ตอนที่ 169 เสี่ยวกู้ล่ะ

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

อาไห่กำลังสั่งให้พนักงานขนเก้าอี้ไป

 

 

เมื่อเดินมา เตรียมจะเอ่ยปากแนะนำเจียงหุยให้ฉินหร่านรู้จัก ก็ได้ยินเสียงเจียงหุยคุยกับเฉิงมู่

 

 

สกุลเฉิงเป็นสกุลใหญ่ในเมืองหลวง แต่ทว่า…

 

 

คำว่า ‘คุณชายเฉิง’ ที่หลุดออกจากปากเจียงหุยกลับพบเจอได้ไม่บ่อย

 

 

อาไห่แทบจะไม่ต้องคิดเลย ฐานะของเฉิงเจวี้ยนก็โผล่ขึ้นมาในสมองทันที

 

 

เขามองเฉิงเจวี้ยนแวบหนึ่ง จากนั้นก็มองลู่จ้าวอิ่งที่นั่งข้างเฉิงเจวี้ยน แม้เขาจะนับว่าหูตากว้างขวาง นิสัยเด็ดเดี่ยว สมองก็มึนงงอยู่บ้างเหมือนกัน

 

 

มองพวกลู่จ้าวอิ่งอย่างตะลึงงัน

 

 

เพราะเขานึกขึ้นได้ว่า ตอนที่ทั้งสามคนเข้ามา ยังทักทายตัวเองอย่างสุภาพนอบน้อมเป็นอย่างมาก…

 

 

ลู่จ้าวอิ่งกับเฉิงเจวี้ยนสบตากันแวบหนึ่ง

 

 

เฉิงเจวี้ยนเหลือบมองฉินหร่าน ฉินหร่านสงบกว่าคนอื่น เธอพิงโซฟา ก้มหน้าลงเล็กน้อย ถือมือถือเหมือนกำลังคุยกับใครอยู่

 

 

เว่ยจื่อหังนั่งนิ่งตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ ถ้ามีคนมาเขาก็จะลุกขึ้นทักทาย

 

 

เฉียวเซิงกับหลินซือหรานนั่งงงตั้งแต่ต้นจนจบ

 

 

หลินซือหรานยังดี เธอไม่รู้จักเฉิงเจวี้ยนไม่รู้จักลู่จ้าวอิ่ง หน้าของเฟิงโหลวเฉิงจะมีให้เห็นแค่ในข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์เท่านั้น ประชาชนตัวเล็กๆ อย่างเธอย่อมไม่สังเกตเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว

 

 

แต่เฉียวเซิงไม่เหมือนกัน เขาไม่เพียงรู้เรื่องเฉิงเจวี้ยนกับลู่จ้าวอิ่งมาจากสวีเหยากวงเท่านั้น แต่เฟิงโหลวเฉิงเขาก็รู้จักเหมือนกัน

 

 

ตอนแรกเขาคิดว่าแค่กินข้าวกันง่ายๆ เท่านั้น แต่เจ๊หร่านเชิญคนพวกนี้มาได้อย่างไรกัน

 

 

“คุณอาเจียง เชิญนั่งครับ” ลู่จ้าวอิ่งได้สติ ชี้เก้าอี้ที่พนักงานเพิ่งขนมาพลางเอ่ยปาก นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วถามคำถามที่ตัวเองอยากรู้ “ใครเป็นคนเชิญคุณอามาเหรอครับ”

 

 

เมื่อได้ยินคำถามของลู่จ้าวอิ่ง เฉิงมู่ก็จ้องเจียงหุยอย่างไม่วางตา

 

 

งานไหว้ครูของฉินหร่าน พวกเฉิงมู่คิดว่าเป็นงานเลี้ยงทั่วไปมาตลอด เพราะเขากับลู่จ้าวอิ่งพูดไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วว่าฉินหร่านกับเพื่อนของเธอยากจนมาก

 

 

แต่ใครจะรู้ว่า ตั้งแต่เริ่มเข้ามาในชั้นบนสุด ทุกอย่างก็ดูจะไม่ชอบมาพากล

 

 

ผู้บัญชาการเฉียนเขาเข้าใจได้ แต่การปรากฏตัวของเฟิงโหลวเฉิงเริ่มทำให้ความคิดของเฉิงมู่วุ่นวายแล้ว

 

 

แค่งานไหว้ครู ยังสามารถเชิญเฟิงโหลวเฉิงผู้ที่ยุ่งกับงานตลอดเวลาไม่ประจบสอพลอใครมาได้ เท่านี้ยังไม่พอ แต่เจียงหุยมันเรื่องอะไร!

 

 

เจียงหุยนั่งลงบนเก้าอี้ ยื่นมือไปหยิบถ้วยชาบนโต๊ะขึ้นมา เขามองกลุ่มคนที่นั่งบนโซฟา กระแอมไอ กำลังจะอ้าปากพูดว่าอาจารย์เว่ยเป็นคนเชิญเขามา

 

 

มู่หนานก็พยุงเฉินซูหลานเข้ามาข้างในพร้อมกับอาจารย์เว่ย

 

 

อาไห่ได้สติแล้ว ก้าวเข้ามาช่วยมู่หนานพยุงเฉินซูหลาน

 

 

“อาจารย์เว่ย” เมื่อเห็นอาจารย์เว่ย เจียงหุยก็วางถ้วยชาลง ลุกขึ้นทันที เดินออกไปข้างหน้าไม่กี่ก้าว เอ่ยทักทายอาจารย์เว่ยอย่างมีมารยาทก่อน

 

 

จากนั้นหันหน้าเล็กน้อย มองพวกเฉิงเจวี้ยนที่ลุกขึ้นแล้ว พูดขึ้นมาว่า “อาจารย์เว่ยรับลูกศิษย์ผู้สืบทอดโดยตรง วันนี้ผมมาเพราะอยากเห็นว่าที่ประธานโรงละครแห่งชาติสักหน่อย”

 

 

เมื่อพูดประโยคนี้จบ เขาพบว่าลู่จ้าวอิ่งกับเฉิงมู่แน่นิ่งไปแล้ว

 

 

มีเพียงเฉิงเจวี้ยนที่ชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็ได้สติ เขาเดินมาข้างหน้าสองก้าว ทักทายอาจารย์เว่ยอย่างมีมารยาท

 

 

“คุณย่าเฉิน” เฉิงเจวี้ยนมองคุณย่าเฉิน ทักทายเธอด้วยความสุภาพอย่างยิ่ง

 

 

นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วมองอาจารย์เว่ย “อาจารย์เว่ย”

 

 

ตอนแรกอาจารย์เว่ยกำลังคุยกับเจียงหุย กวักมือจะเรียกให้ฉินหร่านเข้ามาทักทายเจียงหุย

 

 

เขาไม่ใช่อาไห่ ย่อมรู้จักพวกลู่จ้าวอิ่งกับเฉิงเจวี้ยนเป็นธรรมดา แต่เมื่อเขาเห็นเฉิงเจวี้ยนในงานรับศิษย์ เขาก็ชะงักไปเหมือนกัน

 

 

ในใจตกตะลึง แต่ใบหน้าไม่แสดงอาการอะไรเลยสักนิด “หรานหร่าน นี่คือเจียงหุย เธอเรียกเขาว่าอาเจียงก็พอแล้ว” ฉินหร่านเรียกอาเจียงอย่างมีมารยาท

 

 

เจียงหุยเหลือบมองเฉิงเจวี้ยน ไม่ค่อยขานรับกลับมากนัก

 

 

คนมากันครบแล้ว อาจารย์เว่ยจึงให้ทุกคนกลับไปนั่งที่ก่อน

 

 

คุณย่าเฉินกับอาจารย์เว่ยนั่งอยู่ตรงกลาง เจียงหุยนั่งข้างอาจารย์เว่ย ข้างคุณยาเฉินมีที่ว่างสองที่ ไม่มีใครกล้านั่งเลย

 

 

ยกให้ฉินหร่านกับเฉิงเจวี้ยนไปโดยปริยาย

 

 

 

 

ลู่จ้าวอิ่งนั่งลงบนโซฟาตัวแข็งทื่อ ตอนนี้ได้สติกลับมาแล้ว เขาหันมองเฉิงมู่ “สรุปแล้ว อาจารย์ที่ฉินเสี่ยวหร่านจะฝากตัวเป็นศิษย์ที่จริงก็คืออาจารย์เว่ยงั้นเหรอ”

 

 

เจียงหุยชื่นชอบเรื่องเหล่านี้คนในวงการต่างก็รู้ดี และรู้จักเขากับอาจารย์เว่ย เมื่อเป็นแบบนี้ เจียงหุยมาอยู่ที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องเข้าใจยาก

 

 

แต่สิ่งที่ทำให้คนคิดไม่ตกมากที่สุดคือ… ฉินหร่านเป็นลูกศิษย์ที่อาจารย์เว่ยจะรับงั้นเหรอ!

 

 

เฉิงมู่พยักหน้าอย่างเฉื่อยชา

 

 

เขาสูญเสียสมองไปแล้วอย่างสิ้นเชิง

 

 

เมื่อวานลู่จ้าวอิ่งถามฉินหร่าน ฉินหร่านว่าอย่างไรนะ…

 

 

เฉิงมู่ครุ่นคิดด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ผู้อาวุโสคนหนึ่ง

 

 

ข้างๆ เขา หลินซือหรานกับเฉียวเซิงเองก็กำลังซุบซิบกันอยู่เช่นกัน

 

 

“เฉียวเซิง ฉันเคยได้ยินชื่ออาจารย์เว่ยมาก่อนหรือเปล่า คุ้นหูมากเลย” นี่เป็นเสียงที่เบามากของหลินซือหรานที่กระเถิบเข้าไปใกล้หูเฉียวเซิง

 

 

แต่เฉิงมู่ก็ได้ยินอยู่ดี

 

 

เขายื่นมือออกไปเทน้ำส้มเย็นให้ตัวเองแก้วหนึ่ง ยกขึ้นจิบคำหนึ่ง

 

 

คิดในใจว่า มันต้องแบบนี้สิ คนอย่างหลินซือหรานนี่สิเป็นแวดวงเพื่อนปกติของฉินหร่านที่เขารู้จัก

 

 

“ไม่ใช่แค่คุ้นหูนะ” เฉียวเซิงหันหน้ามา เขาได้ยินเสียงของวิญญาณตัวเองกำลังล่องลอย “นี่เป็นอาจารย์ที่ฉินอวี่จะไปฝากตัวที่เมืองหลวง”

 

 

เรื่องพวกนี้เฉียวเซิงได้ยินมาจากปากสวีเหยากวงทั้งนั้น

 

 

แต่ตอนหลังได้ยินสวีเหยากวงพูดอีกว่า อาจารย์เว่ยไม่รับฉินอวี่เป็นศิษย์ ฉินอวี่ไปฝากตัวกับอาจารย์อีกท่านหนึ่ง

 

 

สวีเหยากวงชอบไวโอลิน เรื่องของอาจารย์เว่ย เขาก็เคยพูดกับเฉียวเซิงอยู่บ้างเหมือนกัน

 

 

ตอนนั้นเฉียวเซิงยังอุทานอยู่ว่าอาจารย์เว่ยคนนั้นต้องสูงส่งขนาดไหนกัน

 

 

เพราะไวโอลินของฉินอวี่ยอดเยี่ยมในสายตาของคนทั้งโรงเรียนอีจงเป็นอย่างมาก

 

 

ตอนที่ทุกคนเห็นว่าครูสอนไวโอลินที่ฉินหร่านจะฝากตัวเป็นศิษย์ คืออาจารย์เว่ย เฉียวเซิงก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร

 

 

เขาเพียงแค่หยิบมือถือขึ้นมา ส่งเครื่องหมายตกใจยาวเหยียดไปให้สวีเหยากวง เพื่อแสดงความตะลึงของเขา

 

 

สวีเหยากวงส่งเครื่องหมายคำถามมาตัวเดียว

 

 

เฉียวเซิงส่งไปอีกว่า ‘นายต้องคิดไม่ถึงแน่ว่าอาจารย์ที่เจ๊หร่านจะฝากตัวเป็นศิษย์เป็นใคร!’

 

 

สวีเหยากวงไม่ส่งเครื่องหมายคำถามมาอีก บ่งบอกว่าเขาไม่สนใจ

 

 

แต่เฉียวเซิงกลับทนไม่ไหว เขาหันไปคุยกับเว่ยจื่อหังที่นั่งอยู่ทางซ้ายมือ “ตอนนั้นที่นายพูดจริงหรือเปล่า ที่บอกว่าเคยได้ยินไวโอลินที่เล่นได้เพราะกว่าฉินอวี่น่ะ”

 

 

ก่อนหน้านี้ได้ยินเว่ยจื่อหังพูดตลอดเวลาว่าฉินอวี่เล่นได้ไม่เพราะ เฉียวเซิงไม่ได้สนใจแต่อย่างใด คิดว่าเว่ยจื่อหังอยากคิดอุตริ อยากได้ความสนใจจากฉินอวี่ แต่หลังจากนั้นเว่ยจื่อหังก็ไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นกับฉินอวี่

 

 

ตอนนี้เฉียวเซิงเชื่อแล้ว สิ่งที่เว่ยจื่อหังพูดตอนนั้นอาจเป็นความจริง

 

 

เว่ยจื่อหังเพียงแค่ชายตามองเฉียวเซิงแวบหนึ่ง ท่าทางดูเย้ยหยัน สีหน้าเหมือนกำลังมองคนโง่อย่างไรอย่างนั้น

 

 

 

 

บอกว่าเป็นงานเลี้ยงกินข้าวเป็นเรื่องปลอม อาจารย์เว่ยแค่อยากปูทางให้ฉินหร่านล่วงหน้าก็เท่านั้น

 

 

คนบนโต๊ะที่กินข้าวจริงๆ มีอยู่ไม่กี่คน

 

 

“คุณย่าเฉิน ผมเฟิงโหลวเฉิงครับ” เฟิงโหลวเฉิงกับผู้บัญชาการเฉียนแนะนำตัวกับเฉินซูหลาน พวกเขาเรียกคุณย่าตามศักดิ์ของฉินหร่าน การกระทำและวาจา ให้ความเคารพเป็นอย่างมาก

 

 

เฉินซูหลานมองทั้งคู่ยิ้มๆ “ฉันรู้ พวกคนสองคนเป็นตำรวจที่หรานหร่านเคยเล่าให้ฉันฟังก่อนหน้านี้”

 

 

ผู้บัญชาการพยักหน้าเป็นจริงเป็นจัง “ใช่ครับ”

 

 

พวกลู่จ้าวอิ่งกับเฉิงมู่ที่รู้ตัวจริงของทั้งสองคน “…”

 

 

ผู้บัญชาการเฉียนมือวางอันดับหนึ่งของหน่วยอาชญากรรมในประเทศ บอกว่าเขาเป็นตำรวจ ก็ดูจะไม่แปลกอะไร…

 

 

เจียงหุยเพิ่งเคยได้ยินการแนะนำเช่นนี้เป็นครั้งแรก เขาอดกระแอมไม่ได้เกือบจะทำตัวเองสำลักเสียแล้ว

 

 

เรื่องของสวีเซิ่นครั้งก่อน เจียงหุยก็เคยเข้าร่วมเช่นกัน รู้จักฉินหร่าน แต่ตอนนั้นเขาเพียงแค่แปลกใจ ไม่ได้สนใจฉินหร่านขนาดนั้น

 

 

ตอนนี้เขามองกลุ่มคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะ โดยเฉพาะเฉิงเจวี้ยน ลู่จ้าวอิ่ง เฟิงโหลวเฉิงและผู้บัญชาการเฉียน คนพวกนั้นไม่ใช่คนที่จะเชิญได้ตามอำเภอใจ

 

 

เฟิงโหลวเฉิงใกล้จะเลื่อนขั้นแล้ว ต่อไปเมื่อไปเมืองหลวงก็ไม่ใช่ตำแหน่งกระจอกอะไร ทางด้านฝีมือ เขากับเจียงหุยสูสีคู่คี่กัน

 

 

เมื่อวานเขาก็ได้เจออาจารย์เว่ยแล้ว รู้ว่าอาจารย์เว่ยไม่ใช่คนเชื้อเชิญคนเหล่านี้

 

 

เจียงหุยก้มหน้า ดื่มเหล้ากับอาจารย์เว่ยแก้วหนึ่ง พูดอย่างมีเลศนัยว่า “อาจารย์เว่ย ศิษย์ของคุณคนนี้ไม่ธรรมดาเลย”

 

 

เด็กคนนี้อยู่แค่มัธยมปลายปีสาม ต่อไปหากเข้าเมืองหลวง ไม่ถล่มทลายเลยเหรอ

 

 

อย่าว่าแต่เขาเลย อาจารย์เว่ยเองก็แปลกใจมากเช่นกัน ตอนแรกเขากับอาไห่คิดว่าเพื่อนของฉินหร่านเป็นเพื่อนร่วมห้องของเธอ ใครจะรู้ว่าภูมิหลังไม่ธรรมดาเลยสักคน

 

 

ศิษย์ผู้สืบทอดโดยตรงหนึ่งเดียวของอาจารย์เว่ย เจียงหุยย่อมรอบคอบเป็นธรรมดา

 

 

ของขวัญที่เขามอบให้ฉินหร่านเป็นไวโอลินที่เป็นของสะสม

 

 

เจียงหุยไม่เล่นไวโอลิน แต่เขามีงานอดิเรกชอบสะสมไวโอลิน ไวโอลินหายากที่เห็นในงานประมูล เขามักจะอดใจไม่ไหวประมูลมาเสมอ

 

 

“หวังว่าอนาคตเธอจะเป็นเหมือนอาจารย์ของเธอ” เจียงหุยยิ้ม

 

 

เพราะเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์เว่ย เจียงหุยจึงให้ความสำคัญมาก สั่งให้คนส่งไวโอลินที่สะสมในเมืองหลวงของเขามาตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อนแล้ว

 

 

เขามองเฉิงเจวี้ยนกับลู่จ้าวอิ่งแวบหนึ่ง ทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อย มูลค่าอาจจะไม่พอ

 

 

เว่ยจื่อหังแค่ยื่นของขวัญชิ้นหนึ่งให้ฉินหร่านลวกๆ แถมยังบอกว่าให้กลับไปแกะที่บ้าน

 

 

เมื่อเห็นไวโอลินของเจียงหุย หลินซือหรานที่ลูบต้นหญ้าในกระเป๋าก็เกิดลังเลขึ้นมาแล้ว

 

 

วันนี้เฉินซูหลานดีใจมากเป็นพิเศษ เมื่อถามหมอแล้วว่าวันนี้เธอดื่มเหล้าไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะหมดสนุกเลยสักนิด

 

 

เธอถือถ้วยชามองคนบนโต๊ะ

 

 

“ไม่คิดเลยว่านิสัยอย่างหรานหร่าน จะมีเพื่อนเยอะขนาดนี้” เธออ่อนโยนเป็นมิตรอย่างมาก เดี๋ยวคุยกับพวกเฉิงเจวี้ยน เดี๋ยวคุยกับพวกหลินซือหรานและเฉียวเซิง

 

 

มองเว่ยจื่อหังกับพานหมิงเยว่พากันมอบของขวัญให้ฉินหร่าน

 

 

เฉินซูหลานเอนหลังพิงพนัก มือวางบนโต๊ะ

 

 

ฉินหร่านวางของขวัญทั้งหมดลงบนเก้าอี้ที่พนักงานขนมาให้โดยเฉพาะ เฉิงเจวี้ยนนั่งอยู่ข้างๆ เธอ ช่วยดึงเก้าอี้ออกให้เธออย่างไม่รีบร้อน

 

 

เฉินซูหลานกวาดตามองรอบโต๊ะ “หรานหร่าน เสี่ยวกู้ล่ะ เขาบอกในสายว่าเกิดเหตุสุดวิสัยนิดหน่อย อาจจะมาสายหน่อย ทำไมยังไม่ถึงอีกล่ะ”