ตอนที่ 172 การตกลงซื้อขายที่เฮงซวย

ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม

“สมบูรณ์แบบเหลือเกิน!”

ศาสตราจารย์หยางอุทาน กอดหุ่นจักรกลบนพื้นแน่น

ราวกับกอดหญิงงามอย่างไรอย่างนั้น ใบหน้าเปี่ยมสุขและเคลิบเคลิ้ม

อันหลินกับซูเฉี่ยนอวิ๋นที่อยู่ข้างๆ แสดงอาการงงงัน ศาสตราจารย์หยางผู้สุขุมลุ่มลึกในคราแรกหายไปไหนแล้ว ทำไมแลดูเหมือนคนวิปริตเลยล่ะ

หลังจากที่กอดหุ่นจักรกลตัวนั้นไว้เนิ่นนานแล้ว ศาตราจารย์หยางก็เริ่มได้สติ เงยหน้าขึ้นมองอันหลิน พูดอย่างตื่นเต้นว่า “สหายอันหลิน หุ่นยนต์ที่ยอดเยี่ยมปานนี้ เจ้าได้มาได้อย่างไร”

อันหลินเกาหัวเล็กน้อย พูดอย่างลำบากใจว่า “เรื่องนี้ข้าไม่บอกได้หรือไม่”

ศาสตราจารย์ได้ฟังก็พยักหน้า ไม่ซักไซ้ประเด็นนี้ต่ออีกเลย

สิ่งประดิษฐ์ที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ ผู้ที่ประดิษฐ์ของสิ่งนี้ขึ้นมา เทคโนโลยีที่ยึดกุม ต้องบรรลุระดับเกินจินตนาการแน่นอน ความจริงในใจเขามีข้อสันนิษฐานประการหนึ่งแล้ว

“รู้สึกว่าหุ่นยนต์ของเจ้าจะไม่มีแหล่งพลังงานนะ” ศาสตราจารย์หยางพูดขณะที่มองวัตถุทรงกลมที่อยู่ใจกลางของกันดั้ม

อันหลินพยักหน้า พูดเสียงตื่นเต้นว่า “ใช่แล้วขอรับ จุดศูนย์กลางของหุ่นยนต์เป็นตันร้อยสัตว์ ทำให้พลังเทคโนโลยีและพลังแห่งสายเลือดหลอมรวมกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่จะสร้างแหล่งพลังงานศูนย์กลางอย่างไรนั้น ข้าเองก็จนปัญญา”

ในข้อมูลที่เขาได้มาจากโบราณสถาน ไม่มีความรู้เกี่ยวกับการสร้างแหล่งพลังงานของหุ่นยนต์ ฉะนั้นแม้มีหุ่นจักรกลตัวนี้ ก็ใช้การไม่ได้

และเพราะเหตุนี้เอง เขาจึงตัดสินใจหยิบของออกมาต่อหน้าศาสตราจารย์หยาง ลองดูว่ายอดนักวิทยาศาสตร์ที่เคยศึกษาเรื่องนี้จะมีหนทางแก้ไขหรือไม่

ศาสตราจารย์หยางดันแว่นที่สะท้อนแสงเล็กน้อย พูดด้วยสายตาที่กระเหี้ยนกระหือรือว่า “จุดสำคัญของการสร้างแหล่งพลังงานคือ การดูดซึมและเปลี่ยนถ่ายพลังงาน รวมถึงการสร้างเครือข่ายที่เชื่อมต่อกับจิตใจของเจ้านาย…เจ้ามาหาข้านับว่ามาถูกที่แล้ว ในแดนจิ่วโจวอันกว้างใหญ่แห่งนี้ เกรงว่าคงจะมีเพียงข้าที่ช่วยสร้างแหล่งพลังงานที่ได้มาตรฐานให้เจ้าได้”

“จริงหรือ เช่นนั้นข้าควรจะจ่ายค่าตอบแทนอย่างไร!” อันหลินดีใจเมื่อได้ยิน จึงพูดเหมือนกระดี่ได้น้ำ

เขารู้ว่าแหล่งพลังงานของหุ่นจักรกลไม่ใช่เรื่องธรรมดาทั่วไป การประดิษฐ์จำต้องทุ่มเทมหาศาล เขาเตรียมใจไว้แล้ว

ศาสตราจารย์หยางชูนิ้วขึ้นมาสามนิ้ว

อันหลินลังเลไม่แน่ใจ “สามแสนหินวิญญาณหรือ”

ศาสตราจารย์หยางส่ายหน้า ยิ้มบางๆ “ไม่คิดเงิน ข้าเพียงต้องการให้เจ้าทิ้งหุ่นยนต์ไว้ให้ข้าศึกษาเป็นเวลาสามวัน พอพ้นสามวัน ข้าจะคืนหุ่นยนต์พร้อมกับแหล่งพลังงานให้เจ้า!”

อันหลินกะพริบตาปริบๆ “สิ่งที่ท่านต้องการคือเทคโนโลยี?”

“ไม่โง่นี่นา…” ศาสตราจารย์หยางยิ้มละมุนแล้วพูดต่อว่า “ใช่แล้ว แม้ข้าจะมีการวิจัยศึกษาสิ่งประดิษฐ์จักรกลที่ลึกซึ้งมากแล้ว แต่ก็เพิ่งเคยเห็นหุ่นยนต์ที่สมบูรณ์แบบนี้เช่นนี้ ข้าหวังว่าจะได้ความรู้ใหม่จากการศึกษาภายในสามวันนี้”

“ก็ได้ แต่ท่านต้องประดิษฐ์แหล่งพลังงานให้ข้าสองอัน” อันหลินพยักหน้า ยื่นข้อเสนอเพิ่มอีกหนึ่งข้อ

อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็ไม่มีอะไรเสียหายสำหรับเขา แถมยังประหยัดเงินก้อนใหญ่ ความจริงแล้วก็นับว่าไม่เลวสำหรับเขาเลย

ศาสตราจารย์หยางชะงักไป “ทำไมกัน เจ้าจะเอาอีกอันไปไว้ใช้สำรองหรือ”

อันหลินส่ายหน้า “ไม่ใช่ เพราะข้ามีหุ่นยนต์แบบนี้สองตัว แต่เมื่อท่านพูดเช่นนี้ ข้าขอแหล่งพลังงานสี่อันก็แล้วกัน กันไว้ดีกว่าแก้”

ศาสตราจารย์หยางได้ฟังก็แทบจะกระอักเลือด “เจ้าคิดว่าการสร้างแหล่งพลังงานไม่ใช้เงินหรือ พูดราคาออกไปเจ้าอาจจะตกใจตายได้เลยนะ! ให้แค่สองอัน ห้ามต่อรองแล้ว!”

อันหลินกับศาสตราจารย์หยางจึงตกลงกันตามนี้

เขาทิ้งเลือดส่วนหนึ่งไว้ที่ห้องวิจัย เพื่อเป็นวัสดุในการทำเครือข่ายจิตใจเชื่อมแหล่งพลังงาน จากนั้นก็เดินออกไปพร้อมกับซูเฉี่ยนอวิ๋นอย่างพออกพอใจ เที่ยวเล่นต่อไป

“สมกับเป็นยอดนักวิทยาศาสตร์ สุดยอดจริงๆ สร้างได้แม้กระทั่งแหล่งพลังงาน” อันหลินอารมณ์ดี เดินเตร่พลางเอ่ยชมไปด้วย

ซูเฉี่ยนอวิ๋นยิ้มบางๆ “สหายอันหลินก็สุดยอดมากเช่นกัน ถึงได้มีหุ่นยนต์ที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ ท่าทางลืมตัวของศาสตราจารย์หยาง ข้าเพิ่งเคยเห็นครั้งแรก”

ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองหรือเปล่า อันหลินคิดว่าซูเฉี่ยนอวิ๋นพูดเยอะขึ้นกว่าเมื่อก่อน ซ้ำยังใส่ใจขึ้นมากโข ดูสิ ชื่นชมเขายังมีระดับขนาดนี้!

ทั้งคู่เดินเที่ยวรอบๆ นอกจากไม่ได้เข้าไปในเขตหวงห้ามของราชวงศ์บางส่วน สถานที่ที่น่าสนใจอื่นๆ ก็ไปมาแทบจะทั้งหมดแล้ว

ยามรัตติกาล อันหลินและพวกต้าไป๋ก็ได้กินอาหารเลิศรสของราชวังชิงมู่อย่างอิ่มหนำสำราญ

อาหารอันโอชะในวังไม่ใช่แค่เพียงรูปรสกลิ่นสีดีเลิศเท่านั้น แต่ยังมีของวิเศษของป่าถูกเติมลงไปไม่น้อย ทั้งอร่อยและเป็นการบำรุงร่างกาย เพิ่มพลังยุทธ์โดยไม่รู้ตัว

อันหลินจึงชื่นชมไม่ขาดปาก สวาปามจนพุงป่องออกมา

ต้าไป๋เป็นสุนัขตัวจิ๋วมาตลอดทั้งวัน เมื่อเห็นอาหารเลิศรสเต็มโต๊ะ ก็กลับร่างเป็นสุนัขตัวใหญ่อีกครั้ง ไม่มีจุดประสงค์อื่นใด เพียงแค่อยากกินให้ได้มากขึ้นเท่านั้น

หนึ่งวันที่เต็มไปด้วยความสุขก็ได้ผ่านไปด้วยประการละฉะนี้

วันต่อมา อันหลินกับซูเฉี่ยนอวิ๋นก็กลับมาที่ห้องวิจัยของศาสตราจารย์หยางอีกครั้ง

อันหลินเห็นกันดั้มของตัวเองถูกศาสตราจารย์หยางชำแหละออกเป็นชิ้นๆ ฉับพลันตกตะลึง

“ศาสตราจารย์หยาง ท่านทำอะไรน่ะ!” อันหลินลนลานแล้ว ราวกับเห็นของรักของหวงของตนถูกเด็กน้อยกระแทกจนแหลกอย่างไรอย่างนั้น

ศาสตราจารย์หยางช้อนตาขึ้นเล็กน้อยแล้วพูดว่า “นี่มันเห็นอยู่ทนโท่ไม่ใช่หรือ ข้ากำลังศึกษาอยู่อย่างไรเล่า”

อันหลินเบิกตามองชิ้นส่วนอะไหล่นับร้อยนับพันชิ้นที่กองเต็มพื้น สูดลมหายใจเข้าลึก “ท่านแน่ใจนะว่าจะกลับสู่สภาพเดิมได้”

ศาสตราจารย์หยางยิ้มอ่อนโยน พูดเสียงหนักแน่นว่า “ไม่ต้องห่วง ข้าเป็นมืออาชีพ!”

อันหลินทนมองต่อไปไม่ได้แล้ว จึงลากซูเฉี่ยนอวิ๋นออกไปข้างนอก ทนดูลูกรักของตัวเองถูกแกะออกเป็นชิ้นส่วน เจ็บปวดใจและไม่สบายใจเอาเสียเลย!

ตอนนี้ทำได้เพียงภาวนาให้ศาสตราจารย์หยางแห่งวงการบำเพ็ญเซียนท่านนี้ ช่วยมีความรับผิดชอบหน่อย อย่าเป็นเหมือนศาสตราจารย์บางคนในประเทศ

เมื่อเขาเดินออกมาแล้ว จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงอ่อนหวานดังขึ้นข้างหู “เจ้า…มือ…”

อันหลินกะพริบตา เมื่อเห็นว่าใบหน้างามหยาดเยิ้มของหญิงตรงหน้าแดงก่ำ และรู้สึกได้ว่ามือของตนกำลังกุมมือเล็กที่อ่อนนุ่มปวกเปียกราวกับไร้กระดูก ก็ตกใจจนรีบปล่อยมือเป็นพัลวัน “อา ขอโทษนะ หุนหันชั่วขณะน่ะ…”

“ไม่…ไม่เป็นไร” ซูเฉี่ยนอวิ๋นส่ายหน้าเล็กน้อย เมื่อสงบสติอารมณ์แล้วก็พูดเสียงเบาว่า “พี่ฉางเอ๋อบอกว่า จับมือกับชายอื่นไม่ตั้งท้อง จูบจึงจะท้อง”

อันหลินชะงักอยู่กับที่ ในใจเหมือนมีฝูงสัตว์นับหมื่นวิ่งห้อผ่านไป

จูบจึงจะท้องงั้นเหรอ

พี่ฉางเอ๋อคนนี้สอนน้องซูเฉี่ยนอวิ๋นแบบนี้มันดีจริงๆ เหรอ!

แต่ว่านะ เขาไม่กล้าพูดเรื่องความรู้ทางสรีรวิทยาที่ถูกต้องกับซูเฉี่ยนอวิ๋นหรอก

การรนหาที่ตายแบบนี้ อาจถูกพี่ฉางเอ๋อตบจนตายได้!

ระหว่างทางกลับ อันหลินก็พบกับบุรุษที่แต่งตัวหรูหรา รูปโฉมงดงามยิ่งนักคนหนึ่ง

“พี่รอง ท่านจะไปไหนหรือ” ซูเฉี่ยนอวิ๋นทักทายชายคนนั้นยิ้มๆ

อันหลินนึกขึ้นได้ว่า ซูเฉี่ยนอวิ๋นมีพี่ชายสองคนคือ ซูกู่กับซูซิ่น ดูท่าทางชายคนนี้จะเป็นซูซิ่น พี่รองของนาง

ซูซิ่นมีผิวขาวหยวกงามละเอียด ใบหน้างามสะคราญเป็นอย่างยิ่ง

ตั้งแต่อันหลินได้พบเขา ก็เกิดความรู้สึกตะลึง ใช้คำว่างดงามมานิยามตัวเขา มันช่างเหมาะสมเสียนี่กระไร!

ควรจะพูดว่าสมแล้วที่เป็นพี่น้องกัน กรรมพันธุ์ดีได้ไหม…

ซูซิ่นหันกลับมา เมื่อเห็นผู้มาเยือน ดวงหน้าที่งดงามมีรอยยิ้มรักใคร่เอ็นดูปรากฏให้เห็นทันที “วันนี้ไต้ซือกระบี่เจียงหย่าหนานจะมาถ่ายทอดวิชาความรู้ที่วัง ข้ากำลังจะไป เจ้าสนใจอยากไปด้วยกันไหม”

ซูเฉี่ยนอวิ๋นได้ฟังตาก็เป็นประกาย “ได้เลย ความจริงข้าก็สนใจการฝึกกระบี่มากอยู่เหมือนกัน”

ซูซิ่นพยักหน้า จากนั้นก็เบนสายตามองอันหลิน ถามอย่างสงสัยว่า “สหายท่านนี้คือ…”

ซูเฉี่ยนอวิ๋นตบหน้าผากอย่างมึนงง พูดอย่างรู้สึกผิดว่า “อ้อ เขาเป็นเพื่อนร่วมห้องของข้า ชื่ออันหลิน ท่านนี้เป็นพี่ชายข้า ซูซิ่น”

หลังผ่านการแนะนำของซูเฉี่ยนอวิ๋น อันหลินกับซูซิ่นก็ทักทายกันและกัน จากนั้นทั้งสามก็เดินไปพร้อมกัน

ต่อมา ซูซิ่นมักจดจ้องอันหลินอยู่บ่อยครั้ง มันช่างน่าสงสัยเหลือเกิน

สายตานั้นทำเอาอันหลินอึดอัดเล็กน้อย เขาที่มีประสบการณ์โชกโชน จึงเกิดการคาดเดาไม่ดีบางประการขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

หรือว่า…ซูซิ่นคนนี้จะสนใจเขา