ตอนที่ 146.1 ข้าอยากจุมพิตเจ้า (1) (รีไรท์)

สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!

เล่อเหยาเหยากรีดร้องอย่างรุนแรง พลังเสียงดังไกลถึงก้อนเมฆ นกน้อยที่อยู่ไม่ไกลต่างตกใจบินแตกตื่น กระเบื้องสีเทาบนหลังคาต่างสั่นสะเทือนตกลงมา

จะโทษที่เล่อเหยาเหยากรีดร้องอย่างรุนแรงเช่นนี้ไม่ได้ เพราะใช้ชีวิตมาหลายปี เธอไม่เคยกลัวฟ้าดิน สิ่งที่กลัวที่สุดก็คือ งูจำพวกไร้กระดูกสันหลังประเภทนี้

รวมทั้งการปล่อยมือนี้ เธอรู้ว่าเมื่อตนตกลงมา แขนเธอไม่หักแต่ขาจะหักแทน

จึงหวาดกลัวในใจอย่างหนัก เล่อเหยาเหยาตกใจจนปิดตาคู่งามแน่น รอให้ความเจ็บปวดเกิดขึ้นมา

หัวใจเต้นระรัวอย่างอกสั่นขวัญแขวน เหมือนหัวใจจะกระเด็นออกมา

แต่ทว่าขณะเล่อเหยาเหยาคิดว่าตนต้องตกลงมาหน้าบวมช้ำแขนขาหัก คิดไม่ถึง สิ่งที่เธอรอให้เกิดขึ้นกลับเป็นอ้อมกอดอบอุ่น!

กลิ่นอำพันทะเลหอมหวนนั้น ช่างคุ้นเคยราวกับ…

พญายม!

ขณะที่รับรู้ถึงเรื่องนี้ เล่อเหยาเหยาที่ตกใจปิดตาแน่น พลันลืมตาขึ้นมา ก่อนมองเห็นชายหนุ่มที่ไม่รู้ปรากฏตัวขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใดตรงหน้า และรับเธอที่ชีวิตกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้ายเอาไว้

เล่อเหยาเหยารู้สึกว่าร่างกายของตนยังคงร่วงลงมาเช่นเดิม แต่กลับไม่เหมือนเช่นเมื่อครู่ กลับดุจนกนางแอ่นหมุนวนบินลงมา

หลังจากใช้ชีวิตมานานหลายปีจนกลายมารดาของบุตรห้าคนแล้ว เล่อเหยาเหยายังคงจำภาพนี้ได้ไม่ลืมเลือน เมื่อนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมานี้ เธอมักจะยิ้มแย้มอย่างมีความสุขเสมอ

ชายหนุ่มพุ่งทะยานขึ้นมารับเธอไว้กลางอากาศ

มือที่ทรงพลังของเขา ดุจแผ่นเหล็กคู่หนึ่ง รัดเอวเล็กของเธอเอาไว้แน่น

ส่วนใบหน้าเล็กของเธอ เวลานี้แนบชิดกับหน้าอกของเขา ก่อนสบสายตากับเธอ

เวลานี้พระอาทิตย์ใกล้ตกดิน สายลมเย็นพัดเอื่อย

แสงสายัณห์ทางทิศตะวันตก ทะลุผ่านเมฆก้อนหนานั้น เกิดเป็นแสงสีทองทอดยาวสะท้อนลงมา

ท้องฟ้าทิศตะวันตก กลายเป็นผ้าไหมสีสันงดงามผืนหนึ่ง

ทิศตะวันออกกลับเป็นสีฟ้าคราม ภายใน เริ่มปรากฎดวงดาวเล็กๆ ขึ้นตรงมุม เปล่งประกายระยิบระยับ น่ารักอย่างยิ่ง

ขณะพระอาทิตย์ทับซ้อนกัน ใบหน้าชายหนุ่มอาบไล้อยู่กลางแสงอาทิตย์

คิ้วโก่งยาวไปถึงจอนผม ดวงตาเย็นชาดุจค่ำคืน จมูกคมโด่งดุจใบมีด ริมฝีปากกระจับดุจกลีบบุปผา

เค้าโครงที่เด็ดเดี่ยวนั้น ดุจถูกเทพเซียนรังสรรค์อย่างประณีตขึ้นมา

หน้าอกเขากว้างเช่นนี้ เมื่อถูกเขาโอบกอดคล้ายฟ้าถล่มลงมาต่างไม่ต้องหวาดกลัว เพราะมีเขาอยู่

เล่อเหยาเหยารู้สึกเพียงร่างกายค่อยๆ ร่วงลงมา บรรยากาศรอบกายก็หมุนวน ส่วนดวงตาเธอเวลานี้กลับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของชายหนุ่ม โดยไม่เคลื่อนย้ายแม้แต่นิดเดียว

เพราะดวงตาของชายหนุ่มดุจแฝงด้วยเสน่ห์อันยั่วยวน กำลังดึงดูดเธอลงไป

จนกระทั่งสองเท้าเธอเหยียบลงบนพื้น เล่อเหยาเหยายังไม่ละสายตาไปจากใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มตรงหน้า

ดวงตาคู่งามที่ทั้งกลมและโตนั้น ดุจทะลุเข้าไปในแสงอาทิตย์สว่างสดใส ราวกับภาพฝันอย่างยิ่ง!

ตรงข้ามกับเล่อเหยาเหยาที่ตะลึงเสียสติ เวลานี้ใจของเหลิ่งจวิ้นอวี๋กลับทั้งกังวลและโมโห

แม้เขาจะรับตัวคนตัวเล็กตรงหน้าได้ทัน เวลานี้ ‘เขา’ ก็ปลอดภัยไร้บาดเจ็บ แต่ใจเขาเวลานี้ยังคงเต้นระรัวจนแทบกระดอนออกมาดังเดิม

สวรรค์รู้ว่าเมื่อครู่ขณะเห็น ‘เขา’ ตกลงมาจากต้นไม้ เสียงกรีดร้องอย่างหนักของ ‘เขา’ ทำให้ใจเขาแทบถูกกรีดเป็นชิ้นๆ ออกมา

เขากำลังหวาดกลัวและหวั่นวิตก หาก ‘เขา’ ได้รับบาดเจ็บจนถึงขั้น…

เขาควรทำเช่นไร!

โชคดีที่ตอนนี้ในที่สุดเขาก็รับตัว ‘เขา’  ไว้ได้ พอคิดถึงตรงนี้ เหลิ่งจวิ้นอวี๋ขณะถอนหายใจอย่างโล่งอก ความโมโหทะลักขึ้นมาจากในใจเขาพร้อมกัน

ใบหน้าเด็ดเดี่ยวนั้น เส้นเอ็นสีเขียวปูดโปนบนหน้าผาก ภายในดวงตาเย็นชาปรากฎแสงแห่งความโกรธปะทุขึ้นมาไม่หยุด ริมฝีปากบางเฉียบนั้นเม้มแน่นเป็นเส้นตรง

บนใบหน้าเคร่งเครียดนั้น มีเค้าลางคล้ายเมฆดำเคลื่อนเข้าปกคลุมทั่วเมือง

เล่อเหยาเหยาที่เดิมทีกำลังตะลึงงัน รู้สึกเพียงความโมโหที่รุนแรงซัดสาดตรงมาที่ศีรษะของเธอ ดังนั้นพลันได้สติ

เมื่อเห็นท่าทางโกรธเดือดเป็นฟืนเป็นไฟของชายหนุ่ม ใจเล่อเหยาเหยาสะดุด ‘กึก’ ก่อนตกลงสู่ก้นหุบเขา

สวรรค์! พญายมโมโหอีกแล้ว

ทว่าผู้ใดยั่วให้เขาโมโหกันแน่ ขอเพียงอย่าพาลโมโหเธอเด็ดขาด!

พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาจึงนึกได้ว่าตนถูกพญายมอุ้มอยู่ ดังนั้นจึงคิดออกจากอ้อมกอดพญายมเพื่อดันตนไปอยู่ที่ปลอดภัย

ผู้ใดจะรู้ชายหนุ่มกับคล้ายพยาธิในท้องเธอ เธอเพียงขยับตัวเล็กน้อย แขนที่รัดเอวเล็กตนไว้เพิ่มแรงรัดขึ้นหนึ่งส่วน

เรี่ยวแรงอันมหาศาล ไม่เพียงกักขังเธอไว้ในอ้อมกอดเขา ยังคิดนำเธอฝังเข้าไปในไขกระดูกของตน

เล่อเหยาเหยาเห็นเช่นนั้น ก็ขมวดคิ้วเข้มเป็นปม ริมฝีปากแดงเบิกอ้า หมายเอ่ยบางอย่างออกมา แต่เสียงคำรามแฝงความโมโหพลันดังขึ้นข้างหูเธอก่อน

เสียงดังกึกก้อง จนทำให้ใบหูสองข้างเธออื้ออึง

“น่าตายนัก ผู้ใดใช้ให้เจ้าปีนขึ้นต้นไม้ที่สูงเช่นนั้น เจ้าอยากตายมากหรือ”

“เอ่อ”

สำหรับการคำรามอย่างดุร้ายโกรธเป็นฟืนเป็นไฟนี้ของชายหนุ่ม เล่อเหยาเหยาตกตะลึงจนหูอื้อ ก่อนหดคอลงอย่างหวาดกลัวไม่ได้

“คือว่าเรื่องนี้ บ่าวอยากขึ้นไปเก็บว่าว”

สำหรับการโมโหอย่างหนักของชายหนุ่ม ทำให้เล่อเหยาเหยาขลาดกลัวในใจ กระทั่งพูดจาด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อม

หลังได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา เหลิ่งจวิ้นอวี๋จึงกวาดสายตาเย็นชาไปแวบหนึ่ง จึงพบว่าด้านข้างยังมีกลุ่มขันทีน้อย หนึ่งในมือของขันทีน้อยนั้นยังถือว่าวเอาไว้แน่น

แม้จะเป็นเช่นนี้ กลับไม่ได้ลดทอนความโมโหในใจเหลิ่งจวิ้นอวี๋ลงเลย

อีกทั้งเมื่อนึกถึงเล่อเหยาเหยาตกลงมาจากต้นไม้ เพราะเก็บว่าวน่าตายนี้ โชคดีที่เขามาทันเวลา มิฉะนั้นเขาไม่อยากคิดถึงผลตอนสุดท้ายเลย

พอคิดถึงตรงนี้ เหลิ่งจวิ้นอวี๋ขมวดคิ้วแน่น สายตาที่มองว่าวนั้นยิ่งโหดเหี้ยมยิ่งขึ้น คล้ายอยากทำลายว่าวน่าตายนั้น

เพราะเหลิ่งจวิ้นอวี๋เวลานี้สีหน้าเคร่งขรึมโหดเหี้ยมเกินไป ดุจราชสีห์ถูกยั่วโมโห ขันทีน้อยที่เพิ่งเข้ามาในวังอ๋องเหล่านั้น เดิมทีไม่เคยเห็นเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ดังนั้นจึงย่อมไม่รู้ถึงสถานะของเขา

ตอนนี้เมื่อถูกเหลิ่งจวิ้นอวี๋เหลือบมองด้วยสายตาโหดเหี้ยมนั้น ตกใจจนร้อง ‘อา’ ขึ้น เหมือนนกแตกรัง วิ่งหนีไป

สุดท้ายจึงไม่รู้ผู้ใดร้องตะโกนขึ้นจากที่ใด

“อา น่ากลัวยิ่งนัก”

“เอ่อ”

สำหรับขันทีเด็กตัวเล็กเหล่านั้น เหลิ่งจวิ้นอวี๋อดยิ้มมุมปากไม่ได้

เห็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยาที่กำลังรองรับความโมโหของชายหนุ่ม กลับอดรู้สึกสนุกขึ้นมาไม่ได้ จึงหัวเราะออกมา

ฮ่า ๆ ขันทีน้อยเหล่านี้กล้าหาญเสียจริง ถึงกลับพูดต่อหน้าพญายมว่าเขาน่าหวาดกลัว แม้นั่นจะคือเรื่องจริงก็ตาม

ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อเห็นมุมปากพญายมกระตุกยิ้ม ความขลาดกลัวที่มีเมื่อครู่ต่อเขาหายไปจนหมด สุดท้ายเหลือเพียงความขบขัน

สำหรับการหัวเราะจนดวงตาคิ้วโค้งขึ้นของคนตัวเล็กในอ้อมกอด ดุจคล้ายกลัวว่าตนจะรู้ว่าเขาแอบหัวเราะ จึงยื่นมือไปอุดปากเล็กไว้ ทว่าเสียงหัวเราะนั้นก็ดังเข้ามาในหูเขาอย่างรวดเร็ว

เห็นเล่อเหยาเหยาหัวเราะอย่างมีความสุขเช่นนี้ แม้ในใจจะโมโหมากเพียงใด ก็พลันสลายไป

สุดท้ายเหลิ่งจวิ้นอวี๋เพียงถอนหายใจยาวๆ ออกมา ก่อนเอ่ยกับเล่อเหยาเหยาที่กำลังแอบหัวเราะว่า

“รับปากเปิ่นหวาง ครั้งหน้าห้ามปีนขึ้นที่สูงเช่นนั้นอีก เข้าใจหรือไม่”

“อืม บ่าวเข้าใจแล้ว”

เมื่อทราบดีว่าพญายมห่วงใยตน เล่อเหยาเหยาพลันพยักหน้ารัวดุจโขลกกระเทียม ในใจรู้สึกหวานชื่น

เมื่อครู่ขณะที่ตกลงมา เธอตกใจมากจริง คิดว่าครั้งนี้ตนต้องตายแน่นอน โชคดีพญายมปรากฏตัวขึ้นทันเวลา

ต่อมาถูกพญายมโอบกอดหมุนตัวอยู่กลางอากาศ เล่อเหยาเหยาคิดว่าความรู้สึกนั้น ยอดเยี่ยมราวกับตนบินได้

พอคิดถึงตรงนี้ แววตาเล่อเหยาเหยาปรากฏความคาดหวัง

หวังว่าตนจะสามารถมีวิทยายุทธ์ดังพวกพญายมเช่นกัน จากนั้นก็สามารถเหาะเหินไปมากลางอากาศได้

เล่อเยาเหยาคิดสิ่งใดในใจ มักปรากฏออกมาทางใบหน้า

เหลิ่งจวิ้นอวี๋เห็นเช่นนั้น ดวงตาเย็นชาก็เป็นประกายครู่หนึ่ง เผยอริมฝีปากแดงขึ้นเอ่ยถามว่า

“กำลังคิดสิ่งใด”

“บ่าวกำลังคิดว่า หากบ่าวเป็นวรยุทธ์คงจะดี เมื่อครู่บ่าวรู้สึกว่าตนกำลังบินอยู่ ความรู้สึกนั้นไม่เลวจริงๆ เลย”

ได้ยินคำถามของชายหนุ่ม เล่อเหยาเหยาเอ่ยความคิดในใจออกมาทันที

เหลิ่งจวิ้นอวี๋ได้ยิน เพียงยิ้มมุมปาก ดวงตาเย็นชาอ่อนโยนลง เอ่ยพลางยิ้มว่า

“เพียงเท่านี้เองหรือ”

“พ่ะย่ะค่ะ”

เล่อเหยาเหยาเพียงพยักหน้า พลันได้ยินคำพูดทุ้มต่ำแหบพร่าของชายหนุ่มดังขึ้นอีกครั้ง

“เช่นนั้นเจ้าหลับตาลง เปิ่นหวางบอกให้เจ้าลืมตา เจ้าถึงจะลืมตาได้”

“เอ่อ ได้พ่ะย่ะค่ะ”

แม้จะไม่เข้าใจว่าชายหนุ่มต้องการทำสิ่งใดกันแน่ แต่เล่อเหยาเหยาเชื่อใจเขา ดังนั้นจึงพลันหลับตาลงอย่างเชื่อฟัง

เมื่อเล่อเหยาเหยาเพิ่งหลับตาลง เธอรู้สึกแน่นที่เอว พลันรู้สึกร่างกายไร้น้ำหนักขึ้นมา

ความรู้สึกพุ่งขึ้นที่สูงนั้น ดุจความตื่นเต้นที่ผ่านการนั่งรถไฟเหาะ

จนเธออยากลืมตาขึ้นมองว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ ชายหนุ่มคล้ายรับรู้ถึงความคิดเธอ จึงเอ่ยกระซิบข้างหูเธออย่างแหบพร่า

“เชื่อใจข้า”

เมื่อได้ยินเสียงทุ้มมีเสน่ห์ที่คุ้นหูนี้ เล่อเหยาเหยาที่เดิมทีวิตกกังวล ค่อยๆ สงบใจลง

ดังนั้นจึงพยักหน้าอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่ม ไม่ได้ลืมตาขึ้นมา

จนกระทั่งเล่อเหยาเหยารู้สึกทะลุผ่านลมพายุที่บ้าคลั่ง เท้าของตนว่างเปล่า ความรู้สึกนั้นทำให้รู้สึกอกสั่นขวัญแขวน ทำให้เธอหวาดกลัวในใจและแปลกใจไม่หยุด

ตนตอนนี้อยู่ที่ใดกันแน่!

ขณะเล่อเหยาเหยาสงสัยในใจ หูได้ยินเสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มดังขึ้น

“ลืมตาได้”

น้ำเสียงชายหนุ่มถูกลมพายุพัดผ่านไป จึงแฝงความเลือนราง ทว่ากลับน่าสัมผัสอย่างยิ่ง

เมื่อได้ยินเล่อเหยาเหยาก็สั่นไหวในใจ พลันค่อยๆ ลืมตาขึ้น

หลังเห็นสถานที่ที่ตนอยู่ เล่อเหยาเหยาตกตะลึงอย่างที่สุด

บนใบหน้าเล็กจิ้มลิ้มนั้น ดวงตาเบิกกว้างดุจระฆัง ปากเล็กดุจดอกเหมยนั้นอ้ากว้าง จนนกกระจอกบินเข้าไปได้!

เล่อเหยาเหยาตกตะลึงอ้าปากค้างอย่างไม่เชื่อสายตา เห็นชัดว่าสร้างความสุขให้กับเหลิ่งจวิ้นอวี๋

เห็นเพียงเหลิ่งจวิ้นอวี๋ใช้มือโอบเอวเล็กของเล่อเหยาเหยาเอาไว้แน่น คางเด็ดเดี่ยวสมบูรณ์แบบนั้น ฝังแน่นเข้าไปในตัวเล่อเหยาเหยา แล้วสูดดมกลิ่มหอมของคนในอ้อมกอด ก่อนยกริมฝีปากรูปกระจับขึ้นเอ่ยอย่างพอใจว่า

“งดงามหรือไม่”

“งดงามพ่ะย่ะค่ะ”