายคนมักเรียกเขาว่าเพชฌฆาตหรือนักเชือดมนุษย์ น่าเสียดาย แม้ว่าเขาจะมีความสามารถและพรสวรรค์ทางทหาร แต่เขาก็จะไม่มีวันได้เป็นที่รักของเหล่าแม่ทัพนายกอง”

เมื่อได้ยินคำพูดที่เข้มงวดและจริงจังของไช่ไช่ ในที่สุดโจวเหว่ยชิงก็ตระหนักถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ได้ทันที ดูเหมือนว่าเขากำลังโดนตีแทนคนอื่นอยู่นี่หว่า! หากมองข้ามข่าวลือเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่เป็นไปได้ของพวกเขา นี่ก็เป็นไปได้ว่าไช่ไช่และหมิงหยูมีมุมมองเกี่ยวกับการบังคับบัญชาทางทหารแตกต่างกันมาก แม้ว่าในใจของโจวเหว่ยชิงลึกๆ จะเห็นด้วยกับวิธีคิดของหมิงหยูมากกว่า แต่เขาก็ตระหนักถึงเหตุผลบางอย่างในคำพูดของไช่ไช่ได้ เช่นเดียวกับการถกเถียงกันว่าการลงมือทำในสิ่งที่สมควรทำกับการเอาชนะใจผู้คนด้วยความเมตตานั้นใครถูกต้องกว่าใคร เรื่องพวกนี้ไม่สามารถโต้เถียงกันด้วยคำตอบง่ายๆ ด้วยซ้ำ

“ท่านผู้อำนวยการ ให้ข้าพูดอะไรหน่อยได้ไหม?” โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างอดไม่ได้

ไช่ไช่กลับมามีรอบยิ้มเหมือนก่อนหน้านี้อีกครั้ง แม้ว่าจะยังมีความเย็นชาแฝงอยู่ในดวงตาของเธอก็ตาม

โจวเหว่ยชิงยิ้มอย่างขมขื่นและกล่าวว่า “ท่านผู้อำนวยการ ข้าขอพูดตามตรง ความจริงในวันนั้นข้าเขียนอะไรไร้สาระไปจริงๆ นั่นแหละ ข้าไม่เคยเข้ารับการฝึกทหารอย่างเป็นทางการมาก่อนเลยในชีวิต นับประสาอะไรกับการเข้าเรียนในโรงเรียนเตรียมทหาร”

“ใครจะรู้ว่าข้าดันบังเอิญตอบแบบเดียวกับที่แม่ทัพหมิงหยูคิดเอาไว้ ดังนั้นข้าจึงมาที่นี่เพื่อเรียนรู้อย่างไรล่ะ! ข้าไม่ใช่คนที่ยึดติดกับสิ่งใด อีกทั้งข้าก็ไม่ได้จะต้องไปบัญชาการรบในเร็วๆ นี้ด้วย ดังนั้นการที่ท่านบอกว่าสุดท้ายข้าจะลงเอยเหมือนแม่ทัพหมิงหยูจึงเป็นการด่วนสรุปเกินไป ท่านไม่ต้องกังวล ข้ายังมีเวลาอีก 4 ปีในการศึกษาเรียนรู้ นั่นไม่ใช่จุดประสงค์ของโรงเรียนที่นี่หรอกหรือ? เพื่อให้ข้าเรียนรู้ถึงวิธีการที่เป็นไปได้ทั้งหมดในการแก้ไขปัญหาต่างๆ แม้กระทั่งการแก้ไขสถานการณ์เช่นนี้โดยไม่ต้องมีการนองเลือด? ข้าบอกได้แค่ว่าท่านคิดมากเกินไป ไม่มีใครกลายเป็นตัวแทนของอีกคนได้แบบเป๊ะๆ หรอก อีกทั้งข้าก็ไม่ใช่หมิงหยูคนที่ 2 ข้าขอพูดอย่างตรงไปตรงมาเลยนะขอรับ ข้าไม่ได้อยากเป็นเขาด้วยซ้ำ เขาไม่มีค่าพอให้ข้าไล่ตามเช่นนั้นหรอก”

ในขณะที่เขาพูดเช่นนั้น นิสัยอันธพาลแต่ดั้งเดิมของโจวเหว่ยชิงก็ถูกเปิดเผยออกมาอีกครั้ง เขารู้สึกโมโหมากจนพูดไม่ออกทีเดียว ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงวัน เวลาอาหารกลางวันเชียวนะ! แต่เขากลับถูกเรียกตัวมาที่นี่เพื่อให้อีกฝ่ายดุด่า! ทั้งหมดนี่เพื่ออะไรกันแน่?!

เมื่อได้ยินคำพูดของโจวเหว่ยชิงไช่ไช่ก็หัวเราะออกมาเสียงดัง ทว่านั่นก็ไม่ได้ทำลายความสง่างามอันสูงส่งของเธอเพราะนั่นกลับเป็นการเพิ่มเสน่ห์ให้อีกฝ่ายดูมีชีวิตชีวามากขึ้นต่างหาก

“อย่างไรเจ้าก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง แล้วเจ้าจะดึงดูดผู้ชายคนอื่นได้อย่างไร?” ไช่ไช่กล่าวอย่างเฉยเมย น้ำเสียงของเธอยังคงสงบนิ่งแม้บนใบหน้าจะมีรอยยิ้มกว้างประดับอยู่ เห็นดังนั้นโจวเหว่ยชิงจึงอดไม่ได้ที่จะจ้องมองอีกฝ่ายตาเขม็ง หากไม่ใช่เพราะเขาเคยพบเห็นสาวงามมามากมาย เขาอาจจะหลงเสน่ห์ภาพที่ตนเห็นก็เป็นได้

“เจ้าไม่ต้องอธิบายอะไรกับข้าหรอก คำพูดของข้าก่อนหน้านี้เป็นเพียงการบอกว่าเจ้าไม่ควรเรียนรู้จากหมิงหยูมากเกินไป ต่อไปเราจะมาพูดถึงเรื่องของเจ้า เรื่องระหว่างพิธีเปิดเมื่อวานนี้ข้าจะไม่ติดใจที่เจ้าต่อยตีกับนักเรียนคนอื่นอีก อย่างไรเจ้าก็เป็นจ้าวมณีสวรรค์ระดับมณี 3 ดวงและยังอายุไม่ถึง 17 ปี ทั้งยังเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลาง สิ่งที่ข้าอยากรู้จริงๆ คือทำไมเจ้าถึงเลือกโรงเรียนทหารแทนที่จะเป็นโรงเรียนเจ้ามณี?”

ดูเหมือนสายตาของไช่ไช่จะเปลี่ยนไปเป็นเฉียบคมขึ้นขณะจ้องมองไปยังใบหน้าของโจวเหว่ยชิงราวกับว่าเธอสามารถมองเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

โจวเหว่ยชิงเอ่ยตอบอย่างทำอะไรไม่ถูก “ข้าไม่ได้เลือก! ครอบครัวของข้าเลือกให้ต่างหาก ด้วยเหตุนั้นข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากนี้การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ บ้างย่อมเป็นเรื่องดีเสมอ ภายภาคหน้าข้าอาจจะต้องเข้าร่วมกับกองทัพ ดังนั้นในตอนนี้ข้าจึงควรเล่าเรียนเกี่ยวกับการทหารไว้บ้าง ยิ่งไปกว่านั้น โรงเรียนของเราก็สอนเกี่ยวกับจ้าวมณีสวรรค์ด้วยไม่ใช่หรือ?”

ไช่ไช่ส่ายหัวเบาๆ และพูดว่า “เจ้ามาที่นี่เพราะบิดาของเจ้าเป็นแม่ทัพใหญ่ของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ ในฐานะลูกชายของเขาและจ้าวมณีสวรรค์ เจ้าอาจจะต้องขึ้นไปแทนที่เขาในอนาคต บางทีโรงเรียนนี้อาจไม่เหมาะกับเจ้าจริงๆ ก็เป็นได้ แม้ว่าบิดาของเจ้าจะเป็นหนึ่งในไม่กี่คนบนโลกที่ข้าชื่นชม แต่ข้าก็ยังต้องบอกเจ้าเรื่องหนึ่ง”

โจวเหว่ยชิงตกตะลึงในใจ “ท่านรู้จักท่านพ่อของข้า?!”

ไช่ไช่กล่าวอย่างเฉยชา “เราเคยพบกันครั้งหนึ่งในอดีต อย่างไรก็เป็นเรื่องง่ายสำหรับข้าอยู่แล้วหากจะหาว่าจริงๆเจ้าเป็นใคร อย่างที่เจ้ารู้ อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์เป็นพันธมิตรกับอาณาจักรเฟยหลี่อยู่แล้ว ทว่าในช่วงไม่กี่ปีมานี้เนื่องจากแรงกดดันจากอาณาจักรวั่นโซ่ว เราจึงไม่สามารถให้ความช่วยเหลืออาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ของเจ้าได้มากนัก เกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าคงต้องขออภัยด้วย ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ถ้าไม่ใช่เพราะแม่ทัพโจว บิดาของเจ้ามีพื้นฐานพลังที่แข็งแกร่ง ข้าก็กลัวว่าอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์อาจล่มสลายไปนานแล้ว”

โจวเหว่ยชิงขมวดคิ้วและพูดว่า “ในกรณีนั้นย่อมจำเป็นอย่างยิ่งที่ข้าจะต้องเร่งเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องการทหารและกลับบ้านไปช่วยผ่อนแรงท่านพ่อ”

ไช่ไช่กล่าวว่า “มีวลีหนึ่งที่กล่าวว่า ‘อย่ากัดคำใหญ่เกินกว่าตนจะเคี้ยวไหว’ การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เป็นเรื่องดีเสมอเพราะส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นเรื่องที่ต้องทำเพื่อความอยู่รอดของตนเอง แต่ในกรณีของเจ้าย่อมใช้หลักการนี้ไม่ได้เพราะเจ้ามีพรสวรรค์ที่น่าทึ่งในเรื่องอื่นๆ ด้วย อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ที่อายุน้อยกว่า 17 ปีมีให้เห็นบ่อยแค่ไหนกันเชียว? จากข้อมูลของท่านคณบดีเสี่ยว เจ้ามีความสามารถมากมายในด้านนั้น ไม่ใช่แค่คนที่แทบไม่สามารถเพิ่มระดับขึ้นได้เลย แต่เพิ่มระดับได้อย่างรวดเร็วตั้งแต่อายุยังน้อย เมื่อรวมกับสถานะจ้าวมณีสวรรค์ทักษะธาตุมิติ…หากเจ้าใช้เวลาและความพยายามไปกับการศึกษาเล่าเรียนทางการทหารมากเกินไป นั่นอาจขัดขวางความก้าวหน้าในการเป็นจ้าวมณีสวรรค์หรืออาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ได้ เจ้าเข้าใจที่ข้าพูดหรือไม่?”

เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ ไช่ไช่ก็หยุดไปชั่วขณะก่อนจะพูดต่อด้วยกิริยาที่ดูสง่างาม “ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าเป็นลูกชายคนเดียวของแม่ทัพโจว ข้าจะพยายามทุกวิถีทางเพื่อชักชวนผู้มีความสามารถเช่นเจ้ามาเข้าร่วมอาณาจักรเฟยหลี่ของเราให้ได้ น่าเสียดายที่เรื่องนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ พูดตามตรงว่าสำหรับอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ของเจ้า อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ที่โดดเด่นนั้นมีความหมายและสำคัญมากกว่าแม่ทัพนายกองคนอื่นๆ มาก ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะเข้าใจว่าข้าหมายถึงอะไร นอกจากนี้บิดาของเจ้ายังคงอยู่ในวัยที่แข็งแรงดี เขาไม่ควรเรียกร้องให้เจ้ารีบไปแทนที่เขาในอีกยี่สิบสามสิบปีข้างหน้าหรอก หากเจ้าเต็มใจยอมรับ ข้าสามารถเขียนจดหมายแนะนำตัวเจ้าไปที่โรงเรียนเจ้ามณีและให้เจ้าย้ายไปเรียนที่นั่นได้ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะมีความเชี่ยวชาญด้านการฝึกฝนจ้าวมณีสวรรค์มากกว่าที่นี่เท่านั้น พวกเขายังมีหลักสูตรเฉพาะสำหรับอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ อาจารย์ที่รับผิดชอบหลักสูตรยังเป็นปรมาจารย์ศาสตรามณียุทธ์อีกด้วย”

ดวงตาของโจวเหว่ยชิงไหวระริก เขาไม่ค่อยแน่ใจว่าการกระทำของไช่ไช่หมายถึงอะไรกันแน่ ด้วยสถานะของเขาในฐานะผู้อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ การปล่อยเขาไว้ที่นี่ย่อมทำให้เธอดีใจมากกว่าไม่ใช่หรือ? ทำไมเธอดูเหมือนกับพยายามจะขับไสไล่ส่งเขาออกไปให้ได้?

ไช่ไช่มองไปที่เขาและยิ้มออกมา “ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ ข้าบอกเจ้าตามตรงก็ได้  แน่นอน เจ้าคิดถูก ข้าไม่ต้องการให้เจ้าอยู่ในโรงเรียนแห่งนี้ต่อไป เหตุผลง่ายๆ ก็คือข้าไม่ต้องการให้เจ้าสำเร็จการศึกษาแล้วชักจูงนักเรียนสามัญชนทั้งหมดไปที่อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์กับเจ้า”

ทันทีที่ไช่ไช่พูดคำเหล่านั้นออกมา โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกหนาวสั่นลงไปถึงกระดูกสันหลัง หัวใจของเขาพลันหนักอึ้ง เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าการกระทำทั้งหมดของตนจะถูกอีกฝ่ายอ่านออกได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าก่อนที่เธอจะเรียกเขามาที่นี่ ผู้อำนวยการคนนี้ก็ได้ตรวจสอบการกระทำทั้งหมดของเขาอย่างละเอียดตั้งแต่วินาทีที่เขาเข้ามาในโรงเรียนแล้ว

เป็นอีกคนที่เฉลียวฉลาดจนน่ากลัว บางทีในแง่ของพลัง ไช่ไช่อาจเทียบไม่ได้กับหมิงอู๋ แต่ทว่าเธอกลับน่ากลัวกว่าหมิงอู๋มาก เธอสามารถกดดันเขาได้ด้วยคำพูดง่ายๆ เพียงไม่กี่คำ ราวกับทุกอย่างอยู่ในกำมือของเธอแล้ว โจวเหว่ยไม่อาจปฏิเสธอีกฝ่ายได้เลย อีกทั้งเธอยังไม่ให้โอกาสเขาคิดรับมือด้วย

โจวเหว่ยชิงสูดหายใจเข้าลึกเพื่อระงับความกลัวและความเดือดดาลภายในใจ สายตาของเขาเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นทันที และนั่นก็แตกต่างจากท่าทีเรียบง่ายตามปกติของเขามากทีเดียว

เขาเพิ่งจะก้าวเข้ามาในสถาบันแห่งนี้ได้ 2 วันและแทบจะไม่ได้แสดงให้เห็นว่าตัวเองสูงส่งกว่าคนทั่วไปด้วยซ้ำ ทว่าเขากลับต้องพบปัญหามากมายเสียแล้ว นี่ยังไม่ได้พูดถึงปัญหาจากนักเรียนคนอื่นๆ เลยด้วยซ้ำ เพียงแค่ปัญหาจากนิกายปีศาจสวรรค์และจากผู้อำนวยการโรงเรียนก็บั่นทอนขีดจำกัดความอดทนของเขาไปมากมายแล้ว อย่าลืมว่าตอนนี้ โจวเหว่ยชิงไม่ใช่เด็กที่ยังไม่ได้ปลุกมณีสวรรค์เมื่อหลายปีก่อน ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาได้ซึมซับและรับอิทธิพลมาจากไข่มุกรัตติกาลที่เขากลืนเข้าไปอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่เขาได้รับผลประโยชน์มากมายจากมัน บุคลิกนิสัยของเขาก็ได้รับผลกระทบเช่นกันจากมันเช่นกัน ตอนนี้เขาเป็นคนประเภทที่ยิ่งอยู่ภายใต้แรงกดดันมากเท่าไหร่ เขาก็สามารถปลดปล่อยอารมณ์ออกไปได้รุนแรงมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นภายใต้การคุกคามเช่นนี้ โจวเหว่ยชิงจึงไม่ต้องการที่จะรั้งตัวตนของเขาเอาไว้อีกต่อไป

“ผู้อำนวยการไช่ไช่ ให้ข้าแสดงบางอย่างให้ท่านดู” โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างใจเย็น เมื่อเขาพูดเช่นนั้น เขาก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งจากสร้อยมิติของเขาส่งให้ไช่ไช่

ไช่ไช่ชะงักไปเล็กน้อย เดิมทีเธอคิดว่าตนควบคุมทุกอย่างเอาไว้ในมือแล้ว ในมุมมองของเธอ โจวเหว่ยชิงอาจจะต้องยอมจากไปหรือไม่ก็ยอมถอยและประนีประนอมกับเธอ เธอไม่คาดคิดว่าเขาจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้

ไช่ไช่หยิบกระดาษมาจากโจวเหว่ยชิง เมื่อเธอกวาดตามองกระดาษแผ่นนั้น  ร่างที่เคยนิ่งสงบของเธอก็สั่นไหวอย่างรุนแรง ดวงตาของเธอเผยให้เห็นแววตกใจ

โจวเหว่ยชิงลุกขึ้นยืน เท้ามือของเขากับโต๊ะและมองลงไปยังร่างของไช่ไช่ “ท่านผู้อำนวยการไช่ไช่ แบบร่างนี้…ด้วยความชาญฉลาดของท่าน ข้าแน่ใจว่าท่านสามารถบอกได้ว่ามันคืออะไร”

ไช่ไช่พยายามอย่างหนักที่จะควบคุมสีหน้าตกใจของตนเอง เธอพูดอย่างเยียบเย็นว่า “แบบร่างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้า”

แท้จริงแล้วสิ่งที่โจวเหว่ยชิงส่งต่อให้เธอคือแบบร่างของม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้า แน่นอนว่าเขาไม่ได้เป็นพวกโง่เขลา สิ่งที่เขาส่งต่อให้เธอคือแบบร่างของค้อนคู่ระดับเทพเจ้าในตำนานที่เขาหลอมรวมมันเข้ากับมณีของตนได้แล้ว ดังนั้นแม้ว่าไช่ไช่จะพยายามขโมยมันไป เขาก็ไม่กลัว นอกจากนี้เขาค่อนข้างมั่นใจว่าเธอจะไม่ทำเช่นนั้นและไม่กล้าทำเช่นนั้นแน่นอน

โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “อันที่จริงท่านพูดถูก มันคือแบบร่างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้า เอาล่ะ…ตอนนี้ท่านยังคิดว่าข้าต้องการให้อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับปรมาจารย์มาสั่งสอนอีกหรือไม่?”

……………………………