หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.468 – ความจริง (1)

 

พอได้ฟัง กู่ฉิงซานก็จมลงสู่ห้วงความคิด

 

ขณะที่ฉินรั่วถอนหายใจออกมา ปากกล่าวเสียงกระซิบ “หากข้ามีความสามารถเฉกเช่นเดียวกับผู้หญิงคนนั้น ก็ย่อมเป็นธรรมดาที่ข้าจะเลือกแก้แค้นโลกใบนี้”

 

ว่านเอ๋อพยักหน้า เธอเองก็รู้สึกแบบเดียวกัน

 

“นายน้อย แล้วตอนนี้พวกเราสมควรจะทำสิ่งใดดี?” ฉานนู่เอ่ยถาม

 

กู่ฉิงซานเก็บใบหยกแผ่นเดิมในมือ และหยิบเอาใบหยกแผ่นใหม่ออกมา

 

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม หลากเส้นแสงหิ่งห้อยเด้งเตือนขึ้นมาอีกครั้ง

 

“ต้องการจ่าย 1000 แต้มพลังวิญญาณ เพื่อทำความเข้าใจถึงแก่นแท้สำคัญในการสร้างค่ายกลของโลกใบนี้หรือไม่?”

 

“ต้องการ”

 

แล้วแต้มพลังวิญญาณก็ถูกหักออกไปทันที

 

เหล่าเทคนิคที่เกี่ยวข้องปรากฏขึ้นมาเต็มหน้าต่างระบบเทพสงคราม

 

กู่ฉิงซานหลับตาลงและเริ่มที่จะหยิบใบหยกแผ่นใหม่ขึ้นมาเรียนรู้อีกครั้ง

 

แม้มือจะไม่ว่างเว้น แต่ปากก็เอ่ยถามฉานนู่ “เจ้าได้ตรวจสอบช่วงเวลาที่ผู้หญิงจากต่างโลกกับคนเหล่านั้นต่อสู้กันด้วยหรือไม่?”

 

ฉานนู่ย้อนนึกและกล่าว “ไม่ทั้งหมด ดูเหมือนว่าความทรงจำจะยังคงกระจัดกระจายอยู่”

 

“เช่นนั้นแล้วอาวุธใดกันที่นางใช้?”

 

“คิดว่าน่าจะเป็นกระดาษแผ่นบางๆ ที่ถูกม้วนแล้วมัดไว้ด้วยเชือกวิเศษบางอย่าง”

 

ฉานนู่รู้สึกเหมือนกับว่าเธอจะอธิบายได้ไม่ดีมากพอ จึงกล่าวต่อ “เมื่อไหร่ก็ตามที่ผู้หญิงคนนั้นคิดจะต่อสู้ นางจะปลดเชือกที่ผูกกับแผ่นกระดาษบางๆเหล่านั้นออก”

 

“แล้วแผ่นกระดาษที่ได้รับอิสระก็จะยืดออก และระเบิดทุกเทคนิคมนตราอันทรงประสิทธิภาพออกมา”

 

ฉานนู่กล่าวอธิบาย

 

“กระดาษแผ่นบางๆ … นั่นน่าจะหมายถึงม้วนคัมภีร์ กล่าวได้ว่านางสมควรที่จะเป็นผู้ใช้เทคนิคเทียนซวน”

 

กู่ฉิงซานงึมงำกับตัวเอง

 

เขาย้อนนึกไปถึงซูเซี่ยเอ๋อ

 

ซูเซี่ยเอ๋อที่เคยได้มอบม้วนคัมภีร์ให้แก่ตนเอง

 

“ช่วงเวลาว่างเปล่าของทวยเทพ”

 

หากมิใช่เพราะม้วนคัมภีร์ที่ว่านั่น ตนเอง เย่เฟย์หยู และซางหยิงฮ่าวก็คงไม่อาจสังหารพระสันตะปาปาลงได้

 

อ้างอิงจากที่ได้รับรู้มานี้ ผู้หญิงต่างโลกที่มาเยือนโลกล่องเวหา เป็นไปได้มากที่เดียวว่าจะเป็นผู้ใช้เทคนิคเทียนซวนที่ทรงพลัง

 

หลังจากผู้ใช้เทคนิคเทียนซวนตาย พวกเขาและเธอก็จะสามารถเปลี่ยนตนเองเป็นระบบได้อย่างงั้นหรือ?

 

นี่นับว่าเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดโดยแท้

 

กู่ฉิงซาน ลอบถามอย่างลับๆ “ระบบเทพสงคราม เทคนิคเทียนซวนสามารถเปลี่ยนตัวเองเป็นระบบได้ไหม? หรือจำเป็นต้องขึ้นอยู่กับขอบเขตความแข็งแกร่งในระดับหนึ่งก่อน จึงจะสามารถแปรสภาพเป็นระบบได้?”

 

ติ๊ง!

 

ระบบเทพสงครามตอบกลับมาว่า “โปรดทำการตรวจสอบด้วยตัวคุณเอง สำหรับเรื่องนี้ ระบบจะไม่ตอบคำถาม”

 

“คุณเองก็ไม่รู้อย่างงั้นหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

ระบบเทพสงคราม “ระบบมีหน้าที่เพียงช่วยให้คุณแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น เรื่องนอกเหนือไปจากที่กล่าว ฟังก์ชั่นของระบบไม่สามารถทำได้”

 

“อย่างไรก็ตาม ระบบก็ยังสามารถให้คำแนะนำพิเศษได้อีกนิดๆหน่อยๆ ดังต่อไปนี้”

 

“ท่ามกลางโลกใบนี้นั้นเต็มไปด้วยดวงดาว , ทุกชนิดของตัวตนที่ทรงประสิทธิภาพ และการดำรงอยู่อันแปลกตานับไม่ถ้วน แต่ขณะนี้คุณอยู่ ‘ห่างไกล’ จากโลกจริงเป็นอย่างมาก”

 

กู่ฉิงซานพยักหน้า

 

ตามที่ระบบกล่าวมา ไม่มีอะไรที่ไม่ถูกต้อง

 

“นายน้อย ท่านคิดว่ามีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่?” ฉินรั่วเอ่ยถาม

 

“ไม่หรอก คิดว่าน่าจะไม่ผิดปกติอะไร”

 

เมื่อเห็นว่าสามหญิงสาวกำลังจับตาดูเขา ตนจึงจำต้องเอ่ยอธิบายออกไปเบาๆว่า “พวกเจ้าอดใจรอก่อนเถอะ เดี๋ยวพวกเราก็จะได้จากไปแล้ว”

 

“เจ้าคิดจะฉีกรอยแยกมิติงั้นหรือ?”

 

“เปล่า”

 

กู่ฉิงซานส่งเสียงผ่านจิตสัมผัสเทวะไปยังหญิงสาวทั้งสาม “อันที่จริงสำหรับเรื่องการทะลวงมิติ ข้าพอจะคาดเดาบางอย่างได้แล้ว”

 

“คาดเดาว่าอย่างไร?” ว่านเอ๋อถาม

 

กู่ฉิงซานส่งเสียงตอบกลับไปว่า “มารโลกานั้นทรงพลานุภาพอย่างไม่ต้องสงสัย แม้กระทั่งดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ หรือดวงดาวอื่นๆมันก็สามารถกลืนกินได้อย่างง่ายดายในเวลาอันรวดเร็ว แม้กระทั่งตัวตนที่ทรงพลังอย่างขอบเขตลมปราณจิตก็ยังมิใช่คู่ต่อกร – เรื่องนี้พวกเจ้าคงไม่คัดค้านใช่หรือไม่?”

 

ฉินรั่วกับว่านเอ๋อพยักหน้ารับพร้อมกัน

 

“หากกระทั่งดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวก็ยังถูกกลืนกินโดยมัน ด้วยพลังอำนาจเช่นนั้น ข้าคิดว่ามันย่อมต้องมีความสามารถมากพอที่จะกลืนกินผู้ฝึกยุทธตลอดทั้งโลกใบนี้ได้ในเวลาไม่กี่วันเป็นแน่ … หากมันต้องการจะทำน่ะนะ”

 

สองหญิงสาวพอได้ฟังก็ชะงักงันไป

 

กู่ฉิงซานอธิบายต่ออย่างช้าๆ “แม้อาจมองในมุมที่ว่ามันกำลังเลือกจะละเล่นกับเหล่าผู้ฝึกยุทธ แต่ข้าคิดว่าความจริงแล้ว มันมีแนวโน้มว่าต้องการบีบบังคับให้เหล่าผู้ฝึกยุทธฉีกรอยแยก แล้วทะลวงมิติจากไปเสียมากกว่า”

 

“ภายนอกกระแสมิติ มารโลกาจักต้องได้ตระเตรียมการบางอย่าง เพื่อเฝ้ารอให้เหล่าผู้ฝึกยุทธออกไปติดกับเป็นแน่”

 

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างช้าๆ

 

ขณะที่ใบหยกถูกเก็บกลับคืนเข้าสู่ถุงสัมภาระของเขา

 

แล้วหยิบใบหยกแผ่นใหม่ออกมา และเริ่มทำการเรียนรู้ค่ายกลอีกครั้ง

 

นี่แหละคือข้อสรุปที่เขาตัดสินได้

 

นอกเหนือไปจากข้อสรุปนี้ ก็ไม่มีข้อสรุปอื่นใดอีกแล้วที่จะอธิบายถึงความหมายของคำว่า ‘ยังไงทุกคนบนโลกก็จะต้องตาย’

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานเริ่มรู้สึกย่ำแย่และร้อนรนมากยิ่งขึ้น

 

โลกใบนี้ … มันอันตรายเกินไป

 

บางที มารโลกามันอาจจะถึงขั้นสามารถรับรู้ถึงบทสนทนาและการกระทำของผู้ฝึกยุทธทั้งหมดก็เป็นได้

 

มารโลกา แท้จริงแล้วมันคงแสร้งทำเป็นว่าหลับไหล

 

มันต้องการที่จะให้ผู้คนจนตรอก และเลือกหลบลี้ทะลวงเข้าไปในมิติที่ว่างเปล่ามากยิ่งขึ้น

 

ที่ที่มั่นใจได้เลยก็คือ จะต้องมีบางสิ่งบางอย่างที่น่าหวาดหวั่นเฝ้ารออยู่ภายนอกกระแสมิติอย่างแน่นอน

 

ตอนนี้ กู่ฉิงซานจึงต้องเร่งทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องค่ายกลในทันที จากนั้นก็ทำการถอดรหัสดิสก์ค่ายกลของฉีหยาน และสร้างดิสก์ค่ายกลใหม่ขึ้นมา

 

โลกใบนี้ ไม่สมควรที่จะพำนักอยู่ให้นานกว่านี้แม้เพียงนาทีเดียว!

 

สามหญิงสาวเมื่อเห็นถึงการเคลื่อนไหวของเขาที่เร็วยิ่งกว่าเดิม แม้ความอยากรู้อยากเห็นจะบังเกิดขึ้นในจิตใจของพวกเธอ แต่ทั้งหมดก็ยังตระหนักดีว่าเวลานี้ มันไม่สมควรที่จะรบกวนเขา

 

ตั้งแต่ที่พวกเธอได้รู้จักกับกู่ฉิงซานมา ทุกสิ่งอย่างที่เขาทำล้วนเชื่อถือได้อย่างไม่ต้องสงสัย

 

ทุกคนต่างเลือกที่จะเฝ้ารอคอยอย่างเงียบๆ เพื่อดูว่ากู่ฉิงซานจะทำอะไรต่อไป

 

เวลาได้ไหลผ่านไป แต่ก็ไม่นานนัก

 

พอถึงช่วงเวลาหนึ่ง กู่ฉิงซานก็วางใบหยกในมือลง

 

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม สองเส้นแสงหิ่งห้อยลอยเด่นอยู่ที่นั่น

 

“ขอแสดงความยินดีด้วย คุณได้ก้าวขึ้นมาถึงจุดสูงสุดของผู้ที่แตกฉานในด้านค่ายกลของโลกใบนี้แล้ว”

 

“ขอแสดงความยินดีด้วย เนื้อหาเกี่ยวกับค่ายกลของโลกใบนี้ ไม่มีสิ่งใดที่คุณจำเป็นต้องเรียนรู้มันอีกต่อไปแล้ว”

 

พอได้กวาดสายตาผ่าน กู่ฉิงซานก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาวออกมา

 

ในที่สุด เขาก็ได้มาถึงระดับจุดสูงสุดของโลกใบนี้เสียที!

 

ไม่รีรอให้เสียเวลา กู่ฉิงซานหยิบดิสก์ค่ายกลของฉีหยานออกมาจากถุงสัมภาระทันที

 

สิ่งที่เคยเป็นไปไม่ได้ เวลานี้ง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ

 

“พิกัด … ”

 

กู่ฉิงซานเอ่ยพึมพำ และเริ่มใช้ท่าร่างมือลงบนดิสก์ค่ายกล

 

แล้วดิสก์ค่ายกลก็ถูกกระตุ้นทันที

 

ฮู้มมมม!

 

ชั้นรอยแยกมิติระหว่างสองโลกปรากฏขึ้นในบริเวณโดยรอบดิสก์ค่ายกลขนาดเล็ก

 

“นายน้อย นี่ท่าน .. ”ฉินรั่วกล่าวอย่างเป็นกังวล

 

“มันไม่เป็นไรหรอก ข้าแค่ต้องการที่จะดูพิกัดเท่านั้น มิได้คิดจะทำลายมันหรอก” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยความมั่นใจ

 

เขาถือดิสก์ค่ายกลไว้ในมือ และเริ่มทำการถอดรหัสพิกัดของโลกไปทีละน้อย ทีละน้อย

 

ทุกอย่างเริ่มดำเนินการอย่างช้าๆ

 

การค้นหาพิกัดเป็นไปอย่างราบรื่น แต่ขณะเดียวกันกู่ฉิงซานก็ได้ค้นพบถึงข้อสงสัยหนึ่ง ที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน

 

ภายในถุงสัมภาระ กู่ฉิงซานได้หยิบใบหยกค่ายกลจำนวนมากออกมา

 

ใบหยกเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ใช้บันทึกพิกัดของโลกต่างๆ – ที่ถูกโลกล่องเวหาพิชิตชัยมาได้

 

กู่ฉิงซานทำการตรวจสอบพิกัดของโลกเหล่านั้นอย่างระมัดระวัง

 

ค่ายกลของโลกล่องเวหา กล่าวได้ว่าเหนือล้ำยิ่งกว่าของโลกอื่นๆ

 

และขณะนี้ กู่ฉิงซานก็ได้มายืนหยัดอยู่บนจุดสูงสุดในด้านค่ายกลแล้ว ดังนั้นวิสัยทัศน์และมุมมองของเขาย่อมแตกต่างไปจากเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง

 

กระทั่งฉีหยาน บัดนี้ก็ยังถูกกู่ฉิงซานทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง ห่างไกลกันมากโข

 

กู่ฉิงซานตรวจสอบพิกัดของโลกเหล่านั้น ก่อนจะเริ่มหันมาตรวจสอบพิกัดจากรอยแยกมิติของโลกเทวะ

 

เมื่อเทียบกับพิกัดของบรรดาโลกก่อนหน้านี้แล้ว กู่ฉิงซานอดไม่ได้เลยจริงๆที่จะต้องพูดออกมา “ที่แท้ … มันก็เป็นแบบนี้นี่เอง … ”

 

ขณะนี้ เขาได้ค้นพบถึงความลับแล้ว

 

ความลับที่ไม่เคยมีผู้ใดล่วงรู้มาก่อนในประวัติศาสตร์!

 

— บรรดาโลกที่ถูกผสานรวมเข้าด้วยกันกับโลกล่องเวหา หรือแม้กระทั่งตัวโลกล่องเวหาเอง แท้จริงแล้วมันตั้งอยู่ในชั้นพื้นที่มิติเชิงสัมพันธ์กัน

 

กล่าวได้ว่าจากตำแหน่งพิกัดของแต่ละโลก จากแต่ละทิศทาง บางโลกบ้างอยู่ในมุมสูง บ้างอยู่ในมุมต่ำ ทว่าทั้งหมดทั้งมวลนี้จะไม่อยู่เกินเลยไปกว่าภายในพิสัยของพื้นที่มิติที่สัมพันธ์กันอย่างแน่นอน

 

ทว่าสำหรับโลกเทวะนั้นแตกต่างออกไป

 

พิกัดของโลกเทวะนั้น ในเรื่องของระยะในแนวตั้ง มันห่างไกลออกไปจากพิสัยขอบเขตพื้นที่ของบรรดาโลกอื่นๆที่ถูกพิชิตชัยอยู่มากโข

 

หากเทียบเปรียบกับพิกัดของโลกเทวะกับบรรดาโลกในพื้นที่มิติบริเวณนี้ พิกัดของมันจะดูแปลกตายิ่งนัก เป็นตัวเลขที่เกินกว่าสามัญสำนึกทั่วไปจะจินตนาการได้

 

โลกเทวะ … เหมือนกับว่ามันจะอยู่กันคนละ ‘ลำดับชั้น’ กับพื้นที่มิติบริเวณนี้

 

ไม่น่าแปลกใจเลย

 

ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดผู้ฝึกยุทธของโลกใบนี้จึงไม่สามารถทำการสำรวจโลกใบใหม่ได้อีกต่อไป

 

เพราะหากพวกเขาไม่ทราบถึงพิกัดของโลกเทวะมาก่อน กู่ฉิงซานคิดว่าพวกเขาก็คงไม่เคยคาดคิดถึงตัวเลขพิกัดที่แปลกประหลาดเช่นนี้ออกมาได้เป็นแน่

 

ผู้ฝึกยุทธในโลกล่องเวหา ก็เปรียบดั่งปลาที่แหวกว่ายในบ่อ ที่คอยสำรวจหาดินแดนใหม่ไปเรื่อยๆ

 

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปลาเหล่านั้นจะทุ่มความพยายามในการสำรวจมากเพียงใด แต่สุดท้ายพวกมันก็จะถูกกักอยู่ในบ่อๆนั้นเสมอมา และไม่อาจคาดคิดหรือจินตนาการได้ว่ามันยังคงมีแหล่งน้ำ บ่อน้ำ สายธาร หรือทะเลแห่งอื่นอยู่อีก

 

แต่เวลาช่างกระชั้นชิดนัก กู่ฉิงซานจึงเก็บเรื่องนี้เอาไว้ก่อน ยังไม่คิดมากไปกว่านี้เกี่ยวกับมัน

 

“นายน้อย นี่คือถุงสัมภาระของหวังหงษ์เต๋า”

 

ฉานนู่ที่กำถุงสัมภาระอยู่ในมือ ได้กล่าวออกมา

 

“ข้าได้ทำการสำรวจสิ่งของทั้งหมดของเขาเป็นที่เรียบร้อย แม้จะมีกับดักปะปนอยู่บ้าง แต่ข้าก็ได้ทำลายพวกมันไปจนสิ้นแล้ว”

 

“ทำได้ดีมาก”

 

คงจะมีเพียงเฉพาะฉานนู่เท่านั้นทีไม่หวาดเกรงต่อกับดักทั้งหลาย เธอกำจัดพวกมันทั้งหมดจนถุงสัมภาระของหวังหงษ์เต๋าปลอดภัย

 

กู่ฉิงซานกวาดจิตสัมผัสเทวะลงไปในมัน

 

แล้วเขาก็พบกับทุกชนิดของวัสดุอันมากมายหลากหลายขึ้นในสายตา

 

“คงต้องบอกว่า แม้โลกใบนี้จะแห้งแล้ง แต่หวังหงษ์เต๋าก็ดูจะมั่งคั่งไม่น้อยเลย”

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจออกมา

 

เดิมทีแล้ว กลับกลายเป็นว่าในโลกใบนี้ ในขณะที่ทุกผู้คนกล่าวได้ว่าขาดแคลนทรัพยากร ก็ยังมีบางคนที่สามารถเพลิดเพลิน สนุกสนานไปกับชีวิตที่กินดีอยู่ดีได้อยู่อีกนั่นเอง

 

กู่ฉิงซานไม่ลังเลเลยที่จะโยนสมบัติทั้งหมดในถุงสัมภาระลงในถุงหอมหลากสี

 

ถุงหอมที่ซึ่งเป็นมรดกสืบทอดของนิกายร้อยบุปผา

 

กู่ฉิงซานได้รับประโยชน์จากมันมามากมายนัก และในที่สุด เขาก็ได้ตอบแทนมันกลับคืนเสียที

 

หวังหงษ์เต๋าเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิต สิ่งของที่เขาครอบครองเอาไว้ ย่อมเป็นสิ่งที่ดีอย่างแน่นอน

 

หลังจากที่กู่ฉิงซานทำการโด้ของทั้งหมดจนเสร็จสิ้นแล้ว เขาก็หยิบดิสก์ค่ายกลออกมาจากถุงสัมภาระ

 

นี่คือดิสส์ค่ายกลของหวังหงษ์เต๋า

 

ดูเหมือนว่ามันเป็นดิสก์ที่ทำการปรับแต่งจนเกือบจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว

 

กู่ฉิงซานกวาดจิตสัมผัสเทวะเข้าไปในดิสก์ค่ายกล แล้วสีหน้าของเขาก็ค่อยๆแสดงออกถึงความประหลาดใจมากขึ้นเรื่อยๆ

 

ดิสก์ค่ายกลแผ่นนี้มัน ….

 

ในทุกๆขั้นตอนการปรับแต่งทั้งหมดล้วนสมบูรณ์และไม่มีจุดใดเลยที่ผิดพลาด มันยังหลงเหลืออีกแค่เพียงการป้อนพิกัดของสองโลกในตอนท้ายเท่านั้นเอง

 

‘หวังหงษ์เต๋านี่มันช่างน่าสนใจจริงๆ’

 

กู่ฉิงซานจึงทำการใส่พิกัดของโลกล่องเวหาและโลกเทวะลงไปในมัน

 

ทว่าหลังจากที่เสร็จสิ้นกระบวนการนี้ จู่ๆเขาก็รีบเก็บดิสก์ค่ายทันที

 

พร้อมกับสองดาบที่ผุดออกมาจากความว่างเปล่า ลอยล่องอยู่เคียงข้างเขา

 

“มีอะไรงั้นหรือนายน้อย?” ฉินรั่วเอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย

 

“เกิดความผัวผวนขึ้นบริเวณค่ายกลที่ 16 … มีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นในพื้นที่ใกล้เคียงกับพวกเรา” กู่ฉิงซานเอ่ยเสียงกระซิบ

 

“นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

 

“ข้าเองก็ไม่รู้ แต่เราจะต้องระมัดระวังตัวเอาไว้ก่อน”

 

และทันทีที่เสียงของเขาตกลง เสียงปรบมือสนั่นก็ดังขึ้นทันที

 

แปะ! แปะ! แปะ!

 

ไม่มีสัญญาณล่วงหน้าใดๆเลย ที่แจ้งเตือนการมาถึงของเสียงปรบมือนี้

 

สีหน้าของคนทั้งหลายแปรเปลี่ยนกลับกลาย

 

เพราะก่อนหน้านี้ … พวกเขาไม่อาจสัมผัสได้ถึงสิ่งใดที่อยู่รอบตัวเลย!

 

แต่ตอนนี้ จู่ๆก็กลับมีใครบางคนปรบมือขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกลจากพวกเขา

 

คนทั้งหลายเริ่มที่จะกวาดสายตามองไปรอบๆ

 

อย่างไรก็ตาม กลับเห็นแค่เพียงจิ้งจอกขาวที่นั่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล และใช้อุ้งเท้าหน้าของมันปรบมือไม่หยุด

 

มันคืออสูรวิญญาณของสตรีแห่งรากษส – จิ้งจอกขาว!

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานเริ่มจะหนักอึ้ง

 

เดิมที เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อาจค้นพบถึงร่องรอยของจิ้งจอกขาวได้เลยตลอดทั่วทั้งเกาะ

 

กู่ฉิงซานจึงหลงคิดไปว่าจิ้งจอกขาวคงเดินทางกลับไปยังลั่วชาเฟิงแล้ว

 

เอ๋? เช่นนั้นแล้วระหว่างทางหวังหงษ์เต๋ามิได้สังหารมันลงไปแล้วหรอกหรือ

 

-หรือว่าจริงๆแล้วกระทั่งหวังหงษ์เต๋าเองก็ยังไม่อาจค้นพบถึงตัวตนของมันได้?

 

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ในหัวใจของกู่ฉิงซานก็เปลี่ยนเป็นร้ายแรงโดยสมบูรณ์

 

เขาคว้าจับดาบพิภพในมือ

 

“ดูเหมือนว่าจะมีการเข้าใจผิดกันเกิดขึ้นนะ พวกเจ้าจงอย่าพึ่งกังวลไปเลย” จิ้งจอกขาวกล่าว

 

พร้อมกับปลดปล่อยแรงกดดันอันทรงพลานุภาพออกมา

 

แรงกดดันเช่นนี้ มันทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง ถึงชนิดที่ว่าส่งผลให้ตลอดทั้งค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกเกิดการสั่นกระเพื่อม

 

และกระทั่งตัวหวังหงษ์เต๋าเองก็มิอาจทำเช่นนี้ได้

 

“เหนือยิ่งกว่าขอบเขตลมปราณจิต … ” ฉินรั่วเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง แต่ก็ดังฟังชัด

 

คนทั้งหลายหันมาส่งสายตาให้กันอย่างรวดเร็ว

 

ฉินรั่วกับว่านเอ๋อมิได้จีบมือเตรียมจะใช้ออกด้วยเทคนิคมนตราใดๆ ขณะที่กู่ฉิงซานและฉานนู่ก็เก็บดาบกลับคืนเช่นกัน

 

เพราะยามเมื่อต้องเผชิญกับการดำรงอยู่อย่างตัวตนดังกล่าวนี้ การต่อสู้ย่อมเป็นวิธีที่ไม่มีทางได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน

 

กู่ฉิงซานมองเข้าไปในดวงตาของจิ้งจอกขาว ปากเอ่ยกล่าวอย่างช้าๆ “ท่านแขกผู้มีเกียรติอุส่าห์มาเยี่ยมเยือน แต่กลับไม่ได้รับการต้อนรับที่ดี เกรงว่านิกายของข้าคงจะต้องขายหน้าแล้ว”

 

จิ้งจอกขาวกล่าว “เจ้าไม่จำเป็นต้องคิดมากเกี่ยวกับการต้อนรับข้าหรอก”

 

มองไปยังท่าทีของมัน ดูเหมือนว่าจะกำลังยิ้มอยู่

 

“ข้าคอยเฝ้าดูเจ้าตั้งแต่ที่เจ้าได้เข้าไปในห้องลับ และพบกับจิตวิญญาณของเฉียนซานเย่แล้ว” จิ้งจอกขาวกล่าว

 

“โอ้? เหตุใดท่านจึงสนใจในตัวข้าถึงเพียงนั้นกัน? ข้าก็เป็นแค่เพียงผู้ฝึกดาบธรรมดาๆเท่านั้นเองนะ” กู่ฉิงซานเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ

 

“เจ้าไม่จำเป็นต้องเจียมเนื้อเจียมตัวให้มันมากเกินไปนัก ขอบอกเลยว่ากระทั่งตัวข้าเองก็ยังต้องละทิ้งความอคติเดิมๆที่มีต่อ ‘โลกชั้นภายนอก’ ไป หลังจากที่ได้เห็นว่าเจ้าสามารถสังหารหวังหงษ์เต๋าและเฉียนซานเย่ลงได้”

 

จิ้งจอกขาวถอนหายใจและกล่าว “ขอบอกตรงๆเลยว่า หากจักให้บรรลุกลยุทธ์เช่นเจ้า ต่อให้เป็นตัวข้าเอง ก็คงจะไม่สามารถทำได้”