ตอนที่ 168 สองฝั่งเจอกัน งงเป็นไก่ตาแตก

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

คนที่เปิดประตูคืออาไห่

 

 

เมื่อเห็นชายหนุ่มสามคนที่ยืนอยู่นอกประตู เขาก็ชะงักไปเล็กน้อย

 

 

ในสามคนนี้เฉิงมู่ทำหน้าเย่อหยิ่ง แม้จะเป็นฤดูหนาวแต่ก็ใส่เพียงเสื้อนอกบางๆ ตัวหนึ่ง มองออกว่าเป็นคนชอบออกกำลังกาย

 

 

ไม่ต้องพูดถึงลู่จ้าวอิ่งกับเฉิงเจวี้ยน โดยเฉพาะเฉิงเจวี้ยน แม้ท่าทางจะดูเอื่อยเฉื่อย แต่กลิ่นอายที่เก็บงำกลับน่าตกใจ

 

 

“ทั้งสามท่าน เป็นเพื่อนของคุณหนูฉินสินะ เชิญเข้ามาได้เลย” ในใจอาไห่ตะลึงเล็กน้อย ไม่คิดว่าเลยว่าคุณหนูฉินจะมีเพื่อนที่มีมาดแบบนี้ด้วย

 

 

เขาเป็นคนที่ติดตามอาจารย์เว่ยยาวนานที่สุดคนหนึ่ง และเคยไปร่วมงานทั้งน้อยใหญ่ต่างๆ นานากับเขาด้วยเช่นกัน

 

 

เพียงแต่ว่าตระกูลน้อยใหญ่มากมายขนาดนี้ในเมืองหลวง เขาไม่มีทางจำคนของทุกตระกูลได้

 

 

โดยเฉพาะเฉิงเจวี้ยนที่เก็บเนื้อเก็บตัว หากแจ้งชื่อเขา คนทั้งเมืองหลวงจะเหมือนมีสายฟ้าฟาดดังขึ้นข้างหู แต่คนที่ได้เจอตัวจริงของเขา กลับมีเพียงน้อยนิด

 

 

เขาเป็นคนในแวดวงนี้ที่คนทั้งเมืองหลวงเข้าถึงได้ยากที่สุด

 

 

ส่วนลู่จ้าวอิ่งนั้น อาไห่รู้สึกคุ้นหน้าอีกฝ่าย แต่ไม่ได้คิดอะไรมาก ซ้ำยังไม่คิดไปถึงสกุลลู่หรือคุณชายลู่อะไรเทือกนั้นเลย

 

 

เขารู้รากเหง้าของฉินหร่าน ครอบครัวเฉินซูหลานคล้ายจะต่อต้านเมืองหลวงผิดธรรมดา

 

 

คิดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะมีเพื่อนที่อยู่ในเมืองหลวง

 

 

มิหนำซ้ำอีกฝ่ายยังเป็นคนของสกุลลู่ด้วย

 

 

“ขอบคุณครับ” เมื่อนึกได้ว่านี่อาจจะเป็นอาจารย์ของฉินหร่าน เฉิงเจวี้ยนก็ยืนตัวตรงเล็กน้อย เขามองอาไห่ โค้งตัวอย่างมีมารยาท

 

 

ทั้งสามคนตามอาไห่เข้าไปข้างใน เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็เห็นฉินหร่านนั่งรอพวกเขาอยู่ที่โซฟา

 

 

“ฉินเสี่ยวหร่าน” ลู่จ้าวอิ่งเร่งฝีเท้า ตรงไปทางฉินหร่าน เมื่อกวาดสายตา ก็เห็นพานหมิงเยว่ที่กำลังก้มหน้า เขายิ้มน้อยๆ “เพื่อนเธอก็มาด้วยเหรอ”

 

 

ห้องวีไอพีใหญ่มาก มีพื้นที่ร้อยกว่าตารางเมตร มีโต๊ะสองตัวตั้งอยู่ ด้านข้างมีไมโครโฟนกับจอภาพ ลึกเข้าไปอีกเป็นโต๊ะสนุกเกอร์กับห้องรับรองห้องหนึ่ง

 

 

โซนรับรองมีโซฟาสามแถว ตรงกลางเป็นโต๊ะชา

 

 

เฉียวเซิง เว่ยจื่อหังนั่งอยู่บนโซฟาฝั่งซ้าย ฉินหร่าน พานหมิงเยว่กับหลินซือหรานนั่งอยู่ที่โซฟาตัวกลาง เหลือโซฟาฝั่งขวา

 

 

เฉิงมู่นั่งลงข้างเฉียวเซิงไม่พูดไม่จา

 

 

เฉิงเจวี้ยนนั่งลงอีกมุมหนึ่งอย่างสบายๆ

 

 

ตอนแรกเฉียวเซิงกำลังคุยกับเว่ยจื่อหังอยู่ เมื่อเห็นลู่จ้าวอิ่งกับเฉิงเจวี้ยน เขาก็เงียบลงทันที

 

 

คำที่สวีเหยากวงกำชับเขายังจำได้ดี ครั้งก่อนหลังการประชุมผู้ปกครอง แม่ของเขาก็เคยพูดเรื่องเฉิงเจวี้ยนกับเขาเช่นกัน ไม่พูดอะไรมากนัก แต่เฉียวเซิงกลับจำได้ขึ้นใจ

 

 

คนพวกนี้ส่วนใหญ่ต่างก็รู้จักกัน หลินซือหรานกับเฉิงมู่ เฉิงเจวี้ยนเคยเจอกันแล้ว

 

 

พานหมิงเยว่กับเฉียวเซิงยิ่งไม่ต้องพูดถึง

 

 

คนรู้จักมาเจอกัน แม้จะเข้ากันไม่ได้แต่ก็ไม่อึดอัด

 

 

 

 

อีกด้านหนึ่ง หลังชายวัยกลางคนหลายคนกระซิบถามอาไห่ไม่กี่คำถามแล้ว ต่างก็พากันเดินมาทางฉินหร่าน

 

 

เมื่อผ่านการแนะนำของอาไห่ พวกเขาก็รู้แล้วว่าฉินหร่านก็คือลูกศิษย์ที่อาจารย์เว่ยจะรับ

 

 

อาจารย์เว่ยเป็นประธานของสมาคมไวโอลินแห่งประเทศ มีชื่อก้องโลก จวบจนตอนนี้จะไปชี้แนะนักเรียนใหม่ที่สมาคมในเมืองหลวงบ้างเป็นครั้งคราวเท่านั้น

 

 

ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงในตอนนี้ของเขา หรือความน่าเชื่อถือในวงการของเขา

 

 

ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน จุดเริ่มต้นของลูกศิษย์เขาก็สูงกว่าพวกเขาอยู่ดี

 

 

หากไม่ใช่เพราะลูกศิษย์ของอาจารย์เว่ยอยู่ในเมืองอวิ๋นเฉิงพอดี พวกเขาก็รู้ดีว่าตัวเองคงไม่มีโอกาสได้เจอแล้ว

 

 

ฉะนั้นก่อนที่อาจารย์เว่ยจะมา พวกเขาจึงขอทักทายฉินหร่านสักหน่อย

 

 

“คุณหนูฉิน สวัสดีครับ ผมเหวินอิน อาจารย์เคยสอนผมอยู่หลายคลาส…” คนที่มีความเกี่ยวข้องกับอาจารย์เว่ยแนะนำตัวเองก่อน

 

 

ตอนแรกฉินหร่านนั่งพิงโซฟา มือเท้าคาง ท่าทางดูไม่ยี่หระ

 

 

เมื่อเห็นพวกเขามา ก็ลุกขึ้นทักทายพวกเขาอย่างมีมารยาท

 

 

แต่ละคนใช้เวลาราวๆ ห้าหกนาที กว่าคนกลุ่มนี้จะจากไป

 

 

“พวกเขาเป็นนักเรียนของอาจารย์เธอหมดเลยเหรอ” ลู่จ้าวอิ่งมองกลุ่มคนที่อยู่ไม่ไกลอย่างประหลาดใจ เป็นคนวัยกลางคนแทบจะทั้งหมด สวมสูทรองเท้าหนังมีมาดของนักวรรณกรรม “มีมารยาทกับเธอทีเดียว”

 

 

ฉินหร่านนั่งลง กลับสู่สภาพที่เป็นมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ตอบแค่ ‘อืม’

 

 

ลู่จ้าวอิ่งละสายตา เขาไม่คิดเลยว่า อาจารย์คนนี้ของฉินหร่านดูเหมือนจะใช้ได้ ไม่เหมือนอย่างที่เขาคิดไว้ “ไม่เห็นอาจารย์ของเธอเลย เขายังไม่มาเหรอ สอนอะไรเธอน่ะ”

 

 

อย่าว่าแต่ลู่จ้าวอิ่งเลย พวกเฉียวเซิง หลินซือหรานกับเฉิงมู่ล้วนให้ความสนใจกับคำถามนี้มาก

 

 

พวกเขาละสายตาจากกลุ่มคนเมื่อครู่นี้ เบนสายตามาทางฉินหร่าน

 

 

เฉิงเจวี้ยนล้วงไฟแช็กออกจากกระเป๋า ไม่หยิบบุหรี่ออกมา เพียงแค่เล่นมันอยู่อย่างนั้น

 

 

พอได้ยินก็ช้อนตาขึ้นมองฉินหร่านแวบหนึ่ง

 

 

ฉินหร่านนั่งด้านนอกสุดของโซฟาตัวนี้ มือของเธอวางบนที่วางแขน อีกข้างถือถ้วยชา กำลังดื่มทีละคำ

 

 

“อ๋อ” เมื่อได้ยินคำถามนี้ เธอก็กระแอมเล็กน้อย ไม่ปิดบัง พูดออกมาตามจริงว่า “ไวโอลิน”

 

 

เรื่องที่ฉินหร่านเล่นไวโอลินเป็น เฉียวเซิงกับหลินซือหรานเคยได้ยินมาก่อนแล้ว

 

 

ทั้งคู่ไม่แปลกใจกับสิ่งนี้

 

 

แต่พวกเฉิงมู่กับลู่จ้าวอิ่งไม่มีใครรู้เลย

 

 

เฉิงเจวี้ยนนั่งพิงโซฟา หันหน้ามาเล็กน้อย คิ้วสวยได้รูปเลิกขึ้น “เธอเล่นไวโอลินเป็นด้วยเหรอ”

 

 

“อืม” ฉินหร่านหรี่ตา ตอบอย่างเชื่องช้า

 

 

“ไม่สิ ทำไมเธอไม่เคยบอกละว่าเล่นไวโอลินเป็น” ลู่จ้าวอิ่งยืดตัวนั่งตรง เขามองฉินหร่านด้วยความแปลกใจอย่างมาก

 

 

มือของเฉิงมู่ยังคงถือน้ำแก้วหนึ่งอยู่ เพราะกลางคืนต้องขับรถ เขาจึงไม่หยิบเหล้า ตอนนี้ก็ยากจะปิดบังความตกใจ เพราะมองแล้วฉินหร่านดูไม่เหมือนคนที่เล่นไวโอลินเป็นเท่าไรนัก

 

 

โดยทั่วไปแล้วคนประเภทนี้มักจะมีสมาธิสูง แต่ฉินหร่านไม่ เธอเป็นคนที่คัดลายมือไม่ถึงสิบนาทีก็รู้สึกหงุดหงิดแล้ว

 

 

จะโยนปากกาทิ้งไปอีกทางอยู่บ่อยๆ

 

 

ฉินหร่านมองลู่จ้าวอิ่งแวบหนึ่ง วางถ้วยชาลงบนโต๊ะแล้วเลิกคิ้ว “ทำไมฉันต้องบอกนายด้วยว่าฉันเล่นไวโอลินเป็น”

 

 

ลู่จ้าวอิ่ง “…”

 

 

 

 

ในขณะนั้นเอง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีกครั้ง

 

 

อาไห่ยืนอยู่บริเวณที่ไม่ไกลจากประตู อาจารย์เว่ยบอกว่าเจียงหุยใกล้จะมาถึงแล้ว เขาจึงรออยู่ข้างประตูตลอดเวลา

 

 

เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู เขาก็ก้าวเข้าไปเปิดประตู

 

 

คนที่เข้ามาเป็นชายวัยกลางคนสองคน

 

 

คนหนึ่งใบหน้ายิ้มแย้ม แลดูน่าเกรงขามไม่เบา ดูเหมือนนักการเมืองที่คาดเดาได้ยากอย่างยิ่ง

 

 

อีกคนสวมชุดลำลองสบายๆ แต่ท่าทางกลับดูน่าเกรงขาม เย็นชา เข้าถึงยาก

 

 

เหมือนสามคนก่อนหน้านี้ ต่างก็ไม่ใช่คนธรรมดา

 

 

แขกที่อาจารย์เว่ยเชิญ อาไห่มีรายชื่ออยู่ในมือ หาคนที่มีลักษณะและอายุใกล้เคียงกับสองคนนี้ไม่เจอเลยสักคน

 

 

“ไม่ทราบว่า คุณหนูฉินอยู่ที่นี่ใช่ไหม” เฟิงโหลวเฉิงยิ้มให้อาไห่ ท่าทีสุขุมมีมารยาท

 

 

ส่วนผู้บัญชาการเฉียนที่อยู่ข้างเขากลับเห็นฉินหร่านที่นั่งอยู่ข้างในภายในแวบเดียว

 

 

“ทั้งสองท่านเป็นแขกของคุณหนูฉินสินะ เชิญด้านในครับ” ในใจของอาไห่ตกตะลึง แต่ภายนอกกลับไม่แสดงออกเลยสักนิด เบี่ยงตัวเชิญเฟิงโหลวเฉิงกับผู้บัญชาการเฉียนเข้าไป

 

 

โซฟาทางฝั่งฉินหร่านยังนั่งไม่เต็ม แต่คนกลุ่มนี้ไม่มีทางนั่งร่วมกันแน่นอน อาไห่จึงให้พนักงานขนเก้าอี้สองตัวไป และสั่งให้คนเสิร์ฟน้ำผลไม้ด้วย

 

 

กลุ่มคนในสมาคมไวโอลินเมืองอวิ๋นเฉิงลุกขึ้น เดินไปฝั่งฉินหร่านอีกครั้ง

 

 

“ประธานเหวิน พวกคุณไปทักทายคุณหนูฉินเมื่อกี้แล้วไม่ใช่เหรอครับ” อาไห่ครุ่นคิดครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เอ่ยถาม

 

 

ฉินหร่านไม่ค่อยมีความอดทน โดยเฉพาะกับพิธีรีตองเหล่านี้

 

 

เหวินอินเงยหน้าขึ้น เขามองอาไห่แวบหนึ่ง ลังเลอยู่ชั่วขณะ “ผู้นำตระกูลอันดับหนึ่งของเมืองอวิ๋นเฉิงอยู่ทางนี้ ถ้าพวกเราไม่มาทักทาย เหมือนจะดูไม่ค่อยดี”

 

 

เฟิงโหลวเฉิงเป็นคนเที่ยงตรง อยากพบเจอเขาในโอกาสอื่น ไม่ง่ายเท่าไรนัก

 

 

อาไห่ชะงัก เขาแทบจะสติแตกแล้ว “คุณว่าใครนะ”

 

 

“ผู้นำตระกูลเฟิงแห่งเมืองอวิ๋นเฉิง เฟิงโหลวเฉิง คนที่ใส่ชุดเทาที่เพิ่งเข้ามาเมื่อกี้นี้คนนั้นไงละ” เหวินอินขยับเข้ามาแล้วพูดเสียงเบา

 

 

พวกเขาคุยกับอาไห่เสร็จก็ตรงไปทางฉินหร่านอีกครั้ง เพื่อทักทายเฟิงโหลวเฉิง

 

 

แม้เมืองอวิ๋นเฉิงจะเล็ก แต่คนที่อยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารก็ไม่ใช่คนธรรมดาสามัญ มีสถานะใกล้เคียงกับสกุลเฉิงในเมืองอวิ๋นเฉิง มิหนำซ้ำการเลื่อนตำแหน่งของเฟิงโหลวเฉิงกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว เมื่อวานตอนที่อาจารย์เว่ยกับเจียงหุยเจอกัน ก็พูดถึงเฟิงโหลวเฉิงที่เที่ยงธรรมไม่เห็นแก่ใครคนนี้เหมือนกัน

 

 

ในวาจาไม่ขาดคำชื่นชม

 

 

ตอนแรกอาไห่คิดว่าคนที่ฝั่งฉินหร่านเชิญมาจะมีแต่นักเรียน ไหนเล่าจะรู้ว่า แม้แต่เฟิงโหลวเฉิงก็เชิญมาด้วยงั้นเหรอ

 

 

ที่สำคัญคือเฟิงโหลวเฉิงมาจริงเสียด้วย

 

 

 

 

ทางด้านนี้ เฉินซูหลานกำลังเตรียมตัวออกจากโรงพยาบาลไปที่เอินอวี้

 

 

อาจารย์เว่ยคุยเรื่องออกโรงพยาบาลของเฉินซูหลานกับแพทย์เจ้าของไข้ของเธอ แพทย์เจ้าของไข้ก็ไม่ลังเล พูดทันทีว่าออกไปได้แน่นอน ไม่มีอะไรให้กังวลมากนัก

 

 

แต่เมื่ออาจารย์เว่ยมองหน้าแพทย์เจ้าของไข้ ในใจก็หนักอึ้งเช่นกัน

 

 

เขาไม่ค่อยมีความรู้ทางด้านการแพทย์มากนัก แต่ฟังอาการคร่าวๆ ในตอนนี้ของเฉินซูหลานจากปากแพทย์เจ้าของไข้ ก็รู้แล้วว่าร่างกายของเฉินซูหลานจวนจะถึงปลายทางแล้วจริงๆ

 

 

ยืนยันการคาดเดาที่เขาคิดตั้งแต่มาเมืองอวิ๋นเฉิง

 

 

“ลำบากคุณแล้ว” เขากล่าวขอบคุณแพทย์เจ้าของไข้

 

 

ตอนที่เดินมาถึงห้องของเฉินซูหลาน ชะงักครู่หนึ่งแล้วจึงยกมือขึ้นเคาะประตู

 

 

มู่หนานเป็นคนมาเปิดประตู พยาบาลช่วยเปลี่ยนชุดให้เฉินซูหลานในห้องน้ำ จากนั้นก็พยุงเธอออกมา

 

 

วันนี้สภาพของเฉินซูหลานดูดีทีเดียว ใบหน้ามีเลือดฝาด แลดูกระฉับกระเฉง

 

 

“คุณยาย เมื่อกี้คุณป้าโทรมา บอกว่าวันนี้ท่านกับคุณปู่หลินจะมาเยี่ยมคุณยาย ผมบอกแล้วว่าวันนี้คุณยายมีธุระ” มู่หนานยื่นมือถือให้เฉินซูหลาน

 

 

เฉินซูหลานก้มมองแวบหนึ่งแต่ไม่รับ พูดเสียงเรียบว่า “แกเก็บไว้ให้ยายที หากว่าเธอโทรมาอีก แกก็บอกว่าวันนี้ยายออกไปเที่ยว ไม่มีเวลา”

 

 

มู่หนานไม่รู้เรื่องราวระหว่างพวกหนิงฉิงกับเฉินซูหลาน แต่เขาเชื่อฟังเฉินซูหลาน

 

 

ผงกหัวหน้าเล็กน้อยไม่ถามอะไร ยัดมือถือของเฉินซูหลานใส่กระเป๋ากางเกงของตัวเอง

 

 

“มู่หยิงยังไม่กลับมาเหรอ” เฉินซูหลานหยุดคิดครู่หนึ่งแล้วถามออกมา

 

 

มู่หนานพยักหน้า ไม่พูดอะไร

 

 

เฉินซูหลานเงียบลง ไม่พูดอะไรอีก

 

 

วันนี้เธออารมณ์ดี จึงไม่ถือสาหนิงฉิงกับมู่หยิง ชะงักเล็กน้อยแล้วหันหน้าไปถามมู่หนาน “แม่แกยังยุ่งอยู่เหรอ”

 

 

มู่หนานหลุบตาลง แพขนตายาวปิดคลุมสีดำสนิทในดวงตา “อืม”

 

 

เฉินซูหลานยังคงยิ้ม พยักหน้า ไม่พูดอะไรอีก

 

 

วันนี้อาจารย์เว่ยให้คนขับรถลีมูซีน

 

 

เฉินซูหลานกับมู่หนานนั่งอยู่แถวหลัง เขากลับนั่งตำแหน่งข้างคนขับ

 

 

กลางคืนคนเลิกงานเยอะ ขับรถเกือบสี่สิบนาที กว่าจะถึงหน้าประตูเอินอวี้

 

 

อาจารย์เว่ยเพิ่งเปิดประตูลงจากรถ

 

 

มือถือในมือก็แผดเสียงขึ้นมา

 

 

อาจารย์เว่ยกดรับ เป็นสายจากเจียงหุย

 

 

เขามองเฉินซูหลานที่ถูกมู่หนานประคองลงจากรถ จากนั้นก็ยิ้ม “พอดีเลย เจียงหุยก็เพิ่งถึงเหมือนกัน” เจียงหุยเป็นแขกคนสำคัญในวันนี้ของเขา สกุลเจียงก็มีฐานะในแวดวงเมืองหลวงเช่นกัน

 

 

ฉินหร่านยังไม่ได้ไปเมืองหลวง อาจารย์เว่ยก็ปูทางไว้ให้เธอแล้ว

 

 

 

 

บนตึก

 

 

เจียงหุยมาถึงก่อนอาจารย์เว่ยก้าวหนึ่ง

 

 

แม้อายุอานามจะปาเข้าเลขสี่แล้ว แต่มองดูแล้วเหมือนอายุแค่สามสิบต้นๆ อำนาจที่แฝงเร้นลึกล้ำมากทีเดียว

 

 

เหล่าผู้เฒ่าไม่น้อยในเมืองหลวงต่างก็รับมือกับฝีมือของเขาไม่ได้

 

 

ที่ผ่านมาทุกครั้งที่อาไห่เห็นเจียงหุย มักจะเผลอหลบสายตาของเขาทุกครั้ง

 

 

ตอนนี้เมื่อเห็นเจียงหุย จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่า เมื่อเทียบกับเพื่อนหนุ่มพวกนั้นของฉินหร่านก่อนหน้านี้ เหมือนจะไม่แตกต่างกันมากนัก “คุณชายเจียง เชิญด้านใน” อาไห่เบี่ยงตัวหลบให้เจียงหุยเข้าไปก่อน

 

 

อาไห่รู้ตั้งแต่ก่อนจัดเรียงที่นั่งแล้ว ให้เจียงหุยอยู่กับวัยรุ่นอย่างพวกฉินหร่านไม่เหมาะสม ให้ไปอยู่กับกลุ่มสมาคมไวโอลินก็ไม่เหมาะสมเช่นกัน

 

 

ตอนแรกเขาตั้งใจว่าจะให้เจียงหุยนั่งที่โต๊ะหลักก่อนรอให้อาจารย์เว่ยมา แต่ตอนนี้เมื่อนึกขึ้นได้ว่าในกลุ่มของฉินหร่านมีเฟิงโหลวเฉิงอยู่ด้วย ก็เกิดลังเลขึ้นมา

 

 

แต่ทว่าอาไห่ลังเลได้ไม่นาน ก็ไม่รู้ว่าเจียงหุยเห็นอะไรเข้า เดินดุ่มไปทางฉินหร่านทันที

 

 

อาไห่รู้ว่าที่อาจารย์เว่ยเชิญเจียงหุยมาก็เพื่อปูทางให้ฉินหร่าน

 

 

จึงให้พนักงานขนเก้าอี้ตัวหนึ่งมาและตามไปด้วย

 

 

เจียงหุยเห็นผู้บัญชาการเฉียนกับเฟิงโหลวเฉิงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้สองตัว เขาชะงักไปครู่หนึ่ง เตรียมจะเดินไปทางเขา แต่เมื่อเห็นกลุ่มวัยรุ่นบนโซฟา…

 

 

เขา “…”

 

 

สายตามองจากใบหน้าเฉิงเจวี้ยนมาที่ใบหน้าของฉินหร่าน จากนั้นมองลู่จ้าวอิ่ง ตามมาด้วยเฉิงมู่ อ้าปากน้อยๆ คนที่สุขุมอย่างเขา ตอนนี้ก็มีความประหลาดใจเล็กน้อยเหมือนกัน “ไม่สิ คุณชายเฉิง พวกคุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

 

 

สองคนนี้ก็ไม่สนใจไวโอลินเช่นกัน อาจารย์เว่ยคงไม่มีทางเชิญพวกเขาหรอกมั้ง

 

 

อีกอย่าง…

 

 

ลู่จ้าวอิ่งยังพอว่า เฉิงเจวี้ยนเป็นคนที่ใครอยากเชิญก็เชิญได้งั้นเหรอ

 

 

เฉิงมู่วางแก้วน้ำลง มองเจียงหุยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “คุณชายเจียง พวกเราก็อยากรู้เหมือนว่า คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

 

 

นี่มันงานไหว้ครูของคุณหนูฉินไม่ใช่เหรอ

 

 

สองฝ่ายสบตากัน สีหน้างุนงง