ตอนที่ 159 ออกไปเดินเล่น

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

คนสัญจรไปมาบนท้องถนนไม่มาก…

 

 

โจวเสาจิ่นใจเต้นตึกตักอย่างตื่นเต้น

 

 

แต่การออกไปเที่ยวเล่นในวันที่สามสิบของช่วงปีใหม่เช่นนี้ ดูไม่ค่อยดีสักเท่าไร…นางรู้สึกลังเลเล็กน้อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

 

จี๋อิ๋งมองความคิดของนางออก เม้มริมฝีปากกลั้นยิ้ม กล่าวคะยั้นคะยอไม่หยุดว่า “ไปเถอะๆ! ที่นั่นออกจะดูน่าสนุกยิ่งนัก ตอนที่ข้าเดินทางมาจากชังโจวนั้นก็อาศัยอยู่ที่ชายฝั่งของสะพานเจียงตง ข้าถูกสะกดด้วยบรรดาเรือเล็กใหญ่ที่ไปๆ มาๆ อยู่แถวสะพานเจียงตงตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เพียงแต่ว่าเวลานั้นอารมณ์ของข้าไม่ค่อยแจ่มใสสักเท่าไร ก็เลยไม่ได้สนใจมองพวกมันอย่างละเอียดนัก ต่อมาเมื่อเข้าไปอยู่ที่เจ่าหยวน ก็ไม่ค่อยรู้เส้นทางอีก ไม่ง่ายเลยกว่าข้าจะได้ออกมาในครั้งนี้ ที่บ้านของเจ้าก็ไม่มีผู้อาวุโสอยู่ด้วย ประจวบเหมาะที่จะให้พวกเราได้ออกไปดูด้วยกันสักหน่อย…ข้าได้ยินผู้คนกล่าวกันว่า อาหารรวมไปถึงข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ของเมืองจินหลิงล้วนนำเข้ามาจากการขนส่งผ่านสะพานเจียงตง ทุกๆ คราวเมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิและใบไม้ร่วงจะเป็นช่วงที่การขนส่งและค้าขายคึกคักที่สุด เรือขนส่งสินค้าต่างลอยล่องกันแน่นขนัด เป็นภาพที่ดูยิ่งใหญ่ตระการตายิ่ง แต่เกรงว่าช่วงเวลานั้นพวกเราคงออกมาไม่ได้ง่ายนัก ไม่เช่นนั้นอย่างไรก็คงต้องไปเห็นด้วยตาตัวเองสักครั้งให้ได้แล้ว”

 

 

โจวเสาจิ่นยังคงตัดสินใจไม่ได้อยู่บ้างเล็กน้อย

 

 

พอดีกับที่โจวชูจิ่นเดินเข้ามากล่าวทักทายจี๋อิ๋ง ได้ยินแล้วก็ถามจี๋อิ๋งยิ้มๆ ว่า “เจ้าไปที่สะพานเจียงตงเช่นนี้จะไม่เป็นไรแน่หรือ”

 

 

จี๋อิ๋งได้ยินคำพูดนี้แล้วรู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย รีบกล่าวขึ้นว่า “นี่มีอะไรให้ต้องกังวลหรือ นายท่านสี่ต้องติดตามฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปร่วมรับประทานอาหารและอยู่ฉลองข้ามปีด้วยในคืนส่งท้ายปีที่ศาลาทิงอวี่ รอจนข้ากลับไปแล้ว เกรงว่างานที่ศาลาทิงอวี่ก็อาจจะยังไม่เลิกกันเลยก็เป็นได้!”

 

 

นี่ก็จริง

 

 

โจวชูจิ่นครุ่นคิดครู่หนึ่ง พยักหน้าพลางกล่าว “ให้ออกไปได้ แต่พวกเจ้าต้องเร่งกลับมาให้ถึงก่อนยามเซินชู”

 

 

โจวเสาจิ่นแสดงอาการดีใจออกมาอย่างลิงโลด ถามขึ้นมาอย่างไม่กล้าที่จะเชื่อว่า “ท่านพี่ ข้าออกไปได้จริงๆ หรือเจ้าคะ”

 

 

“ไปได้จริงๆ” โจวชูจิ่นกล่าวยิ้มๆ “แต่ว่า หากเจ้าลับมาให้ทันตามเวลาที่กำหนดไว้ไม่ได้ ต่อไปก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปอีก”

 

 

โจวเสาจิ่นกอดพี่สาวเอาไว้แน่น

 

 

จี๋อิ๋งเองก็กล่าวขอบคุณไม่หยุด กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูใหญ่เองก็ออกไปเดินเล่นกับพวกข้าด้วยดีหรือไม่”

 

 

“ข้าต้องรั้งอยู่ที่บ้านเพื่อจัดเตรียมมื้ออาหารสำหรับคืนส่งท้ายปี” โจวชูจิ่นกล่าวยิ้มๆ “หากไม่ใช่เพราะว่าทางด้านซอยจิ่วหรูมีกฎเคร่งครัด ข้าก็จะรั้งเจ้าให้อยู่รับประทานอาหารส่งท้ายปีด้วยกันเสียที่นี่แล้ว!”

 

 

ยิ่งเป็นคนที่ต้องอยู่รับใช้ในช่วงเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ก็ยิ่งเหนื่อยล้าง่าย ถึงแม้บ่าวรับใช้ที่รั้งอยู่ที่ซอยจิ่วหรูในช่วงนี้จะได้รับค่าตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อ แต่ก็ต้องเฝ้าเวรยามตลอดวันละสิบสองชั่วยาม ไม่อาจออกไปไหนได้

 

 

จี๋อิ๋งหัวเราะร่า พลางกล่าว “วันไหนข้าจะเชิญคุณหนูใหญ่รับประทานคอหมูย่างสักวันก็แล้วกันเจ้าค่ะ!”

 

 

ที่ผ่านมาโจวชูจิ่นล้วนไม่รับประทานของจำพวกนี้ แต่ก็ซาบซึ้งในน้ำใจของนาง จึงกล่าวขอบคุณยิ้มๆ แล้วสั่งการภรรยาของหม่าฟู่ซานให้จัดเตรียมเกี้ยวพร้อมกับสาวใช้และบ่าวหญิงมีอายุตามไปรับใช้โจวเสาจิ่นและจี๋อิ๋งขณะเดินทางไปที่สะพานเจียงตง

 

 

จี๋อิ๋งกล่าวขึ้นว่า “คุณหนูใหญ่ ท่านไม่ต้องลำบากถึงเพียงนี้ ข้าเอารถม้ามาด้วยเจ้าค่ะ”

 

 

โจวชูจิ่นประหลาดใจ

 

 

ผู้คนในเมืองจินหลิงใช้เกี้ยวกันเป็นส่วนใหญ่ มีน้อยคนนักที่จะใช้รถม้า ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องอื่น แค่เรื่องเลี้ยงม้าก็ถูกควบคุมจากทางการ อีกทั้งด้วยเรื่องปัญหาของสภาพอากาศทั้งดินและน้ำ ไม่ง่ายเลยที่จะเลี้ยงให้รอดชีวิตได้ มีค่าใช้จ่ายมากกว่าการเลี้ยงดูคนหามเกี้ยวหลายคนนัก

 

 

จี๋อิ๋งกล่าวยิ้มๆ ว่า “เป็นรถม้าของตระกูลเฉิงเจ้าค่ะ”

 

 

โจวชูจิ่นยังไม่ค่อยวางใจนัก กล่าวกับภรรยาของหม่าฟู่ซานว่า “ช่วงเทศกาลปีใหม่เช่นนี้ ยังต้องลำบากพวกเขาไปส่งที่สะพานเจียงตงอีก เจ้านำน้ำแกงร้อนๆ ไปมอบให้คนที่ตามมารับใช้สักหน่อย ไปกล่าวทักทาย แล้วก็มอบเงินรางวัลให้สักหน่อยด้วยก็แล้วกัน”

 

 

ภรรยาของหม่าฟู่ซานขานรับแล้วล่าถอยออกไป

 

 

เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นมารยาทที่พึงปฏิบัติตามเทศกาล จี๋อิ๋งจึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ทว่าโจวเสาจิ่นรู้ดีว่าพี่สาวไม่ค่อยวางใจในตัวจี๋อิ๋งนัก จึงให้ภรรยาของหม่าฟู่ซานไปตรวจสอบดูว่ารถม้ากับคนขับรถม้าดังกล่าวเป็นของตระกูลเฉิงจริงหรือไม่

 

 

ไม่นาน ภรรยาของหม่าฟู่ซานก็กลับมาด้วยรอยยิ้ม หันไปส่งสายตาเป็นนัยบอกโจวชูจิ่นว่า วางใจได้เจ้าค่ะ ไปด้วย พลางกล่าวไปด้วยว่า “คนที่มาคือฮวนชิ่ง พี่ชายแท้ๆ ของฮวนสี่บ่าวข้างกายของคุณชายใหญ่สวี่ ข้าเห็นว่าน้องชายแท้ๆ ของเขาเป็นบ่าวข้างกายของคุณชายใหญ่สวี่ ก็เลยตกเงินรางวัลให้เขาเพิ่มไปอีกหลายเหลี่ยงเจ้าค่ะ”

 

 

โจวชูจิ่นถึงได้วางใจลงได้ เดินไปส่งโจวเสาจิ่นและจี๋อิ๋งที่ประตู

 

 

ร้านค้าข้างทางต่างก็ปิดร้านกันไปหมดแล้ว บนถนนจึงเงียบเชียบไม่ค่อยเห็นผู้คนนัก นานๆ ทีถึงจะเห็นร้านขายของสักร้านหนึ่ง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเถ้าแก่ผู้อ้วนท้วนหรือไม่ก็เถ้าแก้เนี้ยผู้ฉลาดหลักแหลมมากด้วยประสบการณ์เฝ้าร้านอยู่เพียงลำพัง ซึ่งดูแลกิจการอยู่เพียงไม่กี่อย่าง ถนนของเมืองที่เคยครึกครื้นคลาคล่ำไปด้วยฝูงชนก่อนหน้านี้พลันดูรกร้างทำให้คนเกิดความรู้สึกอ้างว้างและเปล่าเปลี่ยว

 

 

โจวเสาจิ่นอดไม่ได้ที่จะกระชับเสื้อคลุมขนกระรอกบนกายให้แน่นขึ้น พลางกล่าว “ไปสะพานเจียงตงในเวลานี้ยังจะมีเรือให้ดูอยู่หรือ”

 

 

“ความจริงแล้วข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน” จี๋อิ๋งกล่าวขึ้นอย่างตรงไปตรงมา “จริงๆ แล้วข้าอยากออกมาเดินเล่นเป็นหลัก ต้องอยู่ดูใบไม้สีเขียวอยู่ที่เรือนหานปี้ซานทั้งวัน ดูจนร่างของข้าจะมีตะไคร่น้ำงอกออกมาแล้ว”

 

 

โจวเสาจิ่นหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่

 

 

จี๋อิ๋งถอนหายใจ พลางกล่าว “เจ้าไม่รู้อะไร หลังจากที่รับประทานข้าวในคืนวันตรุษจีนเล็กเสร็จแล้วฮูหยินหยวนก็เร่งออกเดินทางไปจิงเฉิง บอกว่าจะอยู่จนถึงก่อนวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่าในวันที่เก้าเดือนเก้าถึงจะกลับมา เพียงข้าคิดว่าต้องอยู่ที่เรือนหานปี้ซานนานถึงเก้าเดือน ข้าก็รู้สึกว่าตัวเองเสมือนกับได้ตายไปแล้วครึ่งชีวิต เมื่อวานข้าได้คุยกับน้าฉือของเจ้าแล้ว ให้เขาส่งข้าไปกวาดพื้นที่เจ่าหยวนก็แล้วกัน แต่น้าฉือของเจ้าบอกว่าถึงเวลาแล้วค่อยว่ากันอีกที” ขณะที่นางกล่าว ก็หันมาหัวเราะร่าให้โจวเสาจิ่น “หากข้าได้ไปที่เจ่าหยวน ข้าจะเชิญเจ้าไปเป็นแขกอย่างแน่นอน”

 

 

“ทิวทัศน์ที่เจ่าหยวนงดงามมากหรือ” โจวเสาจิ่นถามขึ้นอย่างใคร่รู้

 

 

“อย่างน้อยก็งดงามกว่าเรือนหานปี้ซาน” จี๋อิ๋งกล่าวยิ้มๆ “ปลูกไม้ดอกไม้ประดับเอาไว้มากมาย ให้ความรู้สึกถึงความงามของสี่ฤดู…”

 

 

ทั้งสองพูดคุยกันไป ไม่นานก็มาถึงบริเวณใกล้เคียงของสะพานเจียงตง

 

 

รถม้าหยุดลง ฮวนชิ่งเลิกผ้าม่านขึ้นมารายงานว่า “คุณหนูรอง แม่นางจี๋อิ๋ง ตรงนี้รถม้าเข้าไปไม่ได้ พวกท่านโปรดรอสักครู่ ข้าจะไปจ้างเกี้ยวมาให้ขอรับ”

 

 

จี๋อิ๋งถามขึ้นอย่างแปลกใจว่า “เหตุใดถึงเข้าไปไม่ได้ ฉินจื่อผิงบอกว่าเดินทางสะดวกยิ่งนักมิใช่หรือ”

 

 

“นี่ไม่ใช่ว่าใกล้จะถึงวันตรุษจีนแล้วหรือขอรับ” ฮวนชิ่งกล่าวยิ้มๆ “โดยปกติแล้วคนขนของ หรือคนขับล่อทั้งหลาย ส่วนมากล้วนอาศัยอยู่ใกล้ๆ กับสะพานเจียงตง ในวันปกติจะออกไปทำงานอยู่ข้างนอกก็เลยไม่ค่อยรู้สึกอะไร แต่ตอนนี้ทุกคนต่างพักผ่อนอยู่ในบ้าน พวกเกวียนเทียม หรือกระบุงไม้ไผ่ต่างๆ ล้วนจอดและวางอยู่ที่หน้าประตูบ้าน ทำให้กีดขวางทางเดินขอรับ…”

 

 

“เวลานี้จะไปหาว่าจ้างเกี้ยวมาได้หรือ” จี๋อิ๋งถาม “หรือไม่เปลี่ยนไปใช้ทางเส้นอื่นดีหรือไม่”

 

 

“หากเปลี่ยนไปใช้ทางเส้นอื่น เกรงว่าหลังจากที่ไปส่งคุณหนูรองกลับเรือนแล้ว งานเลี้ยงของทางด้านซอยจิ่วหรูจะเลิกไปเสียก่อนขอรับ” ฮวนชิ่งกล่าวยิ้มๆ “คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ส่วนใหญ่เป็นคนใช้แรงงาน ลองไปสอบถามดูสักหน่อย ก็น่าจะหาเกี้ยวได้ หากว่าหาไม่ได้จริงๆ พวกเราค่อยเปลี่ยนไปใช้ทางเส้นอื่นก็ยังไม่สายขอรับ”

 

 

ความจริงก็คือต้องการจะบอกจี๋อิ๋งว่า วิธีที่ดีที่สุดก็คือให้ใช้เส้นทางนี้ ไม่อย่างนั้นหากว่ากลับไปล่าช้าก็อย่ามาโทษข้าก็แล้วกัน

 

 

เดิมทีแล้วจี๋อิ๋งต้องการออกมาเพื่อบรรเทาความเบื่อหน่าย แต่ตอนนี้กลับต้องโมโหจนลมเต็มท้องแทน นางอดไม่ได้ที่จะกระซิบบ่นเสียงเบาว่า “ไม่แปลกใจที่คนในจวนต่างพูดกันว่า ถึงแม้ฮวนชิ่งผู้นี้กับฮวนสี่จะเป็นพี่น้องกันแท้ๆ ทว่าทั้งสองคนกลับไม่เหมือนกันเลยสักนิด ฮวนชิ่งเอื่อยเฉื่อย ส่วนฮวนสี่ฉลาดปราดเปรื่อง…แม้แต่เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้เขาก็ยังทำได้ไม่ดี!”

 

 

โจวเสาจิ่นปลอบใจนางว่า “พวกเราก็ไม่ได้มีธุระอะไร อดทนรอสักหน่อยก็แล้วกัน หรือถ้าไม่ได้การจริงๆ พวกเราค่อยมาใหม่คราวหน้าก็ได้”

 

 

“ก็คงต้องเป็นเช่นนั้นแล้ว!” จี๋อิ๋งพยักหน้าอย่างเอื่อยเฉื่อย

 

 

รอไปได้ครู่ใหญ่ ก็ยังไม่เห็นฮวนชิ่งกลับมา

 

 

นางจึงนั่งไม่ติดที่เล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “พวกเราออกไปยืนข้างนอกรถม้าครู่หนึ่งเถอะ อากาศด้านนอกน่าจะดีกว่าสักหน่อย”

 

 

โจวเสาจิ่นสวมอาภรณ์ให้อบอุ่น แล้วลงจากรถม้าพร้อมจี๋อิ๋ง

 

 

สถานที่ที่รถม้าของพวกนางจอดนี้เป็นซอยขนาดเล็ก ทั้งสองข้างทางมีสิ่งของวางกองเต็มไปหมด มีแม้กระทั่งรถเข็นเด็ก เพียงแต่ว่าประตูบ้านของทุกครัวเรือนต่างปิดสนิท และมีกลิ่นหุงต้มลอยอวลออกมา

 

 

เพียงพวกนางลงมาจากรถม้าก็มองเห็นเสากระโดงเรือสูงตระหง่านกับผืนทะเลสาบอันกว้างใหญ่ไพศาล

 

 

“ที่นั่นคือที่ใดหรือ” โจวเสาจิ่นถามขึ้นมาอย่างตื่นเต้นเล็กน้อย “ใช่สะพานเจียงตงหรือไม่”

 

 

“น่าจะใช่” จี๋อิ๋งเขย่งเท้าขึ้นพลางมองสำรวจ กล่าวขึ้นว่า “ดูไปแล้วถนนที่ฮวนชิ่งพามาเป็นถนนเส้นเล็ก ระยะทางเพียงเท่านี้ พวกเราเดินไปก็ได้ หากรอเขาไปว่าจ้างเกี้ยว ไม่รู้ว่าต้องรอไปถึงเมื่อไร”

 

 

โจวเสาจิ่นมองซอยเส้นนั้นที่มีระยะทางไม่น่าจะเกินหนึ่งลูกศรเท่านั้น ข้างกายพวกนางยังมีป้าร่างกำยำหนึ่งคนกับสาวใช้เด็กอีกสองคน จึงพยักหน้าเห็นด้วย

 

 

ขณะที่จี๋อิ๋งพาโจวเสาจิ่นเดินไปนั้น ด้านหนึ่งนางก็ระวังหลุมบ่อบนทางเท้าไปด้วย อีกด้านหนึ่งก็กล่าวไปด้วยว่า “น่าเสียดายที่ข้าไม่รู้ว่าสวนถงหยวนอยู่ที่ใด ได้ยินว่าด้วยฮ่องเต้พระองค์ก่อนเอาใจใส่พสกนิกร จึงทรงปลูกต้นยางเอาไว้บนเขาเจี่ยงซานมากมายนับไม่ถ้วน…”

 

 

“เจ้าดูนั่น!” อยู่ๆ โจวเสาจิ่นที่เดินตามมาก็ดึงแขนเสื้อของนางเอาไว้ พลางกล่าว “คนผู้นั้นเหมือนท่านน้าฉือหรือไม่”

 

 

จี๋อิ๋งหันไปมอง

 

 

บนหัวเรือของเรือสำเภาที่มีเสากระโดงเรือสามเสาลำหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลนั้นมีคนยืนอยู่สองคน หนึ่งคนในจำนวนนั้นมีรูปร่างผอมเพรียว สวมเสื้อคลุมขนมิ้งสีดำตัวใหญ่ มือที่นิ้วโป้งสวมแหวนหยกมรกตไว้นั้นวางอยู่บนขอบเรืออย่างสบายๆ แสงแดดอบอุ่นของฤดูหนาวที่อาบไล้อยู่บนร่างของเขา ประหนึ่งอาบไล้อยู่บนแจกันหยก เรียบรื่นและแวววาวดั่งหยกเนื้อดี ดูสูงส่งและสง่างาม

 

 

จี๋อิ๋งสะดุ้งตกใจไปครั้งใหญ่ ร้องเสียงหลงว่า “ใช่เฉิงจื่อชวนจริงๆ ด้วย! เวลานี้เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าเขาบอกว่าช่วงบ่ายต้องไปเดินหมากล้อมเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัวหรอกหรือ”

 

 

โจวเสาจิ่นยื่นศีรษะออกไป “เป็นท่านน้าฉือจริงๆ หรือ”

 

 

“เป็นเฉิงจื่อชวนจริงๆ” จี๋อิ๋งมองอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นก็เคร่งเครียดขึ้นมา แล้วก็ดึงโจวเสาจิ่นกลับไปทางเดิม “อากาศเย็นเกินไป พวกเราไปรอฮวนชิ่งบนรถม้าก็แล้วกัน”

 

 

โจวเสาจิ่นยิ้มออกมา พลางกล่าว “เจ้ากลัวจะถูกท่านน้าฉือจับได้ใช่หรือไม่” ขณะที่กล่าว ก็หันกลับไปมองที่หัวเรืออีกครั้งหนึ่ง

 

 

คนที่ยืนอยู่ข้างๆ เฉิงฉือเป็นชายฉกรรจ์อายุประมาณสามสิบปีผู้หนึ่ง เขามีรูปร่างสูงใหญ่ แต่กลับสวมเสื้อขนแกะสีขาวตัวหนึ่ง ด้านในเป็นชุดเผาจื่อผ้าฝ้ายสีน้ำตาล ยืนตัวตรงหันหน้าเข้าหาเฉิงฉือ ภายใต้คิ้วที่ดกหนาดุจแปรงไม้กวาดสองด้ามนั้นมีดวงตาคู่หนึ่งที่ดูลุ่มลึกและเยียบเย็นดังบ่อน้ำแห้งลึกอันเหน็บหนาว เผยลักษณะที่ข่มขู่คุกคามและเหยียดหยันออกมาให้เห็นอยู่รางๆ ให้ความแตกต่างกับเฉิงฉือที่ดูสงบและสง่างาม

 

 

นางอดไม่ได้ที่จะกระซิบเสียงเบาว่า “แปลก! คนผู้นั้นดูแล้วเหมือนกับจับกังใช้แรงงานขนของผู้หนึ่ง แต่ท่วงท่ากลับดูหยิ่งผยองยิ่ง ไม่เหมือนกับเป็นจับกังผู้ใช้แรงงานเลยสักนิด แต่กลับดูเหมือน…เหมือนมหาโจรก็ไม่ปาน…”

 

 

จี๋อิ๋งกลับสูดหายใจเอาลมเย็นๆ เข้าไปครั้งหนึ่ง

 

 

ทันใดนั้นนางนึกอยากจะเอาคำพูดของโจวเสาจิ่นไปบอกเฉิงฉือเสียจริงๆ

 

 

สีหน้าของเฉิงฉือคงน่าดูไม่น้อยเลยทีเดียว…

 

 

***

 

 

เนื่องด้วยได้เจอกับเฉิงฉือโดยบังเอิญ การเดินเล่นที่สะพานเจียงตงของพวกนางจึงต้องจบลงอย่างรวดเร็วด้วยประการฉะนี้

 

 

โจวเสาจิ่นกลับไปเล่าให้โจวชูจิ่นฟัง

 

 

โจวชูจิ่นใช้มือปิดปากกลั้นหัวเราะ พลางกล่าว “มีเพียงพวกเจ้าที่แอบออกไปเที่ยวเล่นได้ ท่านน้าฉือแอบออกไปเจอสหายบ้างไม่ได้หรืออย่างไร! เจ้ากับจี๋อิ๋งยังเป็นนายผู้หนึ่งกับบ่าวผู้หนึ่งได้ เขากับสหายผู้นั้นจะเป็นบัณฑิตผู้หนึ่งกับนักรบผู้หนึ่งบ้าง มีอะไรให้น่าแปลกประหลาดหรือ”

 

 

โจวเสาจิ่นหัวเราะร่า กราบไหว้บรรพชนพร้อมกับพี่สาวเสร็จแล้ว จากนั้นก็รับประทานอาหารค่ำของคืนสิ้นปีด้วยกัน

 

 

เสียงจุดประทัดด้านนอกดังปึงปังๆ ทำให้ห้องนั่งเล่นของทั้งสองคนยิ่งดูเงียบสงัดมากยิ่งขึ้น

 

 

ทว่าโจวเสาจิ่นกลับไม่ได้รู้สึกว่าเงียบเหงา

 

 

นางตักโจ๊กกระเพาะหมูให้พี่สาวหนึ่งถ้วย ยิ้มตาหยีพลางถามพี่สาวว่า “เมื่อครู่ตอนที่จุดธูปให้บรรพบุรุษนั้นท่านอธิฐานว่าอะไรหรือเจ้าคะ”

 

 

โจวชูจิ่นไม่สนใจนาง ดื่มน้ำแกงไปคำหนึ่งแล้วกล่าวขึ้นว่า “หากบอกออกมาก็ไม่ศักดิ์สิทธิ์แล้วสิ!”

 

 

โจวเสาจิ่นเพียงหัวเราะ

 

 

ชาติก่อน นางได้ยินมันแล้ว

 

 

พี่สาวอธิฐานว่า ขอให้บรรพบุรุษอำนวยพรให้หลี่ซื่อให้กำเนิดบุตรชายผู้หนึ่ง ให้เขาได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวงศ์ตระกูล นำเกียรติภูมิมาสู่บรรพบุรุษ และมีชื่อเสียงสืบไป

 

 

ครั้งนี้ เห็นทีว่าถึงคราวที่พี่สาวจะต้องผิดหวังเสียแล้ว

 

 

แต่อย่างน้อยน้องสาวคนเล็กของพวกนางก็ยังมีชีวิตรอด และเติบโตขึ้นอย่างปลอดภัยและสงบสุข

 

 

………………………………………………………………….