ตอนที่ 196 มูลค่าเงินลดลง

ผ่านไปเพียงพริบตาเดียว วันส่งท้ายปีเก่าก็มาเยือน

หลังเปิดร้านเป็นวันสุดท้ายของปีในวันที่ 29 เมื่อวานนี้แล้ว จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงให้ทุกคนหยุดงาน

ซุนต้าซานกับเหอเจี่ยได้หยุดจนถึงวันที่ 5 และจะเริ่มกลับมาเปิดร้านที่เมืองมหาวิทยาลัยในวันที่ 6

ส่วนคนงานที่สวนต้องสลับกันหยุด เพราะยังต้องดูแลโรงเรือนเลี้ยงไก่ในสวนอยู่ เช่นเดียวกับโรงเรือนเลี้ยงแกะและหมูที่ต้องมีคนเฝ้าด้วย

จี้เจี้ยนอวิ๋นกับคุณลุงจี้ไปซื้อลูกหมูมาเลี้ยงเพิ่มหลังนำไปชำแหละคราวก่อน ครั้งนี้เขาซื้อมากกว่าคราวก่อน โดยซื้อมากถึง 30 ตัว

เขาวางแผนไว้ทุกอย่างแล้ว โดยตั้งใจว่าจะเลี้ยงพวกมันทั้งหมด 30 ตัวในวันข้างหน้า

ปีหน้าเขาวางแผนจะปลูกพืชในแปลงของตัวเอง เพราะปีนี้ชาวบ้านรู้แล้วว่ามันหวานที่เขาขายรสชาติอร่อยขนาดไหน ในปีหน้าเขาจึงตั้งใจจะปลูกมันเทศเพิ่มให้มีพันธุ์หลากหลายมากขึ้น ซึ่ง 30 หัวนับว่าไม่มากไม่น้อย จึงไม่ต้องกังวลว่าในตอนนั้นจะไม่มีกินไม่มีใช้เลย

เนื่องจากที่สวนต้องใช้คนงานคอยดูแลตลอดเวลา ดังนั้นจึงต้องสลับกันหยุดอย่างเลี่ยงไม่ได้

คุณลุงจี้ไม่ค่อยชอบกลับบ้านนักจึงรับหน้าที่อยู่ดูแลสวนเป็นประจำบนภูเขา ส่วนคนอื่น ๆ นั้นสลับกันขึ้นมาทำงาน

หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว จี้เจี้ยนอวิ๋นก็เริ่มสรุปบัญชีรายรับรายจ่ายประจำปีนี้ เขามีบัญชีที่บันทึกว่าได้รายรับเท่าใดมีรายจ่ายเท่าใดอยู่แล้ว สิ่งที่ทำจึงเป็นการสรุปบัญชีประจำปีทั่ว ๆ ไป

ซูตานหงไม่ได้เข้าไปก้าวก่าย เธอกำลังง่วนอยู่กับการทำโจ๊กเนื้อใส่เม็ดบัวให้เหรินเหรินกับฉีฉีอยู่ในครัวเพื่อเป็นมื้อเที่ยงของทั้งครอบครัว โดยที่เหรินเหรินเป็นคนเสนอให้ทำขึ้น ส่วนฉีฉีนั้นพยักหน้าคล้อยตาม

อาหารชนิดนี้หากินได้ยาก เมื่อโจ๊กเดือดได้ที่ เธอก็ทอดไข่ดาวยางมะตูมใส่เป็นการตบท้ายก่อนจะยกขึ้นตั้งโต๊ะ

สองพี่น้องมานั่งกินกัน โดยเหรินเหรินนั่งกินเองและกินอย่างเอร็ดอร่อย

ส่วนฉีฉีนั้นยังต้องให้ซูตานหงป้อนอยู่

จี้เจี้ยนอวิ๋นทำบัญชีเสร็จตอนที่ลูกชายทั้งสองกินข้าวหมดพอดี เมื่อเห็นสีหน้าแช่มชื่นของสามี เธอรู้ได้ทันทีว่าปีนี้คงทำกำไรได้มาก

แม้ปีนี้จะมีเงินเหลือไม่มาก แต่ก็มีรายได้จากการขายหมู และร้านในเมืองมหาวิทยาลัย รวมถึงค่าสินค้าที่เหล่าฉินกับพี่ชายของเธอจ่ายมา รวมแล้วได้มากกว่า 3,000 หยวน

เทียบกับเมื่อปีก่อนแล้ว ทรัพย์สินของครอบครัวเธอมีเพิ่มขึ้นมากขนาดไหนกันล่ะ?

ทั้งร้านในเมืองมหาวิทยาลัย ที่ดินอีก 30 หมู่ และห้างในตัวเมือง รวมถึงอ่างเก็บน้ำขนาดยักษ์

ถึงจะยังติดค้างค่าเช่าอ่างเก็บน้ำ แต่ก็เป็นเงินเพียง 2,200 หยวนเท่านั้น ปีนี้มีกำไรมากกว่า 3,000 หยวน เมื่อหักยอดหนี้ออกไปก็ยังเหลือมากกว่า 1,000 หยวน

ยังไม่รวมกับเงินอีกจำนวนหนึ่งของซูตานหงที่จี้เจี้ยนอวิ๋นให้เอาไว้ซื้อของในบ้าน

จี้เจี้ยนอวิ๋นหยิบเงิน 2,200 หยวนที่ยังค้างชำระ และเอาไปจ่ายให้กับผู้ใหญ่บ้าน เพื่อจะได้ทันแบ่งเงินก้อนนี้ให้ทุกคนไปใช้ฉลองวันปีใหม่

แม้ว่าจะได้กันครอบครัวละไม่มาก เพียงแค่ 7 ถึง 8 หยวน แต่ก็ถือเป็นเงินที่ได้เปล่ามาไม่ใช่หรือ?

ถึงเงิน 7 ถึง 8 หยวนจะเป็นจำนวนไม่มากนัก หากแต่ถ้าใช้อย่างประหยัด เงิน 7 ถึง 8 หยวน ก็สามารถอยู่ได้เป็นเดือน

เมื่อมองจากมุมนี้ก็จะเห็นว่าเงินจำนวนนี้มีค่าแค่ไหน

“ฉันว่ากินข้าวให้เสร็จก่อนดีกว่าค่ะ ตอนนี้สายมากแล้ว บางทีผู้ใหญ่บ้านอาจจะกำลังกินข้าวอยู่ก็ได้ค่ะ” ซูตานหงออกปากเตือน

“ครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นยิ้มรับ

เขาไปล้างมือก่อนกลับมานั่งกินข้าว

เขาขับรถมาหาผู้ใหญ่บ้านหลังกินข้าวเสร็จ รั้งอยู่ไม่นานก็ปล่อยให้อีกฝ่ายไปทำงานต่อ

ผู้ใหญ่บ้านทำสัญญาและลงนามเป็นลายลักษณ์อักษร พร้อมมีพยานรับรอง ถือได้ว่าการดำเนินการต่าง ๆ ล้วนชัดเจนโปร่งใส

จี้เจี้ยนอวิ๋นชำแหละหมูคราวนี้ แม้ครอบครัวผู้ใหญ่บ้านจะไม่ได้หัวหมู แต่จี้เจี้ยนอวิ๋นก็ให้มันหมูชิ้นใหญ่คุณภาพเยี่ยมมา

ส่วนคนอื่น ๆ นั้นไม่ได้รับอะไรเพิ่มจากเขา เพราะหากเขาให้ของกับคนอื่น ๆ นอกเหนือจากญาติอีกก็จะถูกกล่าวหาว่าติดสินบน

จี้เจี้ยนอวิ๋นโล่งใจที่จ่ายหนี้ครบแล้ว ในขณะที่ชาวบ้านหมู่บ้านอื่นก็ดีใจที่ได้รับเงินส่วนแบ่ง

อย่าว่าแต่คนหมู่บ้านอื่นเลย คนที่หมู่บ้านของเขาเองก็ยินดีที่ได้ส่วนแบ่งด้วยเช่นกัน

หลังจากเงิน 2,200 หยวนถูกเอาไปใช้หนี้แล้ว จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงบอกให้ภรรยาเก็บเงินที่เหลือมากกว่า 1,000 หยวนไว้ นอกจากจะเอาไปจ่ายค่าของชำแล้ว ยังต้องให้เธอใช้เป็นเงินเดือนคนงานด้วย เรียกได้ว่าเงินจำนวนนี้หร่อยหรอลงอย่างรวดเร็ว

ซูตานหงกลับไม่ได้คิดมากเรื่องนี้นัก เขาให้มาเธอก็แค่รับเงินไว้ ขณะที่คอยสำรวจว่ามีร้านในเมืองมหาวิทยาลัยให้ซื้ออีกหรือไม่ ด้วยรู้ว่าสามีเป็นคนทะเยอทะยาน เขาต้องการเหมาสัญญาเช่าสวนบนยอดเขาใกล้เคียงอีก 2 แห่งนั้น ซึ่งร้านที่มีอยู่คงไม่เพียงพอวางขายสินค้า จึงจำเป็นต้องขยายร้านอย่างเสียไม่ได้

เมื่อไม่กี่วันก่อนหงเจี่ยแวะมาคุยเรื่องราคาบ้านตรงชานเมือง ตอนนี้ราคาของมันถือว่าไม่สูงมากนัก ไม่เหมือนบ้านในเมืองมหาวิทยาลัยที่ราคาพุ่งสูงราวหน่อไม้หลังฝนพรำ

ซูตานหงนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาแล้วก็เอ่ยถาม “จี้เจี้ยนอวิ๋น คุณอยากไปดูช่องทางขยับขยายร้านปีหน้าที่เมืองมหาวิทยาลัยไหมคะ?”

จี้เจี้ยนอวิ๋นเข้าใจได้ทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น และตอบด้วยสีหน้าแย้มยิ้ม “ผมเล็งร้านข้าง ๆ ไว้ครับ เคยลองไปคุยด้วยครั้งหนึ่งแล้ว แต่ว่าเขาดูไม่อยากขายให้เท่าไหร่”

เขาย่อมต้องการขยับขยายร้านอยู่แล้ว ปีหน้าจะมีทั้งปลาจากอ่างเก็บน้ำ หมู และผลไม้ จึงต้องมีพื้นที่ไว้วางขายสินค้าเหล่านี้

ส่วนเรื่องพนักงานดูแลร้านก็ให้ซุนต้าซานกับเหอเจี่ยทำหน้าที่ไปก่อน ถึงเวลาค่อยจ้างคนงานอีก 2 คนมาช่วยดูแลก็ยังไม่สาย

“ถ้าร้านข้าง ๆ ไม่ขายให้ก็ลองหาที่อื่นดูสิคะ” ซูตานหงบอก

“ครับ ถ้าเก็บเงินได้อีกสักก้อนผมจะลองไปสำรวจดูแล้วกัน” จี้เจี้ยนอวิ๋นรับคำ

“ไม่จำเป็นหรอกค่ะ ถ้าเจอที่ทำเลดี ๆ ก็ซื้อไปเลยดีกว่า ฉันยังมีอีก 8,000 หยวนอยู่”

เธอเก็บเงินค่าผ้าปักมาได้ 3,000 หยวน และได้มาเพิ่ม 1,000 หยวนเมื่อไม่นานมานี้ รวมกับเงินเก็บเดิมอีก 4,000 หยวน รวมทั้งหมดแล้วมีถึง 8,000 หยวนกับอีก 100 หยวนจากของเดิม

“ถ้าคุณไม่ต้องใช้ก็หาเวลาว่างเอาไปฝากธนาคารแล้วเก็บเอาไว้เองก่อนนะครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นบอก

“ฉันกลัวว่ามันจะเป็นการเอาเงินไปกองรวมกันไว้เฉย ๆ น่ะค่ะ เลยคิดว่าซื้อร้านในชื่อฉันเก็บไว้ดีกว่า” ซูตานหงเสนอ

แม้ส่วนใหญ่เธอจะอยู่บ้าน หากแต่ก็รู้ดีว่าเนื้อหมูขึ้นราคามาเป็นเท่าตัวจาก 4 เหมาเป็น 8 เหมาแล้ว นับเป็นจำนวนเท่าตัว ขนาดเนื้อยังขึ้นราคามาตั้งเท่าตัว แล้วต่อไปราคาของอุปโภคบริโภคจะมีแนวโน้มอย่างไรล่ะ? จะขึ้นราคาไปถึงเท่าไรกัน?

ร้านเหล่านี้ย่อมมีราคาสูงขึ้นอย่างแน่นอน หากซื้อร้านตอนนี้ ต่อให้ไม่ได้ใช้งานและเอาไปขายต่อก็ยังมีกำไร ไม่เสียเปล่า แต่หากปล่อยให้เงินกองไว้เฉย ๆ ไม่นานมูลค่าเงินก็จะลดลง

“ได้ครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นยิ้มเห็นด้วยกับคำพูดของเธอ

ทุกครอบครัวต่างทำความสะอาดบ้านและมารวมตัวกันกินข้าวที่บ้านคุณพ่อกับคุณแม่จี้ในคืนวันปีใหม่ตามธรรมเนียมวันส่งท้ายปีเก่า

ปีนี้มีอาหารมากกว่าปีก่อนมาก ครั้งก่อนซูตานหงเอาผลไม้มาร่วมโต๊ะด้วยแต่ปีนี้กลับไม่ได้มีของติดไม้ติดมือ แม้จะมีแอปเปิ้ลกับส้มที่บ้านก็ไม่คิดจะนำมาฝาก

ปีก่อนที่นำมาก็ถูกจี้อวิ๋นอวิ๋นคว้าไปกินเสียหมด ปีนี้จึงไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นอีก ต่อให้อีกฝ่ายกำลังจะแต่งงานก็คงไม่อาจเลิกนิสัยนี้ไปได้ ซูตานหงจึงไม่คิดจะสนใจหล่อนนัก

จนถึงตอนนี้ซูตานหงก็ยังไม่ได้ใส่ใจเรื่องการแต่งงานของเจ้าหล่อนนัก ถึงอย่างไรมันก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องเป็นเดือดเป็นร้อนด้วยอยู่แล้ว

ทว่าหลังงานเลี้ยงอาหารเย็นอันสงบสุขราบรื่นแล้ว จี้อวิ๋นอวิ๋นก็โพล่งถามขึ้นมาเมื่อเห็นบรรดาพี่ ๆ มารวมตัวกัน “พี่คะ ตอนที่หนูแต่งงาน พี่จะให้อะไรเป็นสินเดิมเหรอคะ?”