ตอนที่ 158 วันตรุษจีน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนออกมากล่าวแก้สถานการณ์ให้บรรยากาศชื่นมื่นขึ้น ยิ้มพลางเอ่ยว่า “ทุกคนนั่งลงรับประทานอาหารกันเถอะ! วันนี้เป็นคืนรวมญาติ เก้าเกอเอ๋อร์ ประเดี๋ยวเจ้านำน้องเสาจิ่นของเจ้าไปจุดประทัดสักหน่อย!”

 

 

ทุกๆ ปีที่ผ่านมางานประเภทนี้ล้วนเป็นเฉิงอี้ที่แย่งเอาไปทำ

 

 

โจวเสาจิ่นชำเหลืองมองเฉิงอี้ครั้งหนึ่ง เขาทำหน้าเศร้าสร้อยอย่างที่คิดไว้จริงๆ โจวเสาจิ่นรู้สึกอารมณ์เบิกบานยิ่ง นางยิ้มหวานพลางตอบรับ กระทั่งทุกคนนั่งล้อมวงกันแล้ว นางจึงไปจุดประทัดกับเฉิงเก้า

 

 

แม้บอกให้จุดประทัดด้วยกัน แต่ความจริงคืออู้เอ๋อร์ผู้เป็นบ่าวเด็กของเฉิงเก้าเป็นคนถือด้ามไม้ไผ่ และเฉิงเก้าเป็นคนจุดประทัด ส่วนโจวเสาจิ่นยืนอุดหูหลบอยู่ข้างหลังซื่อเอ๋อร์ที่ใต้ชายคา

 

 

ครั้นเสียงประทัดดังตูมตามขึ้นรอบหนึ่ง กลุ่มควันโขมงก็ฟุ้งตลบไปทั่วลาน

 

 

ไกลออกไปก็มีเสียงประทัดดังสลับกันเป็นระลอกๆ ไม่รู้ว่าเป็นจวนใดที่ได้เริ่มมื้ออาหารในคืนฉลองวันตรุษจีนเล็กกันแล้ว

 

 

โจวเสาจิ่นถึงได้รู้สึกลึกๆ ในใจว่าปีใหม่ใกล้มาถึงแล้วจริงๆ อีกไม่นานนางก็จะได้ต้อนรับรัชศกจื้อเต๋อปีที่สิบเก้าแล้ว

 

 

หวังว่าปีหน้ามู่อี๋เหนียงจะได้แต่งงานกับหลินซื่อเซิ่งอย่างราบรื่น และหวังว่าปีหน้านางจะได้พูดคุยกับท่านน้าฉื่ออย่างราบรื่นด้วยเช่นกัน

 

 

นางมองดูแสงโคมไฟสีแดงที่ส่องสว่างดั่งดวงดาวพร่างพราวอยู่ไกลๆ พลางภาวนาต่อองค์พระโพธิสัตว์อยู่เงียบๆ

 

 

เฉิงเก้ายิ้มน้อยๆ พลางตบไหล่ของนาง แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ไปเถอะ พวกเรากลับไปกันเถอะ! ที่นี่มีแต่ควัน ระวังจะสำลักเอาได้”

 

 

โจวเสาจิ่นคลี่ยิ้มแล้วเดินเข้าเรือนไปพร้อมกับเฉิงเก้า

 

 

เฉิงอี้นั่งอยู่บนเก้าอี้มีเท้าแขนทรงกลมที่รองไว้ด้วยเบาะรองนั่งดิ้นเงินหนานุ่ม ไม่เหลือบมองโจวเสาจิ่นแม้แต่หนเดียวอย่างเย่อหยิ่ง

 

 

โจวเสาจิ่นก็คร้านจะสนใจเขา นั่งลงข้างๆ พี่สาว

 

 

เมื่อสาวใช้เด็กเริ่มยกอาหารจานเย็นขึ้นโต๊ะ เฉิงเหมี่ยนจึงเริ่มให้โอวาท

 

 

เขาอวยพรฮูหยินผู้เฒ่ากวนสองสามประโยคก่อน แล้วจึงกล่าวกับโจวเสาจิ่นสองพี่น้องว่า “เมื่อกลับถึงบ้านแล้วให้ปิดประตูหน้าต่างให้ดี หากเกิดเรื่องอะไรก็ให้ส่งคนมาแจ้งลุงทันที เช้าตรู่ของวันที่สองข้าจะบอกพ่อบ้านให้ไปรับพวกเจ้าสองพี่น้องกลับจวน” พอถึงคราวของเฉิงเก้ากับเฉิงอี้ก็กล่าวว่า “…เริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปให้คร่ำเคร่งกับการอ่านตำราอยู่ในเรือน ทบทวนความรู้ที่ครูบาอาจารย์เคยสั่งสอนไว้ให้ดี เข้าใจก็คือเข้าใจ ไม่เข้าใจก็คือไม่เข้าใจ ท่านป้าของพวกเจ้าจะกลับไปคารวะญาติผู้ใหญ่ที่ผูโข่วในวันที่ห้า วันที่สี่พวกเจ้าสองคนก็ต้องติดตามมารดาของเจ้าไปผูโข่วด้วย ประการแรกให้ไปคารวะท่านลุงของเจ้า ประการที่สองให้ไปโขกศีรษะแก่นายท่านผู้เฒ่าตระกูลเหอสักสองสามที อีกอย่างพวกเจ้าก็ไม่ใช่เด็กๆ กันแล้ว ควรจะติดตามพี่ชายตระกูลเหอออกไปข้างนอกให้มากถึงจะถูก”

 

 

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะทราบเรื่องมาก่อนหรือไม่ เฉิงเก้าถึงได้ขานรับเสียงหนึ่งอย่างสงบนิ่ง เห็นได้ชัดว่าสีหน้าค่อนข้างจริงจัง ทว่าเมื่อเฉิงอี้ได้ยินแล้วดวงตากลับเปล่งประกายระยิบระยับ มองฮูหยินใหญ่เหมี่ยนอย่างกระตือรือร้น

 

 

ตนเองคลอดบุตรเช่นไรออกมาตนเองย่อมรู้ดีที่สุด ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนมองดูสามี เมื่อเห็นว่าท่าทางของสามีดูอ่อนโยน จึงกระซิบบอกเฉิงอี้เป็นนัยว่า “คราวนี้แม่จะพาเจ้าไปด้วย เจ้าต้องเชื่อฟังให้ดี ไม่เช่นนั้นวันหลังเจ้าก็อย่าได้คิดว่าข้าจะพาเจ้าออกไปที่ไหนอีกเลย”

 

 

หลังจากถูกโบยตีแล้วก็ยังมีส่วนแบ่งให้อยู่บ้างอย่างคาดไม่ถึง!

 

 

เฉิงอี้ดีใจอย่างลิงโลด รับปากสัญญาเสียงดัง รู้สึกเริงร่าอย่างห้ามไม่อยู่

 

 

เฉิงเหมี่ยนปรายตามองเฉิงอี้หนหนึ่ง

 

 

เฉิงอี้รีบก้มหน้าหลุบตาลงแล้วนั่งตัวตรงในทันใด

 

 

ความพึงพอใจสายหนึ่งวาบผ่านดวงตาของเฉิงเหมี่ยน เขาหันไปเอ่ยถามฮูหยินผู้เฒ่ากวนอย่างอบอุ่นว่า “ท่านแม่ ท่านมีเรื่องอะไรอยากจะกล่าวสักหน่อยหรือไม่ขอรับ”

 

 

“ไม่มีๆ” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนยิ้มตอบ “ปีนี้ทุกคนล้วนสงบสุขและราบรื่นทุกประการ ปีหน้าก็ขอให้สงบสุขและสมบูรณ์แข็งแรงเช่นเดียวกัน!”

 

 

“น้อมรับคำอวยพรของท่านเจ้าค่ะ!” ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกล่าวยิ้มๆ โจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ อีกสองสามคนต่างก็หัวเราะกันอย่างแช่มชื่น

 

 

สาวใช้เด็กเริ่มยกอาหารจานร้อนขึ้นโต๊ะ

 

 

เฉิงเหมี่ยนรินสุราให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวนด้วยตนเองจอกหนึ่ง แล้วยิ้มพลางกล่าวว่า “นี่เป็นสุราจินหวาของตระกูลอู่ที่ให้คนนำกลับมาจากหังโจวเป็นการเฉพาะขอรับ ท่านลองชิมดูเถิด”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนยิ้มร่าพลางมองบุตรชายรินสุราให้ตนเอง แล้วฉีกยิ้มกล่าวว่า “เจ้าก็รินให้ฮูหยินของเจ้าด้วยสักหนึ่งจอก ปีนี้นางดูแลจัดการงานบ้านในเรือนอย่างขยันขันแข็งเชียว”

 

 

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนหน้าแดงเถือก รีบลุกขึ้นมา และกล่าวไม่หยุดว่า “ท่านทำให้สะใภ้ผู้นี้ซาบซึ้งใจยิ่งนักแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

“ไม่เกินเลยๆ” ขณะที่ฮูหยินผู้เฒ่ากวนตอบอยู่นั้น เฉิงเหมี่ยนก็รินสุราให้ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนจอกหนึ่ง

 

 

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนยังไม่ทันจิบสุราสักคำแต่ท่าทางคล้ายกรึ่มเมาไปเสียแล้ว

 

 

โจวเสาจิ่นกับโจวชูจิ่นต่างปิดปากกลั้นยิ้มอยู่ข้างๆ

 

 

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนจึงเอ่ยขึ้นว่า “พวกเจ้าสองพี่น้องก็ดื่มด้วยสักหน่อย โดยเฉพาะเสาจิ่น โตเป็นสาวเป็นนางแล้ว ต้องค่อยๆ ฝึกดื่มสุราให้เป็นได้แล้ว”

 

 

ในชาติก่อน จวบจนนางออกจากตระกูลเฉิงไปแล้ว ก็ไม่มีผู้ใหญ่ท่านใดที่คิดว่านางดื่มสุราได้เลย

 

 

โจวเสาจิ่นดวงหน้าขึ้นสีแดงเรื่อขณะที่สาวใช้เด็กรินสุราให้ตน

 

 

เฉิงเหมี่ยนยกจอกสุราขึ้น

 

 

นอกจากฮูหยินผู้เฒ่ากวนผู้เดียวแล้ว ทุกคนต่างยิ้มร่าพลางยืนขึ้นมา

 

 

ข้างหน้าเฉิงอี้เป็นน้ำชา เขาต้องยันเก้าอี้ลุกขึ้นถึงสองครั้งถึงจะยืนขึ้นมาได้

 

 

ครั้นจิบสุราคำหนึ่งเรียบร้อยแล้ว มื้ออาหารในค่ำคืนของการฉลองวันตรุษจีนเล็กก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ

 

 

ไม่เหมือนกับที่ผ่านมาที่ห้ามส่งเสียงยามรับประทานอาหารและห้ามพูดคุยยามเข้านอน ทุกคนต่างรับประทานอาหารกันอย่างครึกครื้นกว่าทุกที จนกระทั่งตั้งหม้อไฟใบสุดท้ายขึ้นโต๊ะแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากวนจึงเอ่ยถามฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเกี่ยวกับการไปผูโข่วว่าลืมตระเตรียมของขวัญของผู้ใดหรือไม่ ส่วนเฉิงเหมี่ยนก็เอ่ยถึง ‘ปกิณกคดีฉบับใหม่’ อันเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายไปทั่วแผ่นดินเมื่อไม่นานมานี้กับเฉิงเก้า “เป็นงานประพันธ์ของบัณฑิตหลวงหูโจ๋วหรานผู้ล่วงลับไปแล้ว กล่าวกันว่าองค์ฮ่องเต้ทรงยกย่องสรรเสริญยิ่งนัก ตั้งใจให้เป็นหนึ่งในหัวข้ออรรถาธิบายในการสอบขุนนาง แม้นายท่านผู้เฒ่าตระกูลเหอกับหูโจ๋วหรานเคยพบหน้ากันเพียงครั้งเดียว แต่ก็เป็นสหายร่วมสำนักศึกษากัน เจ้าไปครั้งนี้ ต้องขอคำแนะนำจากนายท่านผู้เฒ่าเหอให้มาก…”

 

 

โจวชูจิ่นเป็นผู้คงแก่เรียน สนใจเรื่องเศรษฐศาสตร์และหัวข้ออรรถาธิบายในการสอบขุนนางยิ่งนัก จึงนั่งฟังอย่างเพลิดเพลิน

 

 

โจวเสาจิ่นไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของนายท่านผู้เฒ่าตระกูลเหอกับบุคคลนามว่าหูโจ๋วหรานผู้นี้ดีหรือไม่ แต่กลับรู้ว่า ในอีกสามปีข้างหน้านายท่านผู้เฒ่าตระกูลเหอจะล้มป่วยจนเสียชีวิตจากไป และด้วยเหตุที่เหอเฟิงผิงอายุมากกว่าเฉิงเก้าหนึ่งปี เพื่อไม่ให้การแต่งงานระหว่างเหอเฟิงผิงกับเฉิงเก้าต้องล่าช้า ครั้นนายท่านผู้เฒ่าล้มป่วยลง ฮูหยินเหอจึงให้เหอเฟิงผิงรีบออกเรือน ส่วนตำรา ‘ปกิณกคดีฉบับใหม่’ ที่หูโจ๋วหรานเป็นผู้ประพันธ์เล่มนี้ได้กลายมาเป็นหนึ่งในอรรถาธิบายของการสอบขุนนางในอีกหกปีต่อมา

 

 

เนื่องจากท่านลุงใหญ่เหมี่ยนเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา นางจึงฉุกคิดได้ว่าควรจะเตือนเลี่ยวเส้าถังผู้เป็นพี่เขยเอาไว้สักหน่อย สามีของเลี่ยวจางอิงผู้เป็นท่านป้าที่หย่าร้างแล้วกลับมาอยู่บ้านเดิมของเลี่ยวเส้าถังผู้นั้นก็เป็นบุรุษจากตระกูลเหอ

 

 

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ท่านลุงเหมี่ยนกำลังสนทนากับพี่ชายเก้าอยู่ จึงไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่จะกล่าวกับพี่สาว หลังจากกลับไปแล้วจะต้องจดจำเรื่องนี้เอาไว้ให้ดี

 

 

ขณะที่โจวเสาจิ่นกำลังใคร่ครวญอยู่นั้น ก็มีคนขยับเข้ามาใกล้ พลางกระซิบถามว่า “เจ้าทราบเรื่องที่ท่านแม่ของข้าจะพาพวกข้าพี่น้องไปผูโข่วด้วยใช่หรือไม่”

 

 

ภายในห้องนี้รวมทั้งหมดแล้วก็มีเพียงไม่กี่คน นางไม่ต้องเงยหน้าขึ้นมาก็รู้แล้วว่าผู้ที่เอ่ยถามนางคือใคร

 

 

โจวเสาจิ่นตอบว่า “อืม” คำหนึ่ง

 

 

เฉิงอี้โกรธจนเกินกว่าจะทานทน กล่าวว่า “เช่นนั้นไฉนเมื่อครู่เจ้าถึงไม่บอกข้าเลยสักคำเล่า หากว่าข้าไม่มาวันนี้ก็คงไม่ได้ไปผูโข่วแล้วกระมัง”

 

 

ปีที่ผ่านมานี้เขาถูกลงโทษกักบริเวณครั้งแล้วครั้งเล่า จนรากใกล้จะงอกอยู่รอมร่อแล้ว

 

 

โจวเสาจิ่นตอบเสียงเบาว่า “ท่านบอกว่าจะไม่เสวนากับข้าตราบจนวันตายมิใช่หรือ ไฉนข้าต้องบอกท่านด้วยเล่า”

 

 

เฉิงอี้หายใจติดขัด

 

 

โจวเสาจิ่นตักน้ำแกงไก่ดื่มช้าๆ อย่างสบายอารมณ์

 

 

ดังนั้นนางจึงไม่เห็นฮูหยินผู้เฒ่ากวนกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนที่นั่งอยู่ตรงหน้าของนางต่างก็กำลังยิ้มและส่งสายตาให้กันครั้งหนึ่งโดยไม่พูดจา

 

 

***

 

 

ณ บ้านบรรพชนของตระกูลโจวบนถนนผิงเฉียว ได้ทำการปัดกวาดเช็ดถูเสร็จแล้ว ยันต์ไม้ท้อก็ติดเรียบร้อยแล้ว เทพเจ้าแห่งเตาไฟก็ทำการบูชาให้การต้อนรับแล้ว โจวเสาจิ่นกับโจวชูจิ่นที่กลับมาอยู่ที่บ้านนั้นไม่มีใครมาคอยกำกับหรือควบคุม จึงนอนจนตะวันขึ้นสายโด่ง อยากจะกินข้าวเมื่อใดก็กินเมื่อนั้น อยากจะกินสิ่งใดก็กินสิ่งนั้น ผ่านไปเพียงสองวัน โจวเสาจิ่นก็เริ่มนอนไม่หลับในตอนกลางคืน และลุกไม่ขึ้นในตอนกลางวันไปเสียแล้ว

 

 

โจวชูจิ่นผู้มีระเบียบวินัยจึงกล่าวอย่างร้อนรนว่า “จะปล่อยตัวเช่นนี้ไม่ได้แล้ว ประเดี๋ยวเมื่อกลับซอยจิ่วหรูในอีกไม่กี่วันจะทำให้ผู้อื่นตำหนิเอาได้!”

 

 

“พวกเราก็ทำเสมือนว่าไปเยี่ยมบ้านญาติก็แล้วกัน!” โจวเสาจิ่นตกแต่งห้องของนางให้เหมือนกับบ้านสวนที่ต้าซิ่ง วางตั่งหลัวฮั่นไว้ข้างหน้าต่าง จุดกระถางไฟเอาไว้รอบห้อง ห่มเสื้อคลุมหนังกระรอก นอนเอนอิงหมอนผ้ากำมะหยี่จางโจวใบใหญ่เพื่ออ่านบทละครเรื่อง ‘ปิ่นหยก’ นางอ่านไปด้วย และวิจารณ์ไปด้วยว่า “…เจ้าของหอลวี่อินโหลวผู้ประพันธ์บทประพันธ์ผู้นี้เป็นคนเช่นไรกันนะ จะมีคนที่โง่งมได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ เห็นผู้อื่นถือปิ่นหยกก็สงสัยว่าภรรยาของตนเป็นผู้มอบให้ โดยไม่ไปสืบหาความจริงให้ถึงที่สุดก่อนว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่…”

 

 

“ในเมื่อไม่สนุกแล้วยังจะอ่านต่อไปอีกทำไม” โจวชูจิ่นกล่าวยิ้มๆ “ข้าว่าเจ้าไม่ได้อ่านบทละครอยู่หรอก แต่เจ้ากำลังทุกข์ทรมานอยู่ต่างหาก เป็นความทุกข์ที่กระทำขึ้นมาด้วยตัวเอง!”

 

 

โจวเสาจิ่นยิ้มร่า พลางกล่าวว่า “ข้าก็กำลังสนุกอยู่มิใช่หรือเจ้าคะ”

 

 

ใครจะรู้ว่าถ้อยคำของนางเพิ่งสิ้นเสียงลง ชุนหว่านก็วิ่งเข้ามา “คุณหนูรองๆ แม่นางจี๋อิ๋งมาหาเจ้าค่ะ!”

 

 

“เจ้าว่าอะไรนะ” โจวเสาจิ่นลุกขึ้นนั่งในทันที “จี๋อิ๋งหรือ นางมาทำไม ใครมาส่งนาง แล้วนางอยู่ที่ไหน”

 

 

นางเอ่ยถามรัวๆ ราวกับปืนกล ไม่ง่ายเลยกว่าชุนหว่านจะรอให้นางถามจนเสร็จ แล้วคลี่ยิ้มตอบว่า “เป็นพ่อบ้านฉินที่มาส่งแม่นางจี๋อิ๋ง ตอนนี้นางอยู่ข้างนอกเจ้าค่ะ…”

 

 

“รีบพานางเข้ามาๆ” โจวเสาจิ่นไม่รอให้ชุนหว่านตอบเสร็จ ก็ลงจากตั่งแล้วสวมรองเท้า ชุนหว่านจะช่วยนางสวมรองเท้านางก็ไม่ให้ช่วย แต่เร่งเร้าให้นางรีบไปพาจี๋อิ๋งเข้ามา

 

 

โจวชูจิ่นเห็นแล้วก็ส่ายศีรษะทันที ยิ้มพลางเดินกลับห้องของตนเอง

 

 

สักพักชุนหว่านก็พาจี๋อิ๋งเข้ามา

 

 

จี๋อิ๋งมัดผมเป็นมวยสูงมวยหนึ่ง ประดับไว้ด้วยปิ่นไม้ท้อ สวมชุดจิ่นเผาสีครามที่บุรุษสวมใส่ คลุมทับชั้นนอกด้วยเสื้อคลุมขนแกะสีน้ำเงินไพลินตัวหนึ่ง แม้แต่งตัวเป็นบุรุษ แต่มองแวบเดียวก็ดูออกแล้วว่าเป็นบุรุษหรือสตรี

 

 

โจวเสาจิ่นอ้าปากค้างไม่ยอมหุบอยู่นานกว่าครู่หนึ่ง

 

 

จี๋อิ๋งกล่าวยิ้มๆ “เป็นอย่างไรบ้าง ข้าแต่งตัวเช่นนี้ก็ดูไม่เลวเหมือนกันใช่หรือไม่”

 

 

โจวเสาจิ่นตอบว่า “ฉินจื่อผิงพาเจ้ามาหรือ”

 

 

จี๋อิ๋งพยักหน้า พลางตอบว่า “เขาออกมาทำธุระให้เฉิงจื่อชวน ข้าบอกว่าอยากมาหาเจ้า จึงไปแจ้งเฉิงจื่อชวนให้ทราบ แล้วก็ออกมากับเขา”

 

 

โจวเสาจิ่นอดไม่ได้มองสำรวจนางจากหัวจรดเท้าหนึ่งรอบ พลางกล่าวว่า “ท่านน้าฉือยอมให้เจ้ามาหาข้าด้วยหรือ”

 

 

“ข้าไม่ได้ออกไปทำเรื่องชั่วช้าสักหน่อย เขาจะไม่ยอมได้อย่างไร” จี๋อิ๋งยกยิ้มตอบ

 

 

จริงด้วย!

 

 

โจวเสาจิ่นรีบเชิญนางเข้ามาในห้อง

 

 

จี๋อิ๋งเห็นตั่งหลัวฮั่นที่วางอยู่ข้างหน้าต่างตัวนั้นก็ถอนหายใจเบาๆ ครั้งหนึ่ง รีบเดินไปนั่งลงบนตั่งตัวนั้น ทั้งยังหยิบหมอนนุ่มใบใหญ่มากอดไว้ในอ้อมอก พลางกล่าว “คุณหนูรอง ข้ารู้ดีว่ามาหาเจ้าที่นี่ย่อมสนุกกว่าอยู่ที่เรือนหานปี้ซานเป็นแน่! ข้าชอบตั่งหลัวฮั่นตัวนี้ของเจ้ามาก และข้าก็ชอบหมอนใบใหญ่ใบนี้ของเจ้าด้วยเช่นกัน”

 

 

เป็นเพราะของทุกอย่างล้วนมาจากทางตอนเหนือ!

 

 

โจวเสาจิ่นเอ่ยว่า “ถ้าหากเจ้าชอบ ข้าจะยกตั่งหลัวฮั่นตัวนี้กับหมอนใบใหญ่ใบนี้ให้แก่เจ้าก็แล้วกัน!”

 

 

“ดีๆ!” จี๋อิ๋งกล่าวอย่างดีใจ “ไม่ต้องให้ตั่งหลัวฮั่นหรอก เรือนหานปี้ซานมีตั้งหลายตัวแล้ว ส่วนหมอนใบใหญ่สองสามใบนี้หากข้าปฏิเสธไม่รับไว้ก็คงจะเป็นการเสียมารยาท!”

 

 

โจวเสาจิ่นยิ้มน้อยๆ พลางกล่าวว่า “เจ้ายังจะมีคารมคมคายกับข้าอีกหรือ!”

 

 

จี๋อิ๋งเม้มปากกลั้นยิ้ม เอ่ยถามนางว่า “เจ้าอยู่บ้านทำอะไรบ้าง พรุ่งนี้เป็นวันสิ้นปี ข้าวของต่างๆ ที่ต้องใช้ในช่วงปีใหม่นั้นพวกเจ้าก็น่าจะซื้อเตรียมเอาไว้หมดแล้วกระมัง เจ้าอยากจะไปเที่ยวกับข้าหรือไม่ ข้าได้ยินมาว่าในช่วงนี้ของทุกๆ ปีบรรดาผู้คนที่ทำมาหากินอยู่ใต้สะพานเจียงตงต่างก็หยุดกิจการ เรือลำน้อยใหญ่จึงจอดเรียงรายกันเป็นแถว ยาวจนถึงกลางแม่น้ำ เป็นฉากที่ตระการตายิ่งนัก ข้าอยากไปเห็นสักครั้งตั้งนานแล้วแต่ยังไม่มีโอกาสไปเสียที…พวกเราไปดูกันเถอะ”

 

 

“ไปสะพานเจียงตงในเวลานี้น่ะหรือ” โจวเสาจิ่นคิดว่าความคิดนี้…ออกจะฉุกละหุกเกินไป

 

 

“ใช่สิ!” ทว่าจี๋อิ๋งกลับดูจริงจังยิ่งขึ้น “ต้องไปตอนนี้เท่านั้น ไม่เช่นนั้นครั้นถึงวันที่หนึ่งของวันตรุษจีน ทุกคนต่างก็เริ่มออกไปเยี่ยมเยียนเพื่อสวัสดีปีใหม่กันแล้ว หนำซ้ำผู้คนบนท้องถนนจะพลุกพล่านกว่านี้อีก จะไปไหนมาไหนก็ไม่สะดวกแล้ว!”

 

 

………………………………………………………………….