ตอนที่ 185 เดินทางไปเขตตอนใต้พร้อมกัน แม่นางพริ้มเพราปิ้งปลาอันหอมกรุ่น (2)

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

ตอนที่ 185 เดินทางไปเขตตอนใต้พร้อมกัน แม่นางพริ้มเพราปิ้งปลาอันหอมกรุ่น (2)

สีหน้าของฮ่องเต้ยังคงแย้มพระสรวล ทว่ารอยแย้มพระสรวลไม่ได้แสดงออกมาผ่านใต้พระเนตร

ผู้ที่ไวต่อความรู้สึกดั่งเซียวหลิน ก็สังเกตเห็นถึงความไม่พอพระทัยของฮ่องเต้ แค่ว่าคำพูดที่ทูลออกไปแล้ว ก็ไม่มีทางดึงกลับมาอีก อีกอย่างเซียวหลินแสดงความโปรดปรานที่ตนมีต่อหันหมิงชั่นก็ไม่ได้หวังสูงว่าฮ่องเต้จะทรงงเห็นชอบกับเรื่องนี้

พอนึกย้อนดูแล้ว เขาไม่อยากให้ฮ่องเต้ทรงประทานบุพเพสันนิวาสที่ตนเองไม่โปรดปราน

ฮ่องเต้ก็ถอดพระเนตรไปยังเซียวหลินอีกครั้ง แล้วทรงไม่ตรัสถึงงานสมรสพระราชทานอีก แค่ตรัสขึ้น “เจิ้นยังมีธุระ เจ้ากลับไปก่อนเถอะ”

“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขออำลาพ่ะย่ะค่ะ” เซียวหลินคุกเข่าน้อมก้มกราบอีกครั้ง จากนั้นก็ถอยออกไปด้วยความเคารพ

ในห้องทรงพระอักษรจึงเต็มไปความว่างเปล่า ไหวเอินก็ไม่อยู่ ส่วนขันทีและนางกำนัลคนอื่นๆ ที่เข้าเวรก็ถูกฮ่องเต้ไล่ออกไปข้างนอกจนหมด หลังจากที่เซียวหลินออกไป ก็เหลือแค่เพียงฮ่องเต้เพียงผู้เดียว

ในพระหัตถ์ของฮ่องเต้ทรงถือข้อสอบคัดเลือกขุนนางราชสำนักไว้ แล้วมองไปสักพัก จากนั้นก็แสยะพระสรวลอย่างเย็นชา แล้วยกมือวางข้อสอบอยู่บนโต๊ะทรงพระอักษรแรงๆ พร้อมกับตรัสด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ช่างเป็นความบ้าบิ่นของวัยเยาว์จริงๆ!”

วันที่สอง ผลการสอบคัดเลือกขุนนางราชสำนักก็ประกาศออกมา

รายชื่อของผู้ที่ได้อันดับหนึ่ง สองและสาม กลับไม่มีนามของเซียวหลินอยู่ในนั้น

ในราชสำนักอันใหญ่ เซียวหลินและปัญญาชนอื่นอีกเก้าคนต่างก็ยืนตามลำดับ ใบหน้าดูนิ่งเฉยโดยไม่แสดงอาการใดๆ เขารู้ดีแก่ใจ บทสนทนานั้นที่ตนเองได้เสวนากับฮ่องเต้ในเมื่อวาน เรื่องที่ตนต้องการหลุดพ้นจากห่วงของงานสมรส ก็ต้องเอาตำแหน่งผลสอบอันดับสองนี้ไปเข้าแลก

ดังนั้นสำหรับผู้ที่เข้าร่วมการสอบคัดเลือกในครั้งนี้ หลังจากที่ผ่านการสอบอันดุเดือด และรู้ผลสรุปที่ซึ่งเป็นรายชื่อสามปัญญาชนที่ได้คะแนนสูงสุดแล้ว การสอบครั้งนี้จึงจบลง

ทีแรกเซียวหลินที่ได้เป็นบัณฑิตจิ้นชื่อที่สอบได้คะแนนระดับสูงสุดในการสอบราชสำนัก กลับกลายเป็นกลุ่มบัณฑิตที่สอบได้ระดับรองลงมาจากทั่นฮวา จึงตกเป็นลำดับเดียวกันกับเหยาเหยียนอี้

เมื่อพูดถึงเช่นนี้แล้ว ระหว่างลูกศิษย์มากมายเหล่านี้ ปกติก็มักจะเทียบเทียมและแข่งขันกันอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงช่วงเวลานี้

ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าข่าวคราวนี้มาจากแห่งใด บอกว่าท่านเซียวโหวมีหวังที่จะได้กลายเป็นบัณฑิตจิ้นชื่อที่ได้คะแนนสูงสุดในรุ่นนี้ ดังนั้นข้อสอบของเขาจึงถูกเฟิงจงเยี่ยนำไปอ่านโดยเฉพาะ ตระกูลเฟิงและตระกูลเซียวมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แม้กระทั่งอัครเสนาบดียังหาคนหลายๆ คนที่มีความรู้และความสามารถเฉพาะด้านนี้มาปรึกษาหารือกัน

ผลสรุปในการปรึกษาหารือกัน ทุกคนต่างก็คิดว่าบทความของท่านเซียวโหวนั้นมีพลานุภาพ กลยุทธ์ที่ใช้กับสถานการณ์ปัจจุบันก็เฉียบแหลมยิ่งนัก เป็นบทความอันยอดเยี่ยมหาจะพบเจอ ถึงแม้อาจจะไม่กล่าวเกินจริงว่าจะได้เป็นผู้ที่ได้คะแนนสูงสุด แต่อย่างน้อยก็ต้องได้คะแนนเป็นอันดับสาม ด้วยเหตุนี้ทุกคนก็คาดคะเนกันว่า ต่อให้มีบทความของสองคนที่เทียบเท่ากับเขา ทว่าอย่างน้อยก็ยังมีความสัมพันธ์ของอาจารย์เซียวที่เคยเป็นอาจารย์ของฮ่องเต้อยู่

หากเห็นแก่หน้าของอาจารย์เซียว ฮ่องเต้เองก็คงไม่มีทางให้สีหน้าที่ไม่ดีหรอก ดังนั้น คนเหล่านี้ที่มีอัครเสนาบดีที่เป็นผู้นำต่างก็รู้สึกว่าครั้งนี้เซียวหลินต้องสำเร็จในการสอบแน่นอน แม้กระทั่งพวกเขายังคิดไว้ว่าเรื่องนี้ควรเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมยินดี

ทว่าพอถึงวันนี้ สามอันดับบัณฑิตจิ้นชื่อที่ได้คะแนนสูงสุดก็ได้ประกาศออกมา ไม่มีนามของท่านเซียวโหวอยู่ในนั้น ขุนนางมากมายในราชสำนักต่างก็นิ่งงันไปทันที

หลังจากที่เลิกจากราชสำนัก อัครเสนาบดีก็ทำสีหน้าที่ดูไม่ค่อยดีนัก และเหล่าขุนนางไม่กี่คนที่ปกติมีความสัมพันธ์ที่ดีกับอัครเสนาบดีต่างก็มองสีหน้าของเขา แล้วก็แอบวิพากษ์วิจารณ์ แม้กระทั่งเฟิงเซ่าผิงที่เป็นมหาบัณฑิตก็ยังรู้สึกอึดอัดใจ ภายในใจกำลังคาดเดาว่า เพราะเหตุใดฮ่องเต้ถึงต้องลบรายชื่อของท่านเซียวโหวด้วย

เพียงแต่นัยน์ตาของฮ่องเต้ ก็สามารถทำให้เหล่าขุนนางต่างก็จินตนาการและคาดเดากันอย่างมาก ขณะเดียวกัน ขุนนางเหล่านี้ต่างก็เสวนาถึงคลื่นใต้น้ำที่จะเกิดขึ้นในเมืองหลวงอวิ๋นไม่เบาเลย

แม้กระทั่งบางคนอาจจะเริ่มเสวนากันเป็นการส่วนตัวว่าตระกูลเซียวไม่ได้รับการโปรดปรานจากฮ่องเต้แล้ว อนาคตของจวนจิ่งไห่โหวช่างน่ากังวลยิ่งนัก

และยังมีบางคนบอกว่าเซียวหลินมีนิสัยที่ไม่ชอบอยู่ภายใต้การควบคุม ทีแรกก็ไม่มีความรู้ความสามารถอะไรอยู่แล้ว เขาสามารถเข้าร่วมการสอบคัดเลือกขุนนางรอบทั้งหมดก็เพราะฮ่องเต้ทรงเห็นแก่หน้าของตระกูลเซียว

และยังมีบางส่วนบอกว่าเซียวหลินต้องกระทำผิดในการใดหรือกล่าวผิดถ้อยคำอะไรไป ทำให้ฮ่องเต้ทรงโมโห ชีวิตวันข้างหน้าคงไม่ได้อยู่อย่างสุขสบาย

แม้กระทั่งยังมีคนป่าวประกาศออกมา ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานที่จะมอบองค์หญิงสี่ให้กับท่านเซียวโหว ท่านเซียวโหวกลับปฏิเสธงานสมรสพระราชทานต่อหน้าพระพักตร์ทันที ทำให้ฮ่องเต้ทรงเกรี้ยวโกรธ แล้วเกือบจะสังหารท่านจิ้งไห่

เช่นนี้ คำร่ำลือหลากหลายรูปแบบที่ไม่เหมือนกัน จึงกลายเป็นหัวข้อยอดนิยมที่ต้องเสวนาหลังจากที่เหล่าสามัญชนทานอาหารกันเสร็จ

ตามกฎระเบียบแล้ว กลุ่มบัณฑิตที่สอบได้ระดับรองลงมาจากทั่นฮวาสามารถเข้าไปรับตำแหน่งที่สำนักราชบัณฑิตหลวงเพื่อรับเบี้ยเลี้ยง ทว่าบุคคลที่เหมือนดั่งเซียวหลินและเหยาเหยียนอี้ที่ได้สืบทอดตำแหน่งโหวคงไม่มีทางไปสำนักราชบัณฑิตหลวงเพื่อเข้ารับตำแหน่งงานเขียน แล้วทำตัวป่าวประโยชน์ไปวันๆ เพื่อรอคอยที่จะได้มีโอกาสไต่ปีนขึ้นที่สูงอยู่แล้ว

หลายวันหลังจากนั้น จึงมีพระราชโองการของฮ่องเต้ที่แต่งตั้งเซียวหลินเป็นขุนนางควบคุมตลาดเกลือในเจียงหนิง และสามารถเข้ารับตำแหน่งภายในวันเดียวกัน เซียวหลินจึงรู้สึกปลื้มปริ่มอยู่แล้ว คิดว่าขุนนางควบคุมตลาดเกลือก็ถือเป็นงานที่ได้ปฏิบัติการจริง ต่อให้เป็นบัณฑิตจิ้นซื่อที่ได้อันดับหนึ่งก็ยังไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่เช่นนี้ ดังนั้นว่าไปแล้วเขาก็ควรจะรู้สึกพอใจแล้ว

ทว่าในสายตาของผู้อื่น เรื่องนี้กลับกลายเป็นความหมายอีกประการหนึ่ง เซียวหลินเป็นหลายชายของอาจารย์ของจักรพรรดิ บิดาของเขายังสูญสิ้นชีวิตเพื่อชาติ ว่าไปแล้วก็ควรได้รับพระมหากรุณาธิคุณอยู่แล้ว จึงควรแก่การเก็บเขาไว้ข้างกายฮ่องเต้ และควรค่าแก่การได้รับหน้าที่ที่สำคัญ

อีกทั้ง บทความของเขา แม้กระทั่งเฟิงเซ่าผิงและคนอื่นๆ ก็ยังเห็นว่ายอดเยี่ยม แล้วยังรู้สึกว่าต่อให้ฮ่องเต้ทรงไม่ให้เขาได้อันดับแรก อย่างน้อยก็ต้องได้อันดับสาม ทว่ากลับนึกไม่ถึง ทั้งสามอันดับต้นๆ กลับไม่มีอันดับใดที่เป็นของเขา!

ถึงแม้จะได้รับตำแหน่งที่สำคัญอย่างยิ่ง ทว่าผู้ที่มีตำแหน่งเป็นโหวอยู่แล้ว จะไปสนใจการงานที่เป็นขุนนางควบคุมตลาดเกลือที่เจียงหนิงที่เป็นตำแหน่งที่เริ่มจากขุนนางขั้นที่ห้าด้วยหรือ

คนอื่นคิดว่าเซียวหลินไม่ได้สนใจและให้ความสำคัญ สิ่งที่เขาต้องการก็ไม่ใช่ว่าต้องการอยู่ข้างกายจักรพรรดิในเมืองหลวงอวิ๋น ดังนั้น หลังจากที่ได้รับพระราชโองการนี้ก็รู้สึกดีใจยิ่งนัก จึงจัดโต๊ะอาหารเฉลิมฉลองในเรือนจุ้ยเซียน แล้วเชิญชวนเหล่าคุณชายจากตระกูลชั้นสูงหลายๆ ท่านในเมืองอวิ๋นอวิ๋นมาร่วมเพลิดเพลินด้วยกัน

หลังจากที่เฉิงอ๋องได้ข่าวของเซียวหลิน ก็หาโอกาสว่างไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ คำพูดที่เฉิงอ๋องทูลฮ่องเต้ ไม่เคยเป็นถ้อยคำที่อ้อมค้อมอยู่แล้ว มีอะไรเขาก็มักจะเอ่ยถามแต่โดยตรง

ฮ่องเต้ทรงขมวดพระขนงขึ้น แล้วตรัสว่า “อย่างไรเขาก็เกิดมาร่ำรวยตั้งแต่เด็ก และเติบโตในดินแดนที่ห่างไกลจากอำนาจและอิทธิพลของจักรพรรดิ อย่างไรก็ต้องบ้าบิ่นบ้างอยู่แล้ว เจิ้นคิดว่าอยากจะปล่อยเขาออกไปฝึกฝนหาประสบการณ์สองปี อย่างไรอวิ๋นเอ๋อร์ยังเล็ก เรื่องงานสมรสก็ไม่ต้องเร่งรีบอยู่แล้ว”

เฉิงอ๋องฟังออกถึงน้ำเสียงของฮ่องเต้ที่ไม่พอพระทัยต่อเซียวหลิน ด้วยเหตุนี้จึงเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “เซียวหลินมีเรื่องใดที่ทำให้เสด็จพี่ไม่พอพระทัยหรือ”

ฮ่องเต้ทรงส่ายพระพักตร์ ไม่ตอบอะไรใดๆ กลับเอ่ยถาม “งานอภิเษกสมรสของจวินจื๋อ (นามทั่วไปของอวิ๋นคุน) เจ้าคิดว่าอย่างไร”

เฉิงอ๋องถอนหายใจ แล้วทูลขึ้น “บุตรคนนี้ชื่นชอบชั่นเอ๋อร์ตั้งแต่เล็ก ทีแรกน้องก็นึกว่าอย่างไรสะใภ้ก็ต้องเลือกชั่นเอ๋อร์แน่นอน ทว่าช่วงนี้พวกเขาสองคนไม่รู้ว่ามีปัญหาอะไรกัน แม้กระทั่งเสด็จพี่สี่ยังตรัสว่าคำพูดตอนเด็กนับเป็นความจริงมิได้ แล้วให้เสด็จน้องเลือกคู่ครองคนอื่นให้กับจวินจื๋อ ทว่านิสัยของจวินจื๋อ…จะสู่ขอชั่นเอ๋อร์ให้ได้ พอเห็นพวกเขาสองคนต่างก็มีอายุไม่น้อยแล้ว หากยังยืดเยื้อต่อไป ไม่รู้จริงๆ ว่าควรทำอย่างไรดี”

ฮ่องเต้ก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วตรัสขึ้น “เสด็จน้องสี่ก็เคยเสวนาเรื่องนี้กับเจิ้น ตามความคิดของเจิ้น การทำอะไรโดยฝืนมักได้ผลลัพธ์ที่ไม่ดี ไม่เช่นนั้นก็ให้จวินจื๋อเลือกคู่ครองคนอื่นเถอะ ประจวบเหมาะกับเวลาที่องค์ชายหลายๆ คนสมควรสร้างครอบครัวแล้ว ผ่านไปอีกไม่กี่วัน อากาศก็เริ่มอบอุ่น เจิ้นจะบอกว่าฮองเฮาว่าให้จัดงานเลี้ยงชมพฤกษาในวังหลวง แล้วให้ฮองเฮาทรงใจจดใจจ่อ แล้วเชิญเสด็จน้องเจ็ดเข้าวังหลวง เพื่อเลือกแม่นางให้กับจวินจื๋อ”

เฉิงอ๋องได้ยินเช่นนี้ แค่น้อมก้มกราบเพื่อสำนึกพระมหากรุณาธิคุณ ภายในใจกลับรู้สึกว่างานชมพฤกษาอะไรก็คงไม่มีประโยชน์อะไรกับงานอภิเษกสมรสของบุตรชายตนเอง ไม่มีใครที่เข้าใจบุตรชายไปกว่าบิดา พอนึกถึงเช่นนี้ เฉิงอ๋องก็อดรู้สึกกลัดกลุ้มไม่ได้

ถ้าเทียบกับเซียวหลิน เหยาเหยียนอี้ก็สุขสมหวังมากกว่า

ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งให้เขาเป็นขุนนางขั้นห้าตำแหน่งรองเจ้ากรมป่าไม้ เหยาเหยียนอี้ได้รับพระราชโองการนี้แล้วก็แอบหัวเราะในใจ หน้าที่ของกรมป่าไม้ก็คือรับผิดชอบดูแลหุบเขาป่าพงไพร ฮ่องเต้ให้ตนเองไปเป็นรองเจ้ากรม ก็เท่ากับว่าต้องการให้ตนไปช่วยน้องสาวจัดหายาสมุนไพร เหยาเหยียนอี้แอบหัวเราะภายในใจ การแกล้งจู่โจมครั้งนี้ไม่รู้ว่าทำให้คนตาบอดไปมากเท่าใดแล้ว