ตอนที่ 195 รู้สึกปลาบปลื้มใจ

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 195 รู้สึกปลาบปลื้มใจ

แม้จะมีหมูหลายตัวแต่ก็มีแค่ 21 ตัวเท่านั้น ไม่มากพอจะเอาไปเชือด ต่อให้ทยอยชำแหละก็คงจะหมดในไม่กี่วัน แม้จะเอาหมูทั้งหมด 21 ตัวไปขายก็คงจะหมดอย่างรวดเร็วเป็นพิเศษอย่างแน่นอนถึงแม้ราคาเนื้อหมูในวันนี้จะสูงขึ้นก็ตาม

ลำพังแค่ซูจิ้นตั๋งกับเหล่าฉินก็ขายหมูกันไปคนละ 3 ตัว รวมเป็น 6 ตัวจาก 21 ตัวแล้ว ส่วนที่เหลืออีก 15 ตัวนั้นถูกนำไปขายที่เมืองมหาวิทยาลัย ซึ่งได้รับความนิยมจากลูกค้าเป็นอย่างมาก

เป็นธรรมดาที่ต้องจ่ายค่าแรงให้หลังชำแหละเสร็จ จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงจ่ายค่าแรงให้คนขายเนื้อหลี่หลังฆ่าหมูเสร็จ เดิมทีอีกฝ่ายไม่อยากรับไว้ แต่เป็นจี้เจี้ยนอวิ๋นที่ไม่ยอม ยืนกรานจะจ่ายเงินให้ได้ ต่อไปได้เกี่ยวดองเป็นครอบครัวเดียวกันค่อยมาช่วยงานก็ยังไม่สาย

ต่อให้กลายมาเป็นญาติกันแล้วก็ต้องตกลงกันให้ชัดเจนอยู่ดี จำเป็นต้องมาเกรงใจกันด้วยเรื่องเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยหรือ?

หมูทั้งหมดถูกชำแหละเรียบร้อยและขายออกไปเกือบหมดแล้ว จี้เจี้ยนอวิ๋นไม่ได้เก็บส่วนที่เหลือไว้มาก เว้นแต่ส่วนที่เก็บเอาไว้กินเอง

แม่ยายของเขานั้นได้ส่วนของไส้ เนื้อสามชั้น และซี่โครงบางส่วน นอกเหนือจากนั้นเป็นส่วนมันหมู ไม่ใช่ส่วนที่สำคัญอะไร

คุณพ่อกับคุณแม่จี้ได้ไปส่วนหนึ่งเช่นกัน เรียกได้ว่าปีนี้มีผลผลิตค่อนข้างอุดมสมบูรณ์เลยทีเดียว

ยิ่งช่วงนี้ลูกคนสุดท้องอย่างจี้อวิ๋นอวิ๋นกำลังจะมีงานมงคล คุณพ่อกับคุณแม่จี้ก็ยิ่งอารมณ์ดี

“ไส้ทอดจานนี้อร่อยมากเลยนะ คุณลองกินดูสิครับ”

จี้เจี้ยนอวิ๋นคีบไส้ทอดให้ภรรยากินระหว่างมื้ออาหาร แต่ซูตานหงยืนกรานว่าหากเขาไม่กินเธอก็จะไม่กินด้วย ไม่ว่าจะคะยั้นคะยอเท่าไรเธอก็ไม่ยอมกิน

เธอกินเพียงซี่โครงเท่านั้น หากแต่ไม่ใช่ความผิดของคนทำอาหาร ไม่ว่าจะล้างไส้สะอาดแค่ไหนเธอก็ยังเหม็นกลิ่นคาว

อีกทั้งรสชาติยังไม่ถูกลิ้น แค่แตะยังไม่อยากทำ นับประสาอะไรกับการเอาเข้าปากกัน ต่อให้จี้เจี้ยนอวิ๋นเป็นคนลงมือล้างให้เองเธอก็กินไม่ลงอยู่ดี

หากแต่จี้เจี้ยนอวิ๋นก็รู้ว่าจะต้องขอความช่วยเหลือจากใคร ด้วยกลัวว่าเธอจะอาเจียนออกมา เขาจึงยกไส้ทอดออกจากโต๊ะ ก่อนขอให้ป้าหยางมาช่วยดูให้

พูดถึงลุงกับป้าหยาง ครั้งนี้ทั้งสองได้ส่วนแบ่งจากการชำแหละหมูด้วยเช่นกัน จี้เจี้ยนอวิ๋นรู้ว่าฟันพวกเขาไม่ค่อยดี จึงหั่นหมูสามชั้นเป็นชิ้นบาง ๆ ให้ไปหลายชั่ง รวมถึงไส้หมูให้ลุงหยางไปทอดกินแกล้มเหล้าด้วย

ไม่ว่าจะเป็นหมูสามชั้นหรือไส้ก็ล้วนเอาไปทำอาหารได้หอมอร่อยทั้งนั้น

ตอนแรกทั้งสองปฏิเสธไม่รับไว้ แต่จี้เจี้ยนอวิ๋นก็ยังอยากตอบแทนที่พวกเขาช่วยเทียวมาดูแลที่บ้าน รวมถึงเลี้ยงเหรินเหรินกับฉีฉีให้ตอนที่ซูตานหงทำงานด้วย

ป้าหยางถึงได้ยอมรับเอาไว้

อันที่จริงพวกเขารู้ดีว่าเจี้ยนอวิ๋นคงมีทางตะล่อมให้พวกเขารับของเอาไว้ ตอนนี้เหรินเหรินรู้ความมากแล้วจึงต้องคอยสอนให้ดี ส่วนฉีฉีก็อยู่ในวัยกำลังซน ชอบคลานไปทั่ว ก่อนจะเริ่มเดินเตาะแตะได้บ้าง แม้หลายครั้งจะล้มแต่ก็ไม่เคยเห็นเขาร้องไห้สักครั้ง

สุดท้ายป้าหยางก็รับของมาจนได้ ผู้อาวุโสทั้งสองพึ่งพาตัวเองได้ แค่จัดการล้างไส้และหมักหมูสามชั้นกับเกลือไว้กินคราวหลังไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร

เมื่อป้าหยางผ่านมาเห็นจี้เจี้ยนอวิ๋นกำลังจัดการกับหมูสามชั้นและไส้หมูก็ถามขึ้น

นางหลุดหัวเราะเมื่อรู้ว่าซูตานหงไม่ยอมกินเพราะไม่ชอบกลิ่นคาว ก่อนแนะนำให้เคี่ยวไก่กับหมูสามชั้น แล้วค่อยโรยพริกไทยตามลงไปเล็กน้อย พอทำตามก็พบว่าทั้งรสชาติดีและไม่มีกลิ่นคาวแม้แต่น้อย

เมื่อเอาให้ซูตานหงชิมส่วนที่เคี่ยวกับไก่และหมูสามชั้นก่อนโรยพริกไทย เธอก็บอกว่ารสชาติอร่อยมาก

แม้แต่เธอยังชอบ นับประสาอะไรกับจี้เจี้ยนอวิ๋นกัน

“ยังมีหมูสามชั้นเหลืออยู่ เธอกินให้หมดได้เลยนะ”

ป้าหยางที่ช่วยแนะนำเอ่ยพลางส่งชามให้เธอ ก่อนกลับบ้านไปเมื่อเห็นว่าเธอนั่งกินกับลูกชายอย่างเอร็ดอร่อยซึ่งชวนให้ยิ้มออกมา

“ค่ะ!” ซูตานหงดูท่าทางถูกใจมาก ความเผ็ดร้อนของพริกไทยทำให้เหงื่อออก สร้างความอบอุ่นให้กับร่างกายได้ดีในช่วงอากาศหนาวอย่างนี้

ครั้งนี้ได้หมูสามชั้นมาจำนวนมาก นอกจากจะนำไปขายแล้ว จึงแบ่งให้คุณแม่ซูและคุณพ่อกับคุณแม่จี้เก็บไว้กินเองด้วย หากไม่ให้พวกนางเก็บไว้กินเองก็คงจะเอาไปขาย

ส่วนลุงจี้ครั้งก่อนเขาให้หัวหมูไป ไม่เหมือนครั้งนี้ที่ไม่ได้ให้อะไรไป ป้าหลี่ที่ได้ยินว่าเขาชำแหละหมูแล้วถึงกับมาบอกด้วยตัวเองว่าชอบกินเนื้อซี่โครงกับเนื้อติดมันมาก หากแต่จี้เจี้ยนอวิ๋นแสร้งเป็นไม่ได้ยินและทำเพียงยิ้มให้เท่านั้น

เขาได้ให้หมูส่วนหนึ่งไปแล้ว และควรจะพอเท่านั้น หากจะมาฉกฉวยผลประโยชน์กันอีกก็คงจะยอมไม่ได้

ด้านคนขายเนื้อหลี่ก็ได้ค่าแรงไปตามเหมาะสม นอกจากหัวหมูที่เขายกให้ในครั้งนั้นก็ไม่มีอย่างอื่นอีก

เขาทำเช่นนั้นก็เพียงเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาประทับใจในตัวหลี่จื้อ และครอบครัวจี้ไม่คิดคัดค้านการแต่งงานครั้งนี้ ซึ่งนับว่าเพียงพอแล้ว หากจะให้มากกว่านี้คงไม่เหมาะนัก

ส่วนคุณแม่ซูนั้นเป็นแม่ยาย เขาเองก็ต้องแสดงความกตัญญูอยู่แล้ว แต่เพราะว่าได้ช่วยเหลือซูจิ้นตั๋งกับซูจิ้นจวินไว้บ้าง จึงตอบแทนนางตามเหมาะสมเท่านั้น

แม้เขาจะคิดว่าทำไปตามความเหมาะสม หากแต่ในสายตาของคนอื่นมันกลับมากกว่านั้น คุณแม่ซูที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานาน ไม่เคยเจอลูกเขยคนไหนที่ดูแลแม่ยายดีเหมือนแม่แท้ ๆ อย่างเขามาก่อน

ทั้งหัวหมู ซี่โครง ไส้หมู หมูสามชั้น และมันหมูต่างเป็นของดีทั้งนั้น พวกเขาชำแหละหมูมาได้สักเท่าไรกัน? อุตส่าห์แบ่งมาให้นางมากขนาดนี้ได้?

แถมก่อนหน้านั้นอีกฝ่ายก็ซื้อส้มมาให้นางลังหนึ่งด้วย

อา เทียบไม่ได้ เทียบไม่ได้เลยกับลูกเขยของบรรดาพี่สาวน้องสาวพวกนั้น ที่อย่าว่าแต่นำของกลับมาให้เลย แค่ไม่ปล่อยให้ลูกสาวที่แต่งออกไปแล้วมาเอาเปรียบพวกตนก็นับว่าประเสริฐมากแล้ว!

เพราะว่าบ้านอยู่ไกลกันมาก คุณแม่ซูจึงไม่ค่อยได้ไปเยี่ยมเยียนบรรดาพี่สาวน้องสาวเท่าไรนัก

อีกทั้งยังอึดอัดที่พวกนางเอาแต่หมั่นไส้นางไม่เลิกด้วย

“คุณแม่คะ ปีนี้เราได้ของฝากมาเยอะเลยนะคะ” คนที่มีความสุขกับเรื่องนี้ที่สุดคงหนีไม่พ้นสะใภ้ใหญ่ซู

เมื่อรวมของที่จี้เจี้ยนอวิ๋นเอามาฝากกับที่ซูจิ้นตั๋งให้มาแล้ว ถือได้ว่าไม่น้อยเลยทีเดียว

ที่สำคัญคือหล่อนไม่ถูกแบ่งเงินค่าแรงสามีไปแล้ว ถึงได้มีเก็บเงินเป็นของตนเอง ชวนให้หล่อนมีความสุขมาก

คุณแม่ซูรู้ทันความคิดสะใภ้คนนี้ดี หากแต่นางไม่ได้ใส่ใจ ถึงอย่างไรปีนี้หล่อนก็ทำตัวดี จึงปล่อยผ่านและเรียกให้หล่อนมาหั่นซี่โครงกับเนื้อ

เมื่อก่อนนางต้องทำหั่นเนื้อทั้งหมดคนเดียว แต่ตอนนี้ได้มอบหมายให้สะใภ้ใหญ่ซูทำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

สะใภ้ใหญ่ซูปลาบปลื้มใจขึ้นมา หล่อนรีบเข้ามาช่วยเพราะรู้สึกว่านางคงต้องการส่งต่อหน้าที่ในครัวให้ จึงตั้งใจเชื่อฟังเป็นอย่างดี!