ตอนที่ 173 สุดยอดไต้ซือแห่งกระบี่

ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม

ไต้ซือกระบี่เจียงหย่าหนานเป็นผู้ใด เขาถูกยกย่องเป็นอัจฉริยะกระบี่อันดับหนึ่งแห่งแคว้นจื่อซิง

เขาเป็นเซียนกระบี่แต่กำเนิด ว่ากันว่าตอนที่เขาถือกำเนิด ก็ใช้มือเป็นกระบี่ ฟันสายสะดือที่เชื่อมต่อกับมารดาด้วยตนเอง เขาฝึกควงกระบี่ไม้ตั้งแต่ตอนที่ยังไม่หัดเดินแล้ว

ในวัยสามขวบ เจียงหย่าหนานบรรลุระดับกายแห่งมรรคขั้นสอง กลายเป็นเด็กอัจฉริยะที่มีชื่อเสียงระบือไกล

ที่น่ากลัวกว่านั้นคือ เขาสามารถใช้ศาสตราวุธอย่างกระบี่ ปล่อยแสงกระบี่ที่มีแต่นักพรตกายแห่งมรรคขั้นสี่เท่านั้นที่ทำได้

เดิมทีแล้วบุคคลอัจฉริยะเช่นนี้ควรจะบรรลุระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณก่อนวัยสามสิบ

แต่เขากลับทำมันได้สำเร็จในวัยสามสิบ เพราะเหตุใด นั่นเป็นเพราะเขาศึกษาว่าจะขี่กระบี่เหาะเหินในระดับกายแห่งมรรคได้อย่างไร…

คราแรกมันเป็นเรื่องพันหนึ่งราตรี[1]

การขี่กระบี่เหาะเหินจำต้องใช้พลังปราณที่ละเอียดอ่อนอย่างยิ่งควบคุมจึงจะทำได้ ข้อนี้ ต้องพึ่งพาพลังของรากฐาน

แต่ทว่า เจียงหย่าหนานทำได้แล้ว

เขาขี่กระบี่เหินเวหาได้ในระดับกายแห่งมรรคขั้นสิบได้สำเร็จ!

เขากลายเป็นคนแรกที่ขี่กระบี่เหินเวหาในระดับกายแห่งมรรคของประวัติกาล!

ต่อมาสิ่งที่เขาได้สั่งสมมาก็ค่อยๆ ปรากฏให้เห็น เข้าสู่ระดับแปลงจิตในวัยห้าสิบปี ระดับแปลงจิตขั้นปลายเมื่ออายุสองร้อยปี

ตอนนี้ แม้จะอยู่ในระดับแปลงจิตขั้นปลาย แต่การหยั่งรู้มรรคแห่งกระบี่ กลับลึกล้ำกว้างไกลยิ่งกว่ายอดฝีมือระดับหวนสู่ความว่างเปล่า และแก่นแท้แห่งกระบี่ หยั่งรู้ถึงขั้นที่เกินจะจินตนาการได้

ประสบการณ์ของเขา กลายเป็นตำนานเล่าขานในแคว้นจื่อซิง แม้กระทั่งว่ามีชื่อลือเลื่องไปทั่วแดนจิ่วโจว

บุคคลสุดยอดเช่นนี้นี่แหละ ที่ตอนนี้กำลังถ่ายทอดมรรคแห่งกระบี่ของเขาที่ลานประลองยุทธ์ของวังหลวง

บนลานประลองยุทธ์ ปราชญ์ที่แต่งตัวหรูหราหลายร้อยชีวิตกำลังนั่งอยู่บนเบาะหญ้า

พวกเขาเป็นชาวราชวงศ์ชิงมู่ แม้จะเป็นเพียงญาติห่างๆ ไม่ได้เป็นสายเลือดทางตรงเช่นซูเฉี่ยนอวิ๋น ซูกู่และซูซิ่น แต่ศักดิ์ของพวกเขาก็ถือว่าสูงส่งในแคว้นจื่อซิงอยู่ดี

ยามนี้ พวกเขากำลังตั้งใจฟังการถ่ายทอดวิชาความรู้ของเจียงหย่าหนานอย่างนอบน้อม บางคนถึงขั้นว่านัยน์ตาวาวโรจน์ ประหนึ่งเห็นไอดอลอย่างไรอย่างนั้น ไม่ละสายตาแม้แต่วินาทีเดียว

เจียงหย่าหนานยืนสง่างามอยู่บนลานประลองยุทธ์ ใบหน้าหล่อเหลา องอาจผึ่งผาย เส้นผมขาวโพลนปล่อยสยายด้านหลัง

ผมสีนี้เขาตั้งใจย้อมเอง เพราะเขาคิดว่าเช่นนี้ช่วยให้มาดของเขาดูโดดเด่นยิ่งกว่า

ดูสิ เบื้องล่างมีนักเรียนหลายร้อยชีวิตนั่งอยู่ สายตาร้อนระอุเหล่านั้นก็บ่งบอกทุกอย่างแล้ว!

เจียงหย่าหนานยิ้มบางๆ ถ่ายทอดวิชาต่อไป “พูดเรื่องมรรคแห่งกระบี่เสร็จแล้ว ต่อไปเรามาพูดถึงจิตแห่งกระบี่!”

“มรรคแห่งกระบี่และจิตแห่งกระบี่แตกต่างกันที่ มรรคแห่งกระบี่เป็นมรรควิถีของเซียนกระบี่คนนั้น แต่จิตแห่งกระบี่กลับเป็นความหมายที่แท้จริงของแก่นแท้ มันเป็นนามธรรม สามารถปรากฏให้เห็นประจักษ์ และทำให้อานุภาพเพลงกระบี่ของเราเพิ่มพูนได้อีกด้วย!”

ในตอนนั้นเอง อันหลิน ซูเฉี่ยนอวิ๋นและซูซิ่นก็เดินมาด้วยกัน

การมาเยือนของราชนิกุลผู้สืบสายเลือดโดยตรง ดึงดูดสายตาของผู้คนมากมายในลานประลองยุทธ์อย่างไร้ข้อกังขา

เจียงหย่าหนานก็สังเกตเห็นทั้งสามคนเช่นกัน เขากำลังมองหาคนมาเป็นคู่สาธิต ต้องมีตัวอย่างที่ตรงกันข้าม บัดนี้เมื่อเห็นอันหลินที่แปลกหน้า ความคิดก็ผุดขึ้นในใจ เอ่ยอย่างสบายๆ ว่า “ข้ามีผลึกหินประชันความคิด สามารถใส่ความคิดที่แท้จริงของคนลงไปในผลึกหิน เพื่อทำการประลองในขอบเขตของความคิด เช่นนี้จะสะท้อนให้เห็นถึงมรรคและแก่นแท้ของกระบี่ที่คนคนนั้นรู้ได้อย่างแม่นยำมากกว่า”

“ข้าเห็นว่าสหายท่านนี้งามสง่าเหนือธรรมดา เจ้าช่วยมาประลองกับข้าสักหน่อยดีหรือไม่” เจียงหย่าหนานผายมือเป็นท่าเชื้อเชิญอันหลิน

อันหลินที่ตั้งใจว่าจะมาเป็นผู้ชมเฉยๆ ในคราแรก เห็นอากัปกิริยาของเจียงหย่าหนานก็อดชะงัก ชี้ตัวเองไม่ได้ “ข้าหรือ”

ใบหน้าของเจียงหย่าหนานมีรอยยิ้มอบอุ่นดุจสายลมฤดูวสันต์ “ใช่แล้ว เจ้านั่นแหละ ไม่ต้องห่วง ต่อให้ความคิดถูกความคิดในผลึกหินทำลาย มันจะไม่ส่งผลอันตรายต่อเจ้าของร่างกาย แถมข้ายังให้คำแนะนำที่เหมาะสมกับเจ้าได้ตามความรู้ที่เจ้ามีด้วย”

เมื่อได้ยินคำพูดของเจียงหย่าหนาน เหล่านักเรียนของราชวงศ์ต่างก็จ้องอันหลินด้วยสายตาอิจฉา ได้รับคำแนะนำด้านมรรคและแก่นแท้ของกระบี่จากเจียงหย่าหนานเชียวนะ นี่มันเป็นโอกาสที่หายากเหลือเกิน!

ณ เหตุการณ์ในตอนนี้ ไม่อนุญาตให้อันหลินปฏิเสธ เขาทำได้แค่ฝืนเดินมายืนข้างกายเจียงหย่าหนาน

เจียงหย่าหนานมองอันหลินด้วยแววตาอ่อนโยน การประลองและแนะนำความคิดที่แท้จริง เลือกชายหนุ่มคนตรงหน้าคนนี้เหมาะสมที่สุดแล้ว

อันหลินใกล้ชิดกับซูเฉี่ยนอวิ๋นปานนี้ คิดว่าน่าจะสนิทสนมกันมาก และมีภูมิหลังไม่ธรรมดา

หากเชิญชวนซูเฉี่ยนอวิ๋นหรือซูซิ่นขึ้นมาโดยตรง จะดูโจ่งแจ้งเกินไป แต่การเชื้อเชิญอันหลินขึ้นมาแนะนำนั้น สามารถสร้างบุญคุณอันใหญ่หลวงแก่ราชวงศ์ ภายใต้สถานการณ์ที่ประชาชีจับจ้อง สุดยอดไปเลย!

เจียงหย่าหนานพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ชอบใจกับตัวเลือกของตัวเอง

“ไม่ทราบว่าสหายชื่อแซ่อะไร” เจียงหย่าหนานเอ่ยถาม

“ข้าชื่ออันหลิน” อันหลินตอบอย่างตื่นตระหนก

ตลอดทางที่เดินมา เขาได้ฟังซูเฉี่ยนอวิ๋นแนะนำประวัติอันรุ่งโรจน์ของชายคนตรงหน้านี้แล้ว

ลำพังแค่วีรกรรมที่สามารถขี่กระบี่เหินเวหาได้ตั้งแต่อยู่ในระดับกายแห่งมรรคของเจียงหย่าหนาน ก็ทำให้เขายอมศิโรราบแล้ว

ประลองความคิดกับคนที่สุดยอดแบบนี้ จะให้เขานิ่งเฉยได้อย่างไร

เจียงหย่าหนานหยิบผลึกหินสีขาวที่มีขนาดเท่ากับจอฉายภาพยนตร์ออกจากแหวนมิติ กล่าวแนะนำว่า “นี่แหละคือผลึกหินประชันความคิด ขอเพียงสองมือสัมผัสผลึกหิน ใส่ความคิดลงไป มันก็จะเข้าไปในผลึกหิน ถึงตอนนั้นความคิดของทั้งคู่จะประชันมรรคและแก่นแท้ของกระบี่ภายในผลึกหิน และฉายให้เห็นบนผลึกหิน!”

เมื่อเขาแนะนำไปแล้ว ลูกศิษย์ราชวงศ์ชิงมู่ที่อยู่ด้านล่างต่างก็อุทานกันไม่ขาดสาย หลายคนถึงขั้นว่าอยากลอง อยากไปสัมผัสด้วยตัวเอง

เขาพอใจกับปฏิกิริยาของมวลชนยิ่งนัก

ต้องรู้ว่าผลึกหินประชันความคิดเป็นอาวุธวิเศษขั้นสูง เป็นอาวุธวิเศษที่เขาพึงพอใจที่สุด หากไม่มีมัน มาตรฐานในการถ่ายทอดวิชาของเขาคงจะลดลงหลายระดับเลย

“เช่นนั้นเรามาเริ่มกันเถอะ” เจียงหย่าหนานพูดกับอันหลินอย่างเป็นมิตร

“ลูบผลึกหินแบบนี้ จากนั้นถ่ายทอดความคิดของตัวเองให้ผลึกหินหรือ” อันหลินพูดอย่างไม่ค่อยแน่ใจ

“ใช่แล้ว ประชันกันในผลึกหิน เทียบเท่ากับการต่อสู้ทางความคิดอย่างหนึ่ง ไม่มีอันตราย” เจียงหย่าหนานเห็นสีหน้าหวั่นวิตกของอันหลิน ก็อดปลอบใจด้วยความอบอุ่นอีกคราไม่ได้

สายลมโชยพัดผมขาวอันพลิ้วไหวของเจียงหย่าหนาน ทำให้เขาแลดูหล่อเหลาเกินมนุษย์ ราวกับเป็นเซียนกระบี่ไร้เทียมทานที่มีจิตใจงดงามและโดดเด่นยิ่งนัก

ฉากนี้ทำให้นักเรียนรอบข้างตะลึงงันทันที อุทานในใจว่า ไยโลกหล้าถึงได้มีบุรุษที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้

อันหลินวางมือลงบนผลึกหิน เขารู้สึกเหมือนโลกหมุนขึ้นมาชั่วขณะ สติก็ค่อยๆ เข้าสู่ความมืดมิด

เมื่อเขาได้สติอีกครั้ง เขาพบว่าตัวเองอยู่ภายในมิติที่ขาวโพลนแห่งหนึ่ง ตรงข้ามเขามีเจียงหย่าหนานที่ยืนตระหง่าน สง่าผ่าเผย

เจียงหย่าหนานสะพายกระบี่ไว้ด้านหลัง ท่าทางงดงามองอาจ พูดด้วยเสียงไพเราะว่า “ที่นี่ ไม่แบ่งแยกระดับพลังยุทธ์ มีเพียงความแตกต่างทางระดับของแก่นแท้ ที่นี่ ข้าเคยเอาชนะนักพรตหล่อเลี้ยงวิญญาณมานับไม่ถ้วน เซียนกระบี่แปลงจิตยี่สิบแปดคน ยอดฝีมือหวนสู่ความว่างเปล่าสามคน ไม่เคยแพ้พ่าย!”

ร่างของเจียงหย่าหนานและอันหลินปรากฏให้เห็นบนผลึกหินประชันความคิดแล้ว

วาจาของเจียงหย่าหนาน ทำให้เหล่านักเรียนเบื้องล่างจิตใจฮึกเหิม แววตาแต่ละคนร้อนระอุ

สมกับเป็นอัจฉริยะแห่งมรรคกระบี่อันดับหนึ่งของแคว้นจื่อซิง คำพูดแบบนี้ช่างอหังการนัก!

แม้แต่ซูเฉี่ยนอวิ๋นกับซูซิ่นเองก็ใจจดใจจ่อ มองการประชันบนหน้าจอด้วยความคาดหวัง

พวกเขาต่างก็พุ่งความสนใจไปที่เจียงหย่าหนาน รอคอยว่ามรรคแห่งกระบี่ของเขาจะเป็นอย่างไร

ส่วนอันหลิน…ไม่มีใครคิดว่าเขาจะชนะ

เขาเป็นเพียงคู่สาธิตในการแสดงจิตแห่งกระบี่ของเจียงหย่าหนานเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงไม่เป็นที่สนใจของคนอื่น

“เช่นนั้นลำดับต่อไป เรามาเริ่มกันเถอะ!” เจียงหย่าหนานชักกระบี่ออกมา พูดอย่างนิ่งเฉย

ไม่รู้ว่าลมพัดมาจากแห่งหนใด พัดผมขาวโพลนอันพลิ้วไหวของเขา แสงสว่างดุจสปอตไลท์สาดส่องลงมาจากท้องฟ้า ปกคลุมตัวเขาไว้ ทำให้เขาเป็นเหมือนเทพสงครามผู้ไร้พ่ายยืนตระหง่านกลางผืนพสุธา

เมื่ออันหลินเห็นฉากที่เต็มไปด้วยเทคนิคพิเศษ หัวใจก็บีบรัด รู้สึกกดดันปานภูเขากดทับ

เขาชักกระบี่ออกจากด้านหลังช้าๆ พร้อมทั้งเอ่ยอย่างเชื่องช้าว่า “ได้ เริ่มกันเลย!”

…………..

[1] พันหนึ่งราตรี แปลว่า เรื่องที่เป็นไปไม่ได้