บทที่ 194
องค์ชายหงุดหงิด
แล้วเฉิงรุ่ยเหยียนก็ได้คิ้วขมวดและกล่าวอย่างหลงตัวเอง “เฮ้อ มีสาวคนไหนกำลังคิดถึงเรารึเปล่าน้า หรือความการที่เราหล่อมากเกินไปมันจะเป็นความผิดพลาดกันนะ?”
ณ จวนมหาเสนาบดี เจียงหวายเย่ก็ได้รอให้ หลินซีเหยียนตัดสินใจ
“เอาไว้ถามองค์ชายจงเรื่องนี้ก็แล้วกัน!” หลินซีเหยียนนั้นไม่อาจที่จะตัดสินใจได้ในทันที อย่างไรเสียผู้ป่วยก็คือจงซู่เฟิง เขามีสิทธิ์ที่จะเป็นคนเลือกหมอของตัวเอง
หลังจากที่เจียงหวายเย่ได้ยินเช่นนี้แล้ว เขาก็ได้รู้สึกหงุดหงิดกับจงซู่เฟิงมากขึ้นเรื่อยๆ
แล้วทั้งสองคนก็ได้กลับไปที่เรือนเชียนเหยียน แต่แล้วทั้งคู่ก็ได้ทราบจากจิ่งชุนว่าองค์ชายจงนั้นได้ย้ายไปที่เรือนชิงซงแล้ว หลินซีเหยียนก็ได้ยักคิ้วขึ้นมาและสงสัยว่าทำไมจงซู่เฟิงถึงหนีไปไกลเช่นนั้น
เมื่อเจียงหวายเย่ได้ยินเช่นนี้ เขาก็รู้สึกยินดีขึ้นมาอย่างมาก แม้แต่ความไม่พอใจเมื่อสักครู่นี้ของเขาก็ได้หายไปทันที
หลินซีเหยียนจึงได้ไปเอาข้าวของของนางแล้วเตรียมไปที่เรือนชิงซง แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็หยุดแล้วกล่าว “องค์ชายไม่ต้องตามมานะ”
ไม่ให้ตามไปงั้นเหรอ? จะเป็นไปได้อย่างไร? ถ้าเกิดเขาไม่ไปด้วยก็จะกลายเป็นว่าเสี่ยวเอ๋อก็จะอยู่กับจงซู่เฟิงสองต่อสองน่ะสิ? เขาจะยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นได้อย่างไร?
แต่แทนที่จะพูดอะไร เขากลับยิ้มให้หลินซีเหยียนแล้วรีบฉกเอากล่องยาในมือของนางมาถือแทน
หลินซีเหยียนก็ได้ส่ายหัวของนางแล้วปล่อยให้เขาตามมาด้วย อย่างไรเสียก็แค่ปิดบังตัวตนของเขาก็พอ
ณ เรือนชิงซง หลังจากที่จงซู่เฟิงได้ย้ายมาเรียบร้อย ก็ได้มีแขกมาหาเขาแล้ว
จงซู่เฟิงก็ได้ต้อนรับอย่างสุภาพมากและสั่งให้อวิ๋นชูชงน้ำชามาให้กาน้ำชานึง แล้วจากนั้นก็ได้ยิ้มให้หลินเสวี่ยเหยียนอย่างอบอุ่น “ไม่ทราบว่าที่คุณหนูสี่นั้นมาหาข้านั้นมีธุระอันใดหรือ?”
จงซู่เฟิงนั้นเป็นถึงองค์ชายของรัฐจง กรรมพันธุ์ของเขาจึงดีมาก ดังนั้นจึงเป็นปกติที่เขาจะมีใบหน้าดุจหยกและแลดูอบอุ่น โดยเพราะรอยยิ้มพิมพ์ใจของเขาในเวลานี้ ทำให้ หลินเสวี่ยเหยียนถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง
เมื่อรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายนั้นจับจ้องมาที่เขาอย่างเร่าร้อนแล้ว จงซู่เฟิงก็ได้คิ้วขมวดอย่างเงียบๆ และสายตาของเขาก็ได้หมางเมินมากขึ้นเรื่อยๆ
แล้วสาวใช้ที่อยู่ด้านหลังของหลินเสวี่ยเหยียนนั้น เมื่อเห็นว่าเจ้านายของตัวเองเป็นเช่นนั้นแล้วก็ได้รีบกระแอมเพื่อเตือนสตินางทันที
หลังจากที่ตั้งสติได้ หลินเสวี่ยเหยียนก็ได้หน้าแดงขึ้นมา แล้วดวงตาของนางก็ได้ส่องแสงออกมา “ข้าเผลอเหม่อลอยไปเสียได้ ขอองค์ชายอย่าได้ถือสาข้าเลยนะเจ้าคะ”
จงซู่เฟิงยิ้มและไม่ได้พูดอะไรออกมา หลังจากนั้น หลินเสวี่ยเหยียนก็ได้พยายามอย่างมากในการเปิดหัวข้อสนทนา แต่จงซู่เฟิงก็ได้แต่ยิ้มตอบและไม่ตอบอะไรกลับมา
ถ้าหากเป็นคนที่ฉลาดพอก็จะเข้าใจได้ว่าจงซู่เฟิงนั้นไม่ชอบ แต่หลินเสวี่ยเหยียนที่สายตาพร่ามัวเพราะความงามของเขาก็ได้พยายามที่จะเข้าไปหาจงซู่เฟิง
ในขณะที่นางกำลังจะเอื้อมมือเข้าไปคว้าเสื้อผ้าของ จงซู่เฟิงอยู่นั้นเอง หลินซีเหยียนก็ได้เดินเข้ามาในห้องภายใต้การนำทางของเหลยถิง
จงซู่เฟิงก็ได้รีบเดินไปหาหลินซีเหยียนด้วยสีหน้าอายๆ และหวังให้นางช่วยกันหลินเสวี่ยเหยียน แต่เขาก็ดูถูกความไร้ยางอายของหลินเสวี่ยวเหยียนเกินไป
หลินเสวี่ยเหยียนก็ได้จ้องไปที่หลินซีเหยียนด้วยสีหน้าที่ไม่ยินดีต้อนรับ ราวกับว่านางเป็นเจ้าของเรือนแห่งนี้
เมื่อเห็นว่าหลินซีเหยียนทำเป็นตาบอดใส่นางแล้ว หลินเสวี่ยเหยียนก็ได้ถาม “เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
แล้วสีหน้าของจงซู่เฟิงก็ได้ซีดลงมาทันที เพราะจากการที่เขาบาดเจ็บเมื่อวันก่อนทำให้ลมปราณของเขาอ่อนแอ และด้วยความโมโหหลินเสวี่ยเหยียนทำให้เขาได้กลิ่นของสนิมในปากของเขา
“แม่นางหลินนั้นเป็นหมอที่ทำหน้าที่รักษาข้า ข้าขอให้คุณหนูสี่ช่วยระวังท่าทีที่มีต่อนางด้วย”
องค์ชายจงที่ปกติมักจะมีใบหน้าที่อ่อนโยนราวกับหยกนั้นก็ได้มีสีแดงขึ้นมาด้วยความโกรธ เมื่อเขาเห็นหลินเสวี่ยเหยียนที่กำลังจะเปิดปากราวกับอยากจะพูดอะไรบางอย่าง เขาก็ได้พูดขัดนางอย่างเย็นชา “แม่นางหลินจะฝังเข็มให้กับข้าแล้ว เจ้าช่วยส่งคุณหนูสี่กลับไปที!”
อวิ๋นชูก็เห็นว่าหลินเสวี่ยเหยียนนั้นมีอาการไม่พอใจแต่นางก็ได้รับคำสั่งจากเจ้านายของนาง ไม่ว่าหลินเสวี่ยเหยียนนั้นจะต้องการหรือไม่ ก็ต้องลากพานางออกไปจากเรือน
หลินเสวี่ยเหยียนไม่ยอมและคิดจะกลับเข้ามา แต่ประตูของเรือนชิงซงก็ได้ปิดลงอย่างไม่ปรานีใส่หน้านาง
เมื่อจับไปที่จมูกแดงๆของนาง ดวงตาของ หลินเสวี่ยเหยียนก็ได้เต็มไปด้วยความมุ่งร้าย “องค์ชายจงที่ท่านทำกับข้าเช่นนี้ เป็นเพราะท่านยังไม่รู้จักดีว่าหลินซีเหยียนนั้นเป็นผู้หญิงแบบไหน”
เมื่อตัดสินใจได้ หลินเสวี่ยเหยียนก็ได้จากไปด้วยสีหน้าแปลกๆบนใบหน้าของนาง แล้วสาวใช้ที่อยู่ด้านหลังของนางที่เห็นเข้าก็ได้หดหัวลงไปทันที
นางนั้นไม่สามารถบอกได้ว่ารู้สึกเช่นไร แต่นางรู้อย่างเดียวว่าคุณหนูของนางนั้นเปลี่ยนไปมากในช่วงนี้ นิสัยของนางนั้นได้โหดร้ายและรุนแรงมากกว่าแต่ก่อน เมื่อใดที่นางอารมณ์เสีย นางก็มักจะดุด่าและทำร้ายพวกนาง
เรือนชิงซงที่ไร้ซึ่งคนน่ารำคาญและไม่พึงประสงค์แล้วนั้น แต่กลับมีบรรยากาศที่อึดอัดเกิดขึ้นมาแทน
จงซู่เฟิงนั้นรู้สึกไม่ค่อยสู้ดีนัก เขานั้นได้ย้ายมาที่ เรือนชิงซงก่อนที่เขาจะได้ปรึกษากับแม่นางหลินเสียอีก และไม่รู้ว่าแม่นางหลินนั้นจะคิดมากกับเรื่องนี้หรือเปล่า
ซึ่งหลินซีเหยียนก็ได้ไม่ได้คิดมากอะไรแล้วเดินเข้าไปหาจงซู่เฟิงในห้อง จงซู่เฟิงนั้นมีนิสัยที่ขี้อายอยู่แล้ว เขาจึงได้ไม่ชอบที่จะแก้ผ้าและถูกมองโดยคนนอก แม้แต่ข้ารับใช้คนสนิทอย่างเหลยถิงก็ยังต้องรออยู่ข้างนอกห้องและไม่ให้เข้ามาข้างใน
หลังจากที่ปิดประตู จงซู่เฟิงก็ได้ที่จะมองไปที่ เจียงหวายเย่อย่างช่วยไม่ได้ และกล่าว “แม่นางหลิน ท่านช่วยเอาที่กั้นมาบังชั่วคราวได้ไหม?”
หลินซีเหยียนเองก็รู้ดีว่าเขานั้นเป็นคนที่ขี้อาย จึงได้หันหน้าไปหาเจียงหวายเย่ เจียงหวายเย่ก็ได้บิดริมฝีปากอย่างไม่พอใจ แต่เขาก็ยอมหันหัวออกไปแล้วถอยออกไปก้าวหนึ่งพร้อมกัน
จงซู่เฟิงที่เห็นว่าชายคนนั้นดูสนิทชิดเชื้อกับแม่นางหลินมาก แม้ว่าเขาอยากที่จะถามแต่ก็กลัวว่าเจียงหวายเย่จะรู้ถึงตัวตนของเขาเมื่อคืนนั้น
ใช้เวลาฝังเข็มไปเช่นเดิม หลินซีเหยียนดึงเอาเข็มเงินออกมาจากแผ่นหลังของจงซู่เฟิงตามขั้นตอน แล้วก็โยนขวดยารักษาแผลให้จงซู่เฟิงอย่างครุ่นคิด
จงซู่เฟิงก็ได้หรี่สายตาลง หรือว่านี่จะหมายถึงอะไร?
“ท่านไม่ต้องกังวลหรอก ข้าจะไม่สนเรื่องอื่นใดนอกเหนือไปจากหน้าที่ของข้า
เสียงของนางนั้นเบาบางดุจขนนก ราวกับคนรักที่กำลังซุบซิบกัน แต่จงซู่เฟิงนั้นกลับไม่ยินดีเลย แม่นางหลินนั้นดูแลเขาเพียงเพราะว่าเป็นหน้าที่เท่านั้น และนางนั้นไม่ได้สนใจเรื่องของเขาเลยแม้แต่น้อย
นิ้วที่เรียวบางของจงซู่เฟิงก็ได้กำหมัดแน่น และออกแรงมือกำแน่นมากเสียจนบริเวณข้อต่อเริ่มเห็นเป็นสีขาว ไม่ว่าใครจะพูดอะไรเขาก็ไม่รู้สึกตัวเลย จนกระทั่งเสียงปิดประตูอย่างนุ่มนวลดังขึ้นมา เขาก็ได้ถอนหายใจและพูดอย่างแผ่วเบา “ข้าไม่ต้องการแค่ให้เจ้าดูแลข้าเพราะเป็นหน้าที่อย่างเดียว ถึงแม้จะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้เลย แต่ข้าก็ยังอยากที่จะทำอย่างสุดความสามารถ”
เขาพูดออกมาด้วยความมุ่งมั่นที่แรงกล้ามาก แต่ทว่าคำที่พูดออกไปนี้ไม่มีใครที่ได้ยินเลย
ทันทีที่หลินซีเหยียนออกมาจากห้อง ก็พบคนโผล่ตรงหน้านางกะทันหัน โดยไม่ทันตั้งตัวหลินซีเหยียนนั้นก็ได้ขว้างเข็มเงินออกมาจากในมือ เข็มเงินนั้นมีพิษอยู่ด้วย แม้ว่าจะไม่ถึงชีวิตแต่ก็ทำให้คนอ่อนแรงได้
“เสี่ยวเหยียนเอ๋อ!”
ด้วยเสียงที่สัมผัสได้ถึงความเจ็บใจและเสียใจในเสียงที่คุ้นเคยดี แล้วเจียงหวายเย่ก็ได้ทรุดลงไปกองกับพื้นด้วยแขนขาที่อ่อนแรง
เมื่อได้ยินเสียงนั้น ไม่ว่าหลินซีเหยียนจะโง่ขนาดไหน แต่นางเองก็รู้ดีว่าเจียงหวายเย่นั้นเปราะบางขนาดไหน นางจึงได้รีบยื่นมือของนางไปรับเจียงหวายเย่เอาไว้ก่อนที่เขาจะล้มลงไปกองที่พื้นในเสี้ยววินาที
ร่างกายที่อ่อนแรงของเจียงหวายเย่นั้นได้ทำให้เขารู้สึกได้ถึงปัญหาใหญ่ แต่พอคิดถึงตัวเองในเวลานี้ที่อยู่ในอ้อมแขนที่ราวกับฝันนี้แล้วทำให้เขาเผยยิ้มออกมา
ในเวลานี้ทั้งสองคนใกล้ชิดกันมาก ถ้าหากว่าตกอยู่ในสายตาของผู้คนที่ไม่แล้วล่ะก็ ก็คงจะคิดว่าทั้งคู่นั้นกำลังอี๋อ๋อกันอย่างแน่นอน
แต่จริงๆแล้วเมื่อรู้สึกได้ถึงน้ำหนักของเขาแล้ว หลินซีเหยียนก็ได้คิ้วขมวดขึ้นมา เมื่อคิดว่านางนั้นจะลากพาเจียงหวายเย่กลับไปอย่างไรดี ยาถอนพิษเองก็อยู่ที่เรือนเชียนเหยียนด้วย ไม่ได้อยู่กับนางในขณะนี้