ตอนที่ 145.3 เที่ยงคืนตีสามหมาป่าปรากฏตัว (3) (รีไรท์)

สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!

เสี่ยวมู่จื่อเพราะเห็นความผิดปกติของเสี่ยวเหยาจื่อจึงรีบตามออกมา เมื่อเห็นเล่อเหยาเหยาอาเจียนอย่างหนักเช่นนี้ จึงรู้สึกกังวลอย่างหาที่เปรียบได้

ยืนไม่สบายใจอยู่ด้านข้างเล่อเหยาเหยา จากนั้นพลันฉุกคิดขึ้นได้ รีบร้อนกลับเข้าไปในห้องครัว เพื่อตักน้ำอุ่นให้แก่เล่อเหยาเหยา

พอดีกับเวลานี้ เล่อเหยาเหยาอาเจียนจนร่างกายไร้เรี่ยวแรง แทบทรุดกองอยู่บนพื้น

โชคดีที่เสี่ยวมู่จื่อออกมาได้ทันเวลา จึงประคองร่างที่ไร้เรี่ยวแรงของเล่อเหยาเหยาเอาไว้ ก่อนประคองเธอนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ด้านข้าง อีกทั้งหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาอย่างใส่ใจ เพื่อเช็ดคราบสกปรกที่มุมปากของเล่อเหยาเหยา ก่อนยื่นถ้วยน้ำอุ่นให้

“มา เสี่ยวเหยาจื่อ ดื่มน้ำล้างปากก่อน”

“อืม”

หลังได้ยินคำพูดของเสี่ยวมู่จื่อ เล่อเหยาเหยาก้มศีรษะลงดื่มน้ำอย่างเชื่อฟัง เพื่อกำจัดรสชาติประหลาดในปาก ดื่มน้ำอุ่นเข้าไปอีกครั้ง ก่อนนั่งพักอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็กลับมาเป็นปกติ

เสี่ยวมู่จื่อเห็นเช่นนั้น ใบหน้ายังคงกังวลดังเดิม

“เสี่ยวเหยาจื่อ เจ้าไม่เป็นไรนะ เมื่อครู่ดูเจ้าอาเจียนหนักยิ่งนัก ต้องป่วยแน่นอน ถ้างั้นประเดี๋ยวเราไปให้ท่านหมอดูอาการกันเถิด”

“ตอนนี้ข้าไม่เป็นไรแล้ว เมื่อครู่อาจเพราะทานมากเกินไป รวมทั้งพักนี้ท้องไส้ไม่ดี จึงอาเจียนกระมัง เฮ้อ น่าเสียดายรังนกเมื่อครู่”

สำหรับความรู้สึกของเสี่ยวมู่จื่อ เล่อเหยาเหยาไม่อยากให้เขากังวล จึงยกปากก่อนฉีกยิ้มปลอบใจเสี่ยวมู่จื่อ

ทว่าความจริงขบคิดในใจ อีกไม่กี่วันต้องให้พี่ไป๋ดูอาการให้ตนถึงจะดี

เพราะหลายวันมานี้ ไม่รู้เพราะเธอทานของผิดสำแดงหรือเพราะเหตุใด จึงมักรู้สึกสะอิดสะเอียน วันนี้ยังอาเจียนหนักขนาดนั้น

เธอไม่ได้ตั้งครรภ์ เหตุใดจึงมักอาเจียนอย่างไม่รู้จักจบ

ต้องเป็นเพราะพักนี้ทานของธาตุร้อนเกินไปแน่นอน หลายวันมานี้พี่ไป๋บอกว่าไปดูอาการให้ผู้คนที่ทางซีเฉิง ดังนั้นจึงไม่ได้กลับมาหลายวัน และไม่รู้ว่าเขาจะกลับมาที่โรงหมอเมื่อใด เธอยังมีเวลาว่าง ไปที่โรงหมอรับยามาทานด้วยตนเองคงดีกว่า

เล่อเหยาเหยาคิดในใจ จากนั้นก็พักผ่อนครู่หนึ่ง ก่อนกลับไปทำงานของตนที่ตำหนักหย่าเฟิง

หากให้เล่อเหยาเหยาพูดถึงเรื่องที่ทำให้เธอโชคดีที่สุด คงหนีไม่พ้นหลังทานอาหารและทำงานทุกอย่างเสร็จแล้ว ก็จะแอบไปนอนกลางวันอย่างเกียจคร้าน

ถึงอย่างไรคนในตำหนักหย่าเฟิงก็มีน้อย ตอนกลางวันพญายมล้วนไม่อยู่ นอกจากที่มีเรื่องสำคัญจึงกลับมา

เวลานี้เธอจึงสามารถนอนหลับได้อย่างสบายใจ ก่อนตื่นขึ้นมาช่วงหัวค่ำซึ่งเป็นเวลาที่พญายมกลับวังอ๋องพอดี เวลาจึงผสานกันอย่างลงตัว

วันนี้เพราะอาเจียนของในท้องออกมาจนหมดสิ้น จึงอยากทานบางอย่างเข้าไป ทว่าเล่อเหยาเหยาไม่อยากอาหาร ดังนั้นหลังทำงานในตำหนักหย่าเฟิงเสร็จก่อนเวลา พลันล้มตัวลงนอนบนเตียงของตน ก่อนหลับไป

เพราะเธอวันนี้รู้สึกเหนื่อยเป็นพิเศษ!

เรี่ยวแรงทั่วร่างกายคล้ายถูกดูดออกไปจนหมดจึงอ่อนแรง ไร้เรี่ยวแรงทั่วร่าง

ดังนั้นครั้งนี้เล่อเหยาเหยาจึงหลับไปหลายชั่วยามถึงตื่นขึ้นมา

เมื่อเห็นสีของท้องฟ้า ก็เป็นเวลาประมาณห้าหกโมงเย็นในเวลาปัจจุบัน

เพราะฤดูร้อนกลางวันยาวนานกว่ากลางคืน แม้ตอนนี้จะเป็นช่วงหัวค่ำ ทว่าอากาศด้านนอกยังคงสว่างอย่างยิ่ง

หลังหลับไปครั้งนี้ เล่อเหยาเหยาพลันรู้สึกว่าเรี่ยวแรงในร่างกายต่างฟื้นคืนกลับมา

ทว่าท้องก็หิวเช่นกัน

เสียง ‘จ๊อกๆ’ ดังขึ้น ทำให้เล่อเหยาเหยาอดกุมหน้าท้อง กระทั่งอดดื่มชาเข้าไปหลายถ้วยไม่ได้ ก่อนรีบร้อนไปทานอาหารที่โรงครัว

เพราะอีกสักครู่ต้องปรนนิบัติพญายม จึงไม่มีเวลาทานอาหาร ดังนั้น ทุกวันเวลานี้เล่อเหยาเหยาจะรีบถือโอกาสช่วงที่พญายมยังไม่ได้กลับมา มาทานอาหารให้อิ่มที่โรงครัว ก่อนจะไปปรนนิบัตพญายม

ทว่าวันนี้ เมื่อเธอเดินไปยังโรงครัวเช่นทุกวัน กลับเห็นขันทีน้อยหลายคนกำลังล้อมวงอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ มีคนหนึ่งภายในนั้นกำลังร้องห่มร้องไห้ ส่วนคนภายนอกที่เหลือ กลับล้อมวนเวียนอยู่ใต้ต้นไม้ไม่หยุด ดุจต้องการปีนขึ้นไปบนต้นไม้ เล่อเหยาเหยาเมื่อเห็นพลันรู้สึกสงสัยทันที

ขันทีน้อยพวกนี้ น่าจะเป็นคนใหม่ที่เข้ามาเมื่อหลายวันก่อน อีกทั้งอายุยังน้อยอย่างยิ่ง ดูแล้วพวกเขาน่าจะเพิ่งสิบสองสิบสามเท่านั้น

หากเป็นยุคปัจจุบัน น่าจะเป็นเด็กนักเรียนมัธยมต้นประมาณมัธยมปีหนึ่ง!

แต่ที่นี่ กลับเป็นบ่าวไพร่ของผู้อื่น อีกทั้งยังตัองตัดนกน้อยทิ้งไป ดังนั้นสำหรับขันทีน้อยเหล่านี้ เล่อเหยาเหยาจึงสงสารอย่างมาก

ตอนนี้เมื่อเห็นสีหน้าของเหล่าขันทีน้อยนี้ คล้ายวิตกกังวลอย่างยิ่ง เล่อเหยาเหยาพลันแปลกใจ ก่อนเดินเข้าไป

“เฮ้ ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว พวกเจ้ายังรีรออยู่ที่นี่กันเพราะเหตุใด”

เล่อเหยาเหยาหวังดี จึงเอ่ยทักทายพวกเขาออกไป

ทว่าเห็นชัดว่าเด็กน้อยเหล่านี้ ต่างเพราะเพิ่งเข้ามาในวังอ๋อง จึงอ่อนไหวและอึดอัดต่อผู้อื่นเป็นพิเศษ

ดังนั้น เมื่อเห็นเล่อเหยาเหยาเอ่ยทักทายพวกเขา ต่างพากันเงียบสงบลงทันที

ความไม่สบายใจที่มี ก็รู้สึกโล่งอกขึ้นอย่างหมดสิ้น หลังจากเห็นรอยยิ้มที่เป็นมิตรของเล่อเหยาเหยา

เพราะเล่อเหยาเหยารูปร่างหน้าตาดี อีกทั้งดูเป็นมิตรอย่างมาก

เธอเพียงยิ้มเล็กน้อยเช่นนี้ ไม่ว่าชายหญิงคนชราหรือเด็กต่างถูกล่อลวง

สำหรับรอยยิ้มที่ไร้ไอสังหารเช่นนี้ของเล่อเหยาเหยา ขันทีน้อยหนึ่งในนั้นที่ดูอายุค่อนข้างมาก แต่ว่าก็ยังประมาณสิบสามปี เอ่ยปากกับเล่อเหยาเหยาว่า

“ว่าวของเสี่ยวหู่ติดอยู่บนต้นไม้ใหญ่ พวกเรานำลงมาไม่ได้ อีกทั้งว่าวนั้นเป็นของขวัญวันเกิดอายุสิบสองที่พ่อของเสี่ยวหู่มอบให้เขาก่อนเข้าวังอ๋องมา”

จากคำพูดของขันทีน้อยผู้นั้น สายตาของเล่อเหยาเหยาจึงกวาดมองไปยังขันทีน้อยที่ชื่อเสี่ยวหู่นั้น

เห็นเพียงขันทีน้อยนี้ ร้องไห้จนน้ำตานองหน้า เต็มไปด้วยน้ำมูกและน้ำตา

เห็นชัดว่าเด็กน้อยที่กำลังจะเป็นผู้ใหญ่ ดูไร้เดียงสา ตอนนี้ของขวัญวันเกิดของตนติดอยู่บนต้นไม้นำลงมาไม่ได้ มิน่าเขาถึงร้องห่มร้องไห้

เล่อเหยาเหยาเห็นเข้าก็ทนไม่ไหว

ดังนั้นจึงเงยหน้ามองขึ้นไป

เห็นเพียงต้นไม้ใหญ่อายุร้อยปีสูงเทียมฟ้านี้ มีกิ่งก้านสลับซับซ้อน ใบไม้เชียวชอุ่ม แม้จะใช้ไม้สอย ก็ไม่สามารถเก็บว่าวนั้นลงมาได้ และอาจทำให้ว่าวนั้นเสียหายก็ได้!

เวลานี้ดูแล้ว ต้องมีคนปีนขึ้นไปนำว่าวนั้นลงมา

ทว่าขันทีน้อยตรงหน้าเหล่านี้อายุน้อย ส่วนสูงจึงไม่ต้องเอ่ยถึง ร่างกายเล่อเหยาเหยาก็ถือเล็กบอบบาง ทว่าพวกเขากลับสูงไม่ถึงไหล่ของตน!

เห็นทุกคนต่างร้อนใจดุจมดถูกเผาในกระทะ และเสี่ยวหู่นั้นร้องไห้อย่างน่าสงสาร

สวรรค์เห็นยังสงสาร เล่อเหยาเหยาทนมองเด็กน้อยร้องไห้อย่างโศกเศร้าไม่ได้เป็นที่สุด

ดังนั้นจึงกัดฟัน เดินเข้าไป

“เอาเถิด ข้าจะช่วยนำว่าวลงมาให้พวกเจ้าเอง”

“หา! พี่ชายจริงหรือขอรับ ท่านจะช่วยนำว่าวลงมาให้พวกเราจริงหรือ”

หลังได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา ขันทีน้อยเหล่านั้นต่างตกตะลึง พลันเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ

ทว่ามากที่สุดคือดีใจ เพราะพวกเขาตัวเล็กเกินไป หากต้องปีนต้นไม้ใหญ่อายุร้อยปี จะพูดว่าง่ายดายเช่นไร แต่พี่ชายตรงหน้านี้อย่างน้อยสูงกว่าพวกเขามาก หากเขาขึ้นไปแล้วนำลงมา ต้องสำเร็จมากกว่าแน่นอน

พอคิดถึงตรงนี้ สายตาของขันทีน้อยเหล่านั้นที่มองเล่อเหยาเหยา เปี่ยมไปด้วยความซาบซึ้ง ส่วนเสี่ยวหู่พลันหยุดร้องไห้

เห็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยาก็ไม่อยากให้พวกเขาผิดหวัง พลันตบหน้าอกยืนยันว่า

“ดูข้านะ”

เอ่ยจบ เห็นเล่อเหยาเหยาเดินไปที่ใต้ต้นไม้ใหญ่นั้น จากนั้นสายตาก็ประเมินลำต้นของต้นไม้ ก่อนเตรียมทำใจด้วยการสูดหายใจเข้าลึกๆ ครู่หนึ่ง

สำหรับการปีนต้นไม้ ความจริงไม่ได้เป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเธอ

จำได้ว่าตอนเด็ก เธอดื้อรั้นและไร้ระเบียบเป็นพิเศษ ดุจเด็กสาวเสียสติที่ไม่เกรงกลัวฟ้าดิน

เวลานั้นข้างบ้านปลูกต้นไม้ไว้มากมาย เธอจึงมักปีนขึ้นไปเก็บไข่นก

แม้บางครั้งจะตกลงมาจากต้นไม้ ทว่าเพราะต้นไม้นั้นไม่สูง จึงบาดเจ็บไม่หนัก ดังนั้นเธอจึงลืมความเจ็บปวดและมักมีรอยแผล

ต่อมาเธอค่อยๆ โตขึ้น สำหรับความสนใจในการปีนจึงลดลง จากนั้นก็ไม่ได้ปีนต้นไม้อีกเลย

ทว่าหากให้เธอปีนต้นไม้เวลานี้ ความจริงเธอสามารถทำได้ รวมทั้งเธอต้องการช่วยขันทีน้อยเหล่านั้นเก็บว่าวลงมา!

เพราะขันทีน้อยเหล่านี้อายุยังน้อยถูกคนตัดนกน้อยไปอย่างทารุณ น่าสงสารพอแล้ว เธอไม่อยากเห็นพวกเขาเสียใจ

ดังนั้นเล่อเหยาเหยาจึงสูดลมหายครู่หนึ่ง ก่อนรวบรวมพลังปีนขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่

เมื่อนึกถึงปีนั้นที่ยังเด็ก เธอปีนต้นไม้จนชำนาญ ใช้ชีวิตดุจมีวิญญาณลิงสิงอยู่

คิดไม่ถึง หลายปีผ่านไปกลับเปลี่ยนมาอยู่ในร่างนี้ ทักษะการปีนต้นไม้เธอก็ไม่เลวเลย

แม้จะสู้ที่ผ่านมาไม่ได้ แต่หากปีนขึ้นไป ก็มิใช่เป็นไปไม่ได้

และขณะที่เล่อเหยาเหยาพยายามปีนขึ้นต้นไม้นั้น เด็กน้อยด้านล่างเหล่านั้น ก็ตะโกนให้กำลังใจเธออยู่ใต้ต้นไม้

“พี่ชายสู้ๆ”

“พี่ชาย อีกเพียงนิดเดียว ใกล้แล้ว”

“พี่ชาย ใกล้ถึงแล้ว ท่านต้องสู้ต่อไปนะ”

ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนให้กำลังใจเช่นนี้ เล่อเหยาเหยาไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง ในที่สุดก็ปีนขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่ร้อยปีนั้นสำเร็จ

สองขาแยกออกนั่งลงบนกิ่งไม้ที่หยาบมีขนาดใหญ่นั้น เล่อเหยาเหยาหลังหายใจหอบอยู่หนึ่งรอบ ยื่นมือเช็ดเหงื่อบนหน้าผากออกไป ก่อนหัวเราะให้กับเหล่าขันทีน้อยด้านล่าง

“รอประเดี๋ยว ข้าจะเก็บว่าวให้พวกเจ้า”

เล่อเหยาเหยาเอ่ยจบ มือเล็กพลันยื่นไปด้านหน้า

เพราะตอนนี้ว่าวนั้นอยู่ด้านหน้าเธอไม่ไกล ทว่าถูกกิ่งก้านสลับซับซ้อนนั้นรัดเอาไว้!

เมื่อเห็นว่าวนั้นอยู่ตรงหน้าตน แต่ว่ามือเธอสั้นเกินไป จะคว้าดึงเช่นไร ต่างคว้าไม่ถึง

เห็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยาจึงทำได้เพียงขยับตัวขึ้นไปด้านหน้าอีก

ทว่าการขยับของเธอทั้งช้าและอืดอาด

เพราะที่เธออยู่ตอนนี้ สูงจากใต้ต้นไม้มากทีเดียว!

หากเธอตกลงไป ไม่แน่ว่าอาจจะแข้งขาแขนหักก็เป็นได้

พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยารู้สึกกังวลและหวาดกลัว

แต่ตอนนี้จำเป็นต้องไม่หวาดกลัวแล้ว เพราะเธอปีนขึ้นมาแล้ว อีกทั้งอีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น

อีกนิดเดี๋ยว มือเธอจะจับว่าวนั้นได้

ขณะคิดในใจ เล่อเหยาเหยาเม้มริมฝีปากแดงครู่หนึ่ง ใบหน้าดูเด็ดเดี่ยวขึ้นหลายส่วน

ร่างกายก็ขยับขึ้นไปด้านหน้าอีกครั้ง

คราวนี้ในที่สุด เธอก็คว้าว่าวไว้ในมือเธอได้

เหล่าขันทีน้อยด้านล่างเห็นเช่นนั้น ก็ร้อง ‘อา’ อย่างตื่นเต้นดีใจขึ้นมา พร้อมปรบมือไม่หยุด

“อา พี่ชายร้ายกาจยิ่งนัก พี่ชายยอดจริงๆ”

“ฮิฮิ ย่อมแน่อยู่แล้ว”

เมื่อได้ยินคำชมของเหล่าขันทีน้อยนั้น เล่อเหยาเหยายกมุมปากยิ้มกว้างออกมา

รอยยิ้มนั้น ดุจดอกทานตะวันอันสดใสไร้ที่ติ น่ามองอย่างยิ่ง!

ยังมีสีหน้าลำพองใจของเธอ ทำให้คนมิอาจละสายตาจากเธอได้!

เรื่องนี้ทำให้เหล่าขันทีน้อยด้านล่าง นอกจากมองยังเล่อเหยาเหยาแล้ว ยังมีความเลื่อมใสอย่างมากอีกด้วย

ส่วนเล่อเหยาเหยาหลังจากภูมิใจ ก็ปล่อยว่าวในมือลงมาอย่างช้าๆ ให้มันปลิวร่อนลงไปบนพื้น

หลังเห็นว่าวนั้นถูกเหล่าขันทีน้อยถือไว้แล้ว เธอจึงคิดปีนลงจากต้นไม้

แต่กล่าวกันว่า ขึ้นต้นไม้นั้นง่าย ลงจากต้นไม้นั้นยาก

เมื่อครู่ตอนขึ้นมา ใจคิดเพียงต้องการว่าวนั้น ไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่น

แต่ตอนนี้ ว่าวถูกนำลงไปแล้ว เธอจึงเห็นระยะความสูงระหว่างตนและพื้นดิน เล่อเหยาเหยาจึงเช็ดเหงื่อให้ตนเอง

ความกล้าของตนยิ่งใหญ่เสียจริง!

สูงเช่นนี้ เธอกล้าปีนขึ้นมา

ตอนนี้คิดดูแล้ว เล่อเหยาเหยารู้สึกหวาดกลัว

ทว่ารับลมเย็นอยู่บนต้นไม้ต่อไปมิใช่ทางออก ยิ่งกว่านั้นตอนนี้ท้องฟ้าใกล้มืดแล้ว ท้องเธอหิวอย่างมาก

หากยังไม่ทานอาหารที่โรงครัว โรงครัวจะไม่เหลืออาหารไว้ให้เธอ!

ยิ่งกว่านั้นหลังทานอาหารเสร็จ เธอยังต้องกลับไปปรนนิบัติพญายม!

พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยารู้สึกร้อนใจ

คิดหมุนตัวบนต้นไม้ จากนั้นค่อยๆ ปีนกลับลงมา

คิดไม่ถึง ขณะเดียวกันเสี่ยวหู่ที่อยู่ใต้ต้นไม้คล้ายพบบางอย่างเข้า ดวงตาจึงเบิกโพลง ก่อนชี้ไปที่ด้านหลังเล่อเหยาเหยาพร้อยเอ่ยว่า

“อา พี่ชาย ด้านหลังท่าน ด้านหลังท่านมีงู”

“หา อะไรนะ! งู”

เมื่อได้ยินคำพูดเสี่ยวหู่ เล่อเหยาเหยาตกใจอย่างหนัก พลันเบือนสายตากลับไป เมื่อเห็นงูเขียวอยู่ห่างจากตนไม่ไกล ตกใจจนร่างกายสั่นเทิ้ม มือก็เผลอคลายจากกิ่งไม้ ร่างกายสูญเสียการทรงตัว ก่อนตกลงมาจากต้นไม้

“อา…”

……………………………….