เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง เหยาเยี่ยนอวี่ก็เริ่มเก็บสัมภาระแล้วเตรียมตัวเดินทางไปเขตตอนใต้
ตอนนางจะไป หันหมิงชั่นและซูอวี้เหิงไม่อยากพรากจากกันเป็นเรื่องธรรมดา หลายวันมานี้ที่เก็บข้าวของสัมภาระ พวกนางสองคนแทบจะมาเยือนที่จวนทุกวัน พวกนางมาลอบพูดคุยเป็นสหาย และช่วยกันเก็บข้าวของ พวกนางทั้งสามคนอยู่ด้วยกันทุกวัน แต่ก็ยังมีคำพูดรู้ใจที่เสวนากันไม่จบไม่สิ้น
เหยาเยี่ยนอวี่มาเยือนที่เมืองหลวงเมื่อช่วงเดือนหกปีที่แล้ว มาเยือนครั้งนี้ก็พักอาศัยอยู่ที่นี่เป็นเวลาสิบกว่าเดือนแล้ว ครั้งนี้พอจะจากไป จึงต้องขนข้าวของไม่น้อย
หันหมิงชั่นและซูอวี้เหิงต่างก็รู้อักษร จึงมาแล้วสามารถช่วยเหยาเยี่ยนอวี่จัดการกับตำราและหนังสือจดบันทึกของนาง ส่วนซูหยิง ชุ่ยอวี้ จั๋วอวี้และสาวใช้คนอื่นๆ กลับฟังคำสั่งของชุ่ยเวย จึงช่วยเหยาเยี่ยนอวี่เก็บเสื้อผ้าและเครื่องประดับ อีกทั้งยังมีเครื่องใช้ประจำวันของนาง
เหตุเพราะซูอวี้เหิงเจอหนังสือที่เป็นลายลักษณ์อักษรของเหยาเยี่ยนอวี่โดยบังเอิญ เห็นว่าข้างบนมีตัวอักษรบางอย่างที่ตนเองไม่เคยเห็นมาก่อน สัญลักษณ์บางอย่างยิ่งเหมือนตัวอักษรต่างแดน ด้วยเหตุนี้จึงเอ่ยถามอย่างแปลกใจ “พี่สาว นี่เจ้าเขียนตัวอักษรอะไร”
เหยาเยี่ยนอวี่จึงคลี่ยิ้ม “นี่เป็นตำราที่ข้าจดบันทึก เพื่อทำให้งานง่ายดายยิ่งขึ้น จึงวาดสัญลักษณ์บางอย่างออกมา มีเพียงข้าที่อ่านออก”
“เจ้าช่างอัศจรรย์เกินไปแล้ว ข้าก็นึกว่าเป็นตัวอักษรต่างแดนอะไรเสียอีก”
หันหมิงชั่นคลี่ยิ้ม “จริงหรือ ให้ข้าดูหน่อยซิ” ขณะที่กล่าว จึงขยับเข้ามาใกล้ พออ่านไปสักพักก็คลี่ยิ้ม “นี่มันสัญลักษณ์อะไรกัน เหมือนดั่งไส้เดือนที่เลื้อยไปเลื้อยมา เยี่ยนอวี่ เจ้าคิดได้อย่างไรว่าต้องวาดสัญลักษณ์เยี่ยงนี้”
“นี่ก็เพื่อความว่องไวไง ไม่ได้ยุ่งยากเหมือนดั่งตัวอักษร”
“อ่อ?” หันหมิงชั่นพูดขึ้นอย่างฉับพลัน “ใช่แล้ว ในจวนของข้าเหมือนมีคัมภีร์อะไรเสียอย่างที่เหมือนเช่นนี้ ตัวอักษรข้างในเป็นเยี่ยงนี้ เหมือนกับสัญลักษณ์ที่เจ้าประดิษฐ์เองเลย”
เหยาเยี่ยนอวี่นิ่งงันไปทันที ภายในใจกำลังคิดว่าไม่ใช่หรอกกระมัง หากคนอื่นรู้ว่าตนเองรู้ภาษาต่างแดน ตนจะถูกมองว่าเป็นคนนอกรีตนอกรอยหรือเปล่า
“จริงหรือ” ซูอวี้เหิงขยับเข้าไปใกล้แล้วเอ่ยถาม
“อืม เหมือนยังอยู่ในห้องอักษรของท่านพ่อ ตอนนั้นข้าแค่มองเพียงพริบตาเดียวเท่านั้น เหตุเพราะไม่อ่านไม่รู้ความจึงวางกลับไปที่เดิม”
“อาจจะแค่คล้ายคลึงหรือเปล่า ตัวอักษรที่พี่เหยาเขียนนี้ ต่อให้คิดอย่างไรก็เดาไม่ออกว่าความหมายของสัญลักษณ์เหล่านี้คืออะไร”
เหยาเยี่ยนอวี่คลี่ยิ้ม “พอเถอะ ของเหล่านี้เก็บไว้ที่นี่เถอะ ข้าเหนื่อยแล้ว สั่งให้พวกสาวใช้รินน้ำชา พวกเราพักผ่อนหน่อยเถอะ”
สาวใช้ปั้นซย่าจึงถือถาดเข้ามา แล้วยกถ้วยชาอันหอมกรุ่นหนึ่งถ้วยให้พวกนางแต่ละคน
หันหมิงชั่นรับชามาแล้วพิงอยู่บนดั่งไม้ แล้วมองชาขั้วใหม่ที่มีสีเขียวขจีในถ้วย ด้วยเหตุนี้จึงพูดขึ้น “นี่เป็นชาอะไร สีของใบชาเขียวขวีเช่นนี้ ทำให้คนมองแล้วรู้สึกชื่นชอบจริงๆ”
“นี่เป็นชาเขียวอู๋เหลียน เป็นของฝากจากจื๋อลี่” เหยาเยี่ยนอวี่กล่าวไป ก็มองซูอวี้เหิงไป “เหิงเอ๋อร์น่าจะรู้ นี่เป็นพี่ใหญ่ของนางส่งมาให้โดยเฉพาะ ฮูหยินท่านโหวให้พี่สาว พี่สาวเห็นว่าข้าชื่นชอบ จึงให้ข้า”
ซูอวี้เหิงพยักหน้า “ว่ากันว่าใบชานี้นิยมอย่างมากในจื๋อลี่ ทว่าบางคนไม่ชื่นชอบ ข้าก็รู้สึกว่ามันขมเกินไป”
เหยาเยี่ยนอวี่คลี่ยิ้ม “ฤดูใบไม้ผลินั้นแห้งแล้ง ง่ายต่อการเป็นร้อนใน ดื่มชานี้ดูต่อสุขภาพ ทว่าพี่สาวของข้าตั้งครรภ์ ไม่เหมาะแก่การดื่มพวกนี้ ดังนั้นจึงให้ข้าทั้งหมด”
หันหมิงชั่นได้ยิน จึงพยักหน้า “นี่ก็ใช่ นางกำลังตั้งครรภ์ เรื่องอะไรก็ควรระวังเป็นพิเศษ”
สหายคนสนิทฉันท์พี่น้องทั้งสามคนจิบชาไปด้วย และลอบพูดคุยเล่นไปด้วย เหตุเพราะพูดถึงการงานที่เหยาเหยียนอี้ได้รับมอบหมาย จึงพูดถึงจิ้งไห่โหวด้วย
ซูอวี้เหิงกดเสียงต่ำลง “ได้ข่าวว่าการสอบคัดเลือกขุนนางในรุ่นนี้ ทีแรกจิ้งไห่โหวควรเป็นบัณฑิตที่ได้อันดับหนึ่ง กลับเพราะว่าพูดอะไรผิดไป จึงทำให้ฮ่องเต้ทรงเกรี้ยวโกรธ เลยถูกกดอันดับไปอยู่ท้ายๆ”
เรื่องนี้หันหมิงชั่นก็ได้ยินมารดาพูดถึงอยู่เหมือนกัน แม้ว่าจวนเจิ้นกั๋วกงจะเป็นตระกูลผู้บัญชาการทหาร ทว่าสองพี่น้องหันซังเกอก็เข้ากับเซียวหลินได้เป็นอย่างดี ดังนั้นจึงได้ใส่ใจในเรื่องที่เกี่ยวกับเขา สำหรับเรื่องที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานที่จะประทานงานสมรสให้กับจิ้งไห่โหว หันหมิงชั่นไม่ได้ใส่ใจ นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าตระกูลหันจะไม่ใส่ใจด้วย
องค์หญิงใหญ่หนิงหวาทรงใส่ใจทุกรายละเอียดของบุตรี หันซังเกอก็ชื่นชอบในนิสัยใจคอของเซียวหลิน หลังจากเทศกาลหยวนเซียวก็ได้เชิญเขามาดื่มสุราที่จวนอยู่สองครั้ง จากนั้นก็บังเอิญสังเกตเห็นตรงกลางอกของจิ้งไห่โหวกลับพกเหรียญๆ หนึ่งที่สลักอักษรจ้วงหยวนจี๋ตี้ และยังเป็นเหรียญรูปทรงดอกเหมยที่ถูกสั่งทำโดยพิเศษ ไม่ต้องถามก็เดาออกถึงเรื่องราวภายในใจของเซียวหลิน ด้วยเหตุนี้จึงได้ใส่ใจคนๆ นี้เป็นพิเศษ
หลังจากนั้นเซียวหลินถูกปลดอันดับที่สมควรได้รับ หันซังเกอก็เริ่มสงสัย จึงสั่งคนไปสืบมาโดยเฉพาะ แต่ช่างน่าเสียดาย ตอนที่ฮ่องเต้ทรงเสวนากับเซียวหลินในห้องทรงพระอักษร แม้กระทั่งไหวเอินยังไม่อยู่ข้างกาย ดังนั้นหันซื่อจื่อจึงสืบอะไรไม่พบ
เว่ยจางพอรู้เรื่องนี้อยู่บ้าง ทว่าก็แค่เดาเท่านั้น ไม่แน่ฮ่องเต้ทำเช่นนี้กับเซียวหลินก็อาจจะมีเงื่อนงำอื่นอยู่ก็ได้ ดังนั้นจึงไม่ได้มากความอะไร
กลับเป็นอวิ๋นคุน ตอนที่ลอบพูดคุยกับเหล่าสหายของเขาก็ได้พูดขึ้นโดยบังเอิญ อวิ๋นคุนพูดอย่างผิวเผินว่าเฉิงอ๋องโปรดปรานในจิ้งไห่โหวยิ่งนัก
ตอนนั้นความหมายของอวิ๋นคุนอาจจะเพราะว่าอาจจะบอกเว่ยจางในเรื่องที่เกี่ยวกับแผนการของจวนเฉิงอ๋องที่มีต่ออวิ๋นเหยา ความรู้สึกที่อวิ๋นเหยามีต่อเว่ยจางก็ชัดเจนเช่นนั้น อวิ๋นคุนไม่อยากให้เว่ยจางคิดมากเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ แค่นึกไม่ถึงว่าเรื่องนี้กลับถูกหันซังเกอเก็บไปคิดในใจ
หลังจากองค์หญิงใหญ่หนิงหวาเอ่ยถามหันหมิงชั่นว่ารู้สึกว่าเซียวหลินเป็นคนอย่างไร แน่นอนว่าเป็นเพราะหันซังเกอเคยบอกความในใจของเซียวหลินที่มีต่อหันหมิงชั่น หันหมิงชั่นแค่บอกว่าตนเองเคยเจอกับเขาในคืนเทศกาลหยวนเซียวเพียงครั้งเดียวเท่านั้น จึงไม่ควรวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นไปเรื่อยเปื่อย
แท้จริงแล้วหันหมิงชั่นก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตนเองชื่นชอบในเซียวหลินจากใจจริงหรือไม่
ถึงแม้เซียวหลินจะเป็นปัญญาชนที่เปราะบาง ทว่าก็เกิดมามีเสน่ห์และสง่าผ่าเผย ทว่าวาจาคมเฉียบและท่าทีดูเข้มแข็ง หันหมิงชั่นเองก็เหมาะสมกับบุรุษเช่นนี้ ทว่าภายในใจลึกๆ ก็ยังมีเงาของอวิ๋นคุนอยู่ ความสัมพันธ์สิบกว่าปีนี้คงมิอาจลบล้างด้วยคำพูดเพียงสองสามประโยค ดังนั้นทันทีทันใดจึงมิอาจหมายปองคนอื่น
นางรู้ดีว่าตนเองอยากจะมีงานสมรสที่ชาญฉลาด และมีอนาคตที่สามารถควบคุมได้ ดังนั้นเรื่องนี้จึงปล่อยให้มารดาเป็นคนจัดการ ตนเองแค่ตั้งตารอคอยคำสั่งของบิดา มารดาและพี่ชายอย่างสบายใจก็พอ
พอรู้ถึงความคิดของบุตรี องค์หญิงใหญ่หนิงหวาก็สนใจในเซียวหลินมากขึ้น และกำลังจะหาโอกาสไปทูลฮ่องเต้ให้เก็บเซียวหลินไว้ในเมืองหลวง จากนั้นก็ประทานงานสมรสให้กับเขาและบุตรี นึกไม่ถึงว่าพระราชโองการของฮ่องเต้กลับทรงประกาศออกมาก่อน ทำให้เซียวหลินต้องไปสะสางการงานตลาดเกลือในเจียงหนิง ดังนั้นจึงเก็บเรื่องของบุตรีเอาไว้
เรื่องเหล่านี้หันหมิงชั่นมีคำตอบในใจ ทว่ากลับไม่อยากมากความ เวลานี้ได้ยินเหยาเยี่ยนอวี่และซูอวี้เหิงพูดถึงเซียวหลิน จึงนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา
เหยาเยี่ยนอวี่มองสีหน้าของหันหมิงชั่น แล้วพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “คำพูดนี้อย่าได้พูดขึ้นเรื่อยเปื่อย”
ซูอวี้เหิงรีบพยักหน้าตอบกลับ “ข้ารู้ ข้าก็แค่พูดคุยกับพี่สาวสองคนที่นี่เท่านั้น”
ทั้งสองจึงมองหน้าพลางส่งยิ้มให้กัน จากนั้นก็หันไปมองหันหมิงชั่นที่กำลังเหม่อลอย ซูอวี้เหิงจึงเอ่ยถาม “พี่หัน เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่”
หันหมิงชั่นได้สติกลับมาแล้วยิ้มอ่อน “ไม่ได้คิดอะไร”
“อ่อ! ข้ารู้แล้ว!” ซูอวี้เหิงจึงทำท่าทางที่กวนประสาทอย่างซุกซน “ต้องคิดถึงผู้ที่อยู่ในใจแน่นอน ดูสิ…พี่หันหน้าแดงแล้ว!”
“เหลวไหล! ข้าไม่ใช่เจ้าสักหน่อย!” หันหมิงชั่นกล่าวจบ ก็คลี่ยิ้ม “ว่าไปแล้ว เจ้าก็ถึงปีที่ต้องเข้าพิธีปักปิ่นแล้ว ถึงอายุที่ควรเสวนาถึงงานสมรส? เจ้าหมายปองคุณชายตระกูลใดตั้งนานแล้วใช่หรือไม่ ยังไม่พูดออกมาตามความจริงอีก?”