ตอนที่ 197 ไม่รู้จะไปอาละวาดที่ไหน

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 197 ไม่รู้จะไปอาละวาดที่ไหน

ทุกคนถึงกับชะงักเมื่อได้ยินหล่อนพูดอย่างนั้น

ด้วยไม่คิดว่าน้องสาวจะกล้าขนาดนี้

ว่ากันโดยทั่วไปแล้วหากน้องสาวแต่งงานออกไป ถ้าไม่ได้มีเรื่องหมางใจกัน คนเป็นพี่ชายมักช่วยให้สินเดิมเป็นการแสดงความรักที่เติบโตมาด้วยกัน

แต่หากพี่ชายไม่ทำเช่นนั้นก็ไม่ใช่เรื่องผิดแปลกแต่อย่างใด เพราะทรัพย์สินทุกอย่างถูกแบ่งสรรปันส่วนแล้ว สินเดิมจึงถือเป็นความรับผิดชอบของพ่อแม่ ไม่ใช่หน้าที่ของพี่น้อง

หากแต่ทุกคนก็รู้แก่ใจดีว่าเรื่องพวกนี้ล้วนเป็นความสมัครใจของพี่น้อง ไม่มีใครไปบังคับเจ้าหล่อนให้แต่งงานเสียหน่อยนี่?

“อวิ๋นอวิ๋น จะแต่งงานอยู่แล้ว ทำไมยังพูดไม่คิดแบบนี้อีก?” คุณแม่จี้แสดงท่าทางไม่พอใจขึ้นมาทันที

แม้ลึก ๆ เฝิงฟางฟางกับจี้มู่ตานจะไม่เห็นด้วย แต่เพราะปีนี้พวกหล่อนมีรายได้มาก เฝิงฟางฟางจึงเอ่ยตามมารยาท “คุณแม่คะ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ น้องสามีแต่งงานทั้งที เราเป็นพี่น้องกัน อะไรช่วยกันได้ก็ช่วยกันไปค่ะ”

คำพูดทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นการไว้หน้าจี้เจี้ยนอวิ๋น

จี้อวิ๋นอวิ๋นจงใจพูดกับพี่สามของหล่อน และถือว่าเป็นการพูดกับพี่ชายอีก 3 คนที่เหลือเช่นกัน ไม่ว่าจะพูดกับใครก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ?

หากเป็นเมื่อก่อน ไม่ว่าจะเป็นเฝิงฟางฟางหรือจี้มู่ตาน พวกหล่อนคงจะตั้งใจช่วยบ้าง แต่สำหรับจี้อวิ๋นอวิ๋นแล้วก็คงจะเงียบเฉย และไม่คิดสนใจหล่อนนัก

ผิดกับตอนนี้ที่พวกหล่อนไม่อยากให้คุณแม่จี้อึดอัดใจ ถึงอย่างไรเฝิงฟางฟางและสามีของจี้มู่ตานก็ทำงานให้จี้เจี้ยนอวิ๋น

พี่สามของหล่อนเป็นคนดีย่อมไม่อยากให้ใครมาดูถูกน้องสาว พวกหล่อนจึงทำได้เพียงจำใจยอม

จี้มู่ตานเอ่ยพร้อมรอยยิ้มขึ้นมาบ้าง “ใช่ค่ะ น้องสามีแต่งงานทั้งที พี่ ๆ อย่างเราจะช่วยมากช่วยน้อยก็ยังถือเป็นน้ำใจต่อกัน จะให้ใครมาดูถูกพี่น้องในครอบครัวเราตอนน้องแต่งออกไปได้ยังไงล่ะคะ พวกเขาจะได้รู้ว่าหล่อนเองก็ยังมีพี่ชายพี่สาวอยู่ที่นี่อีกมาก”

คุณแม่จี้ดูวางใจขึ้นก่อนบอก “แม่กับพ่อก็พอมีเก็บไว้อยู่บ้าง ถ้าพวกเธออยากช่วยก็ให้มาเท่าที่ไหวก็พอ ไม่ต้องมากมายหรอก”

2 ปีที่ผ่านมาคุณแม่จี้เก็บเงินได้มาก ทั้งสตรอเบอรี่และแตงโมต่างทำกำไรงาม ปีหน้านางกับสามีตั้งใจจะให้ลูกสาวแต่งงาน จึงต้องมอบทรัพย์สินให้เป็นชิ้นเป็นอัน รวมถึงเงินติดตัวเอาไว้ใช้จ่ายส่วนตัวในภายภาคหน้า

“ไหน ๆ น้องสามีก็ถามถึงแล้ว งั้นเราก็มาคุยเรื่องนี้กันเถอะค่ะ ฉันจะเตรียมชุดเครื่องนอนให้ 2 ชุดค่ะ” เฝิงฟางฟางบอกพร้อมรอยยิ้ม

“ฉันเองก็จะเตรียมไว้ให้ 2 ชุดเหมือนกันค่ะ” จี้มู่ตานว่าออกมาเช่นกัน

ซูตานหงเอ่ยขึ้นเมื่อได้ยินพวกเธอพูดอย่างนั้น “มีเครื่องนอน 4 ชุดก็น่าจะพอแล้ว ฉันจะให้กระติกน้ำร้อน 2 เครื่องแล้วกันค่ะ”

แม้กระติกน้ำร้อนจะราคาถูก แต่ก็ใช้ประโยชน์ได้มาก และเป็นของจำเป็นในบ้าน

เดิมทีอวิ๋นลี่ลี่ตั้งใจจะให้กระติกน้ำร้อนให้เช่นกัน กลับไม่คิดว่าจะบังเอิญตรงกับอีกฝ่าย หากแต่อวิ๋นลี่ลี่ไม่อยากมีปัญหาจึงบอกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “พี่สะใภ้สามคิดเหมือนฉันเลยค่ะ แต่ไหน ๆ ก็มีกระติกน้ำร้อนแล้ว งั้นฉันจะซื้อผ้านวมแพร 2 ผืนให้แล้วกันค่ะ”

“ขอบคุณค่ะพี่สะใภ้สี่!” จี้อวิ๋นอวิ๋นว่าขึ้นอย่างอารมณ์ดี

ก่อนหน้านี้ทั้งเฝิงฟางฟาง จี้มู่ตาน และซูตานหงต่างก็บอกว่าจะให้ของกับหล่อน แต่ไม่เห็นเจ้าหล่อนคิดจะขอบคุณแม้แต่น้อย!

อวิ๋นลี่ลี่อึดอัดใจเล็กน้อย แต่หล่อนรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตั้งใจทำให้ไม่สบายใจจึงออกปากเตือน “เธอยังไม่ได้ขอบคุณพี่สะใภ้อีก 3 คนเลยนะ”

จี้อวิ๋นอวิ๋นได้ยินเช่นนั้นก็หันไปมองพี่สะใภ้อีก 3 คน ก่อนบอกเสียงแข็ง “ขอบคุณค่ะ”

“ช่างเถอะ เธอไปเรียนที่เจียงสุ่ยก็ต้องสนิทกับพี่สะใภ้สี่อยู่แล้ว” เฝิงฟางฟางเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“ฉันว่าอวิ๋นอวิ๋นคงดูถูกคนที่นี่ล่ะมั้ง หวังว่าจะไม่ไปทำแบบนี้ที่หมู่บ้านต้าวานนะ” จี้มู่ตานกล่าว

แม้การช่วยซื้อสินเดิมให้จะไม่ได้ทำให้เดือดร้อนมากนัก แต่จี้อวิ๋นอวิ๋นก็ไม่ให้เกียรติพี่สะใภ้อย่างพวกหล่อนมากเกินไป ต่อให้คร้านจะเอามาใส่ใจแต่ก็ต้องตอกกลับให้รู้ตัวบ้าง

ซูตานหงเอาแต่นิ่งเงียบ ถึงอย่างไรเธอก็ให้แค่กระติกน้ำร้อนอยู่แล้ว

อีกทั้งคนอื่นก็ได้พูดแทนไปแล้ว เธอจึงไม่ต้องการเอ่ยอะไร และหากจี้เจี้ยนอวิ๋นคิดได้ก็คงไม่ได้ซื้ออะไรให้อีก

“พี่สะใภ้ แล้วพี่สามล่ะคะ?” จี้อวิ๋นอวิ๋นท้วงถามขึ้นอย่างที่คาดไว้ ก่อนเอ่ยสำทับ “พี่ชายทั้งสี่คะ พี่สะใภ้สี่อุตส่าห์ให้ผ้านวมแพรราคาไม่ใช่ถูก ๆ มา ทั้งที่ต้องจ่ายค่าบ้านด้วยแท้ ๆ”

เห็นได้ชัดว่าหล่อนเข้าข้างครอบครัวพี่สี่ขนาดไหน ซูตานหงไม่ได้คิดมากเรื่องนี้ ผิดกับท่าทางไม่พอใจของเฝิงฟางฟางกับจี้มู่ตาน รวมถึงจี้เจี้ยนกั๋วและจี้เจี้ยนเยี่ยสามีของพวกหล่อน

จี้เจี้ยนอวิ๋นไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้เช่นเดียวกับภรรยา เขาปลงกับน้องสาวคนนี้เสียแล้ว

จี้เจี้ยนเหวินเอ่ย “พี่สะใภ้ก็ให้ของกับเธอไปแล้วนี่ ที่เหลือก็ไปเอาจากพ่อแม่แล้วกัน”

เขากล้าพูดแบบนี้เพราะถึงอย่างไรพวกท่านก็เป็นพ่อแม่ของเขา

“ของพ่อแม่ก็ส่วนของพ่อแม่สิคะ ของพี่ทั้งสามคนก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง ปีนี้พวกพี่ก็มีรายได้เยอะกันไม่ใช่เหรอคะ?” จี้อวิ๋นอวิ๋นเถียงกลับ

ทำไมหล่อนถึงกล้าพูดแบบนี้ออกมากันนะ? ปีนี้พวกเขามีรายได้เยอะแล้วจำเป็นต้องแบ่งไปให้เป็นสินเดิมของหล่อนด้วยเหรอ?

ครั้งนี้คุณแม่จี้ถึงกับทนไม่ไหว “อวิ๋นอวิ๋น ไปล้างจานในครัวเดี๋ยวนี้เลย!”

จี้อวิ๋นอวิ๋นโต้กลับ “แม่ หนูจะแต่งงานอยู่แล้ว ยังจะใช้หนูทำงานบ้านอีกเหรอคะ?”

“หลังแต่งงานไปแกไม่คิดจะทำเลยสินะ แต่งแล้วสิยิ่งต้องทำ ไปจัดการซะ!” คุณแม่จี้สั่ง

จี้อวิ๋นอวิ๋นไม่ยอมขยับตัว กลับเอาแต่จ้องหน้าพี่สาม “บอกมาเลยนะพี่ หนูจะแต่งงานทั้งที ตกลงพี่จะให้อะไรไหม?”

“กำไรปีนี้ใช้ไปเกือบหมดแล้ว ไม่มีเหลือพอให้เธอหรอก พี่สะใภ้ก็ซื้อกระติกน้ำให้ไปแล้ว ก็น่าจะพอแล้วนี่” จี้เจี้ยนอวิ๋นตอบ

จี้อวิ๋นอวิ๋นออกอาการหัวเสียเต็มทีเมื่อได้ยินอย่างนั้น “พี่ทำอย่างนี้กับหนูลงได้ยังไงคะ?”

“ต่อไปเธอแต่งออกไปแล้วต้องหัดมีเหตุผลให้มากกว่านี้นะ ชีวิตเธอก็ไม่ได้ยากเข็ญสักเท่าไหร่เลยนี่” จี้เจี้ยนอวิ๋นกล่าวเสียงเรียบ

เดิมทีเขาตั้งใจจะซื้อของให้อีกสักหน่อย แต่น้องสาวกลับทำให้เขาผิดหวังเหลือเกิน ทำตัวไม่ต่างกับหมาป่าตาขาว* แบบนี้ เขาเองก็คร้านจะคิดช่วยเหลือ

*หมาป่าตาขาว = ไร้จิตสำนึก

ที่บอกว่าชีวิตหล่อนไม่ได้ยากเข็ญเองก็เป็นความจริง

หลี่จื้อเป็นผู้ชายที่พึ่งพาได้ ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลอยู่แล้ว

หล่อนมีเขาเป็นพี่ชาย ต่อให้น้องสาวเขาทำตัวไม่ดี แต่ครอบครัวหลี่ก็คงจะยอมทนเพราะเห็นแก่หน้าอยู่บ้าง

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น ลำพังเพียงเรื่องนี้ เขารู้สึกว่าเป็นสินเดิมที่ดีที่สุดสำหรับหล่อนแล้ว

หากแต่จี้อวิ๋นอวิ๋นกลับยึดเป็นเรื่องจริงจังและโมโหเสียจนไม่ยอมไปล้างจาน เดินกระฟัดกระเฟียดกลับเข้าห้องและกระแทกประตูปิดเสียงดังลั่น

“โชคดีที่หล่อนยังไม่ได้แต่งออกไปนะคะ” เฝิงฟางฟางเอ่ยพลางยิ้มขำ

หากแต่ทุกคนก็เข้าใจในสิ่งที่หล่อนพูดดี

หากจี้อวิ๋นอวิ๋นทำนิสัยแบบนี้ที่บ้านสามี หล่อนคงไม่รู้จะไปอาละวาดที่ไหน!